บทที่ 20 เซียวเหน่า
บทที่ 20 เซียวเหน่า

ท้องฟ้าเพิ่งจะสว่างเซียวเหน่าหาวก่อนจะตื่นขึ้นอย่างงัวเงีย

เขาเคยเป็นนักเลงหัวไม้ข้างถนน แม้ว่าเขาจะยังเด็ก แต่เขาก็ฉลาดมาก นายท่านจางแห่งร้านค้าตระกูลจางนึกชอบเขาเมื่อหนึ่งเดือนก่อน และเขาก็โชคดีที่ได้เป็นศิษย์สร้างยันต์ฝึกหัดที่ได้รับเงินเดือน

อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือนที่ผ่านมาเขาช่วยจางต้าหยงทำอย่างอื่นแทน ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยฝ่ายขาย

ประตูร้านเปิดออก เผยให้เห็นฝูงชนหนาแน่นที่รวมตัวกันอยู่ข้างนอกประตูมานาน จนถึงจุดที่แม้แต่หยดน้ำก็ไหลผ่านไปไม่ได้

“เปิดแล้ว! พี่เซียวเหน่า ข้าต้องการสั่งยันต์เจาะทะลวงแบบใหม่สามแผ่น!”

“เซียวเหน่า ข้าเป็นเพื่อนบ้านของท่านลุงหลี่ เจ้ายังมียันต์พฤกษาครามแบบใหม่ที่เทียบได้กับยันต์ระดับสองอีกหรือไม่?”

“ทุกคนอย่าคิดแย่งชิงกับข้า! ข้าเข้าแถวมาสามวันแล้วเพื่อซื้อยันต์คมดาบทองคำให้เด็กเหลือขอที่บ้านเพื่อปกป้องตัวเอง ข้าจะทะเลากับทุกคนที่แย่งมันกับข้า!”

“ข้าเป็นผู้สอนของสำนักสร้างยันต์พฤกษาสวรรค์ ข้ามาที่นี่ครั้งนี้เพื่อขอพบกับปรมาจารย์ที่เขียนยันต์พื้นฐานแบบใหม่ ข้าสงสัยว่าน้องเซียวเหน่าสามารถแนะนำให้ข้าได้หรือไม่”

ทุกคนส่งเสียงโห่ร้องขณะที่พวกเขาเบียดตัวเองฝ่าฝูงชนมาที่ประตูโดยไม่สนใจภาพลักษณ์ของพวกเขา ราวกับว่าพวกเขาเป็นคนไร้บ้านกำลังแย่งอาหารจากโรงทาน

เซียวเหน่าคุ้นเคยกับภาพนี้เนื่องจากยันต์เกราะดินแบบใหม่ที่เฉินซีสร้างขึ้นเมื่อครึ่งเดือนที่แล้ว ชื่อเสียงของร้านค้าตระกูลจางจึงกลับมาโด่งดังในชั่วข้ามคืน

เถ้าแก่จางต้าหยงฉวยโอกาสนี้ออกประกาศที่ทำให้ลูกตาทุกคนแทบถลนออกมาจากเบ้า

ผลงานการสร้างของนักสร้างยันต์อักขระระดับปรมาจารย์!

สินค้าชิ้นโบว์แดงของร้านค้าเราในปีนี้!

ยันต์พื้นฐานรูปแบบใหม่ที่สร้างขึ้นด้วยทักษะอันไม่เหมือนผู้ใดฉีกกฎเกณฑ์การเขียนยันต์ทุกรูปแบบ!

คุณค่าที่พวกท่านคู่ควรเป็นเจ้าของ!

การประกาศดังกล่าวสร้างความตกตะลึงอย่างมากและดึงดูดความสนใจได้มากล้น แต่เนื่องจากสินค้ายังคงเป็นยันต์ระดับพื้นฐาน ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงยังสงสัยเกี่ยวกับความจริงของข่าวนี้

แต่เมื่อจางต้าหยงเปิดเผยข้อมูลอีกว่าองค์หญิงน้อยแห่งจวนแม่ทัพได้ซื้อยันต์เกราะดินแบบใหม่ไปแล้วสิบห้าแผ่น ประตูของร้านค้าตระกูลจางก็เต็มไปด้วยผู้คนทันที

ใครบ้างในเมืองหมอกสนที่ไม่รู้ว่าองค์หญิงน้อยจวนแม่ทัพเป็นผู้ที่ชื่นชอบยันต์อักขระ? ยันต์ที่สามารถกระตุ้นความสนใจของนางได้จะผิดพลาดได้อย่างไร?

จางต้าหยงนั้นเปี่ยมไปด้วยความสุข เขาได้ทำนายสถานการณ์แบบนี้เอาไว้ว่ามันจะเกิดขึ้นตั้งแต่ที่เขาเห็นเฉินซีสร้างยันต์ที่มีโครงสร้างแบบใหม่จากเดิมอย่างสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม มียันต์แบบใหม่เพียงไม่กี่ชนิดที่เฉินซีสร้างขึ้นและปริมาณของมันก็จำกัดอย่างมาก เพื่อประโยชน์ของการใช้ทรัพยากรอันมีค่าเหล่านี้อย่างเต็มที่ เขาจึงตัดสินใจขายยันต์แบบใหม่เหล่านี้เพียงสิบแผ่นต่อวันเท่านั้น

ของยิ่งหายากยิ่งมีค่ามากขึ้นเท่านั้น!

จางต้าหยงซึ่งทำธุรกิจมาสามสิบปีแล้วย่อมรู้หลักการนี้ดีที่สุดและเพื่อที่จะไม่ได้รับข้อเรียกร้องจากคนรู้จักและผู้มีอิทธิพล เขาถึงกับแอบไปซ่อนตัวแต่เนิ่น ๆ และมอบหมายให้เซียวเหน่าจัดการทุกอย่าง

“ทุกคนโปรดดูแผ่นหมายเลขในมือ หมายเลขที่ข้าเรียกจึงจะสามารถเข้ามาในร้านได้ ส่วนหมายเลขที่ไม่ได้ถูกเรียกโปรดกลับมาใหม่ในวันรุ่งขึ้นพรุ่งนี้” เซียวเหน่าตะโกนออกเสียงดัง “หมายเลข 155 หมายเลข 156…”

หลังจากเรียกสิบหมายเลขติดต่อกันแล้ว ผู้ที่ถูกเรียกแสดงสีหน้าเบิกบานและพึงพอใจ ในขณะที่เหล่าผู้คนที่ไม่ถูกเรียกเริ่มส่งเสียงโห่ร้องด้วยความขุ่นเคือง บางคนอ้อนวอน บางคนพยายามหาประโยชน์จากการใช้เส้นสาย บางคนใช้การคุกคาม…

ทว่าเซียวเหน่ายังคงท่าทีเฉยเมยไม่สนใจ อย่างไรก็ตาม ในหัวใจของเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาอย่างแรงกล้า

เซียวเหน่าเคยเป็นเหมือนนักสร้างยันต์ฝึกหัดคนอื่น ๆ เยาะเย้ยเฉินซีว่าเป็นตัวนำโชคร้ายมาสู่ผู้คนรอบตัว แต่ตอนนี้โดยไม่มีจินตนาการได้ เฉินซีตัวซวยกลับทำให้เกิดความปั่นป่วนไปทั่วทั้งเมืองได้จริง ๆ!

ถ้าไม่ใช่เพราะเถ้าแก่จางพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดเผยตัวตนของเฉินซี เขาคิดว่าด้วยความสามารถของเฉินซีในการสร้างยันต์พื้นฐานแบบใหม่นี้ย่อมสามารถทำให้ผู้คนในเมืองหมอกสนทั้งหมดเปลี่ยนความคิดที่มีต่อเฉินซีได้!

เป็นไปได้หรือไม่ว่าชายผู้นั้นกำลังจะล้างความโชคร้ายได้ทั้งหมดและก้าวกระโดดกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง?

เซียวเหน่าแอบตัดสินใจว่าในอนาคตเขาจะต้องเอาอกเอาใจเฉินซีให้มาก เพราะถ้าหากเฉินซีโด่งดังกลายเป็นบุคคลสำคัญขึ้นมาจริง ๆ เขาย่อมได้รับประโยชน์จากการอยู่ภายใต้เงาของเฉินซีอย่างแน่นอน ทว่าเจ้านั่นไม่ได้มาที่ร้านเป็นเวลากว่าสิบวันแล้ว และหากเขายังไม่ปรากฏตัว ยันต์พื้นฐานแบบใหม่เหล่านี้จะหมดคลัง…

เขตสามัญชนของเมืองหมอกสน หน้าบ้านของเฉินซี

หลัวชงจ้องไปที่หญิงสาวในชุดเรียบง่ายซึ่งกำลังนั่งบนขั้นบันไดหินด้วยสายตาเหม่อลอย เขาอดไม่ได้ที่จะลอบถอนหายใจ มีความจำเป็นใด ๆ ที่องค์หญิงน้อยแห่งจวนแม่ทัพจะต้องมารอเฉินซีตัวกาลกิณีที่หน้าบ้านโทรม ๆ นี้เป็นเวลาสิบวันเพียงเพื่อยันต์พื้นฐาน? ไม่น่าแปลกใจเลยที่ผู้คนต่างเรียกนางว่าผู้เสพติดยันต์ตัวน้อย

หลัวชงเป็นผู้บ่มเพาะอันดับหนึ่งใต้บัญชาของจวนแม่ทัพในเมืองหมอกสน ระดับการบ่มเพาะของเขาสูงส่งลึกล้ำไม่มีผู้ใดล่วงรู้ รูปร่างของเขาผอมแห้งแขนบางทว่านัยน์ตากระจ่างชัดและสดใส

ยามนี้เขาซ่อนอยู่ในเงามืดราวกับเสือโคร่งซึ่งตื่นตัว สังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบทุกขณะ

ฉินหงเหมี่ยนคลั่งไคล้หลักเต๋าแห่งยันต์ขระแต่ไม่รู้วิถีของโลก นางไร้เดียงสาเหมือนเด็กที่โง่เขลาจนถึงขั้นมายังเขตสามัญชนที่พวกมิจฉาชีพปะปนอยู่กับสามัญชนเพียงลำพัง เป็นการยากที่จะรับประกันว่าจะไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ดังนั้นงานของหลัวชงคือการป้องกันจากเงามืดและรับประกันความปลอดภัยของฉินหงเหมี่ยน

ข้าสงสัยว่าเจ้าตัวซวยนั้นหายไปแห่งหนใด มันทำให้ข้าและคุณหนูต้องทนทุกข์ทรมานกว่าสิบวัน ช่างเป็นคนที่น่ารังเกียจอย่างแท้จริง!

หลัวชงก่นด่าในใจไม่รู้จบ

ตระกูลหลี่ หอฝึกการต่อสู้

ผู้ดูแลอู๋แสดงความเคารพในขณะที่เขาพูดด้วยน้ำเสียงลึกล้ำ “ตามแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ เป็นไปได้มากที่เป้าหมายจะออกจากร้านอาหารนทีกระจ่างในวันนี้ หลี่ฮั่น หลี่เฟิง หลี่จ้าน พวกเจ้าสามพี่น้องเชี่ยวชาญด้านการลอบเร้นและลอบสังหาร คืนนี้พวกเจ้าสามคนจะเป็นกำลังหลักนำการสังหาร จงแน่ใจว่าจะไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ ไว้”

“รับทราบ!” ชายหนุ่มสามคนผู้มีแววตาโหดเหี้ยมชั่วร้ายรับคำพร้อมเพรียงกัน

“ดี! การฆ่าวันนี้เกี่ยวข้องกับเกียรติของตระกูลหลี่เรา ข้าก็จะไปด้วยตัวเองเช่นกัน และเมื่อพวกเจ้าทำสำเร็จข้าจะแนะนำพวกเจ้าแก่ผู้นำตระกูลอนุญาต เพื่อให้พวกเจ้าสามพี่น้องได้มีสิทธิ์ฝึกฝนในหอบรรพบุรุษ!” ผู้ดูแลอู๋อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ระดับการบ่มเพาะของสามพี่น้องที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นอยู่ในระดับขอบเขตก่อกำเนิดขั้นแปดกันทุกคน เมื่อสามคนนี้ร่วมมือกันย่อมสามารถเอาชนะผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูณ์แบบได้อย่างไม่ยากเย็น ดังนั้นแล้วการใช้คนเหล่านี้จัดการกับแค่เด็กคนหนึ่งที่อยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสามย่อมเป็นเรื่องที่ไม่น่ากังวล!

ฝึกฝนในหอบรรพบุรุษ?

ความตกตะลึงและความตื่นเต้นที่อธิบายไม่ได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของสามพี่น้องอย่างพร้อมเพรียงกัน

ผู้ดูแลอู๋อดไม่ได้ที่จะหัวเราะด้วยความปีติเมื่อเห็นสิ่งนี้ หนึ่งเดือนแทบจะพอดี มันเป็นราวกับโอกาสที่สวรรค์ส่งมาให้จริง ๆ วันนี้เขาจะได้เห็นเหยื่อของเขาดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งต่อหน้าต่อตาด้วยความพยายามที่เปล่าประโยชน์…

ร้านอาหารนทีกระจ่าง

ห้องอันเงียบงันซึ่งถูกปิดอย่างแน่นหนาเป็นเวลาครึ่งเดือนถูกเปิดจากภายนอก เมื่อผู้เฒ่าหม่า เฉียวหนาน และเพ่ยเพ่ยเห็นฉากภายในอย่างชัดเจน พวกเขาก็อ้าปากค้างพร้อมกัน ร่างกายของพวกเขาแข็งค้างทันที

วัตถุดิบกองพะเนินได้หายไปหมดแล้ว และมีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่นั่งทำสมาธิหลับตาอยู่คนเดียวในห้องที่ว่างเปล่า ร่างของเขาเด่นชัดยิ่งนัก

“เป็นไปได้ไหมว่าไอ้เจ้าเด็กผู้นี้กินวัตถุดิบไปหมดสิ้น?” เฉียวหนานดูราวกับว่าเขาเห็นผีและอุทานออก “ส่วนผสมเหล่านั้นสามารถเลี้ยงผู้บ่มเพาะธรรมดาได้สิบปีเชียว!”

“ไม่เพียงแต่น้องเฉินซีจะหล่อเหลาเท่านั้น แต่แม้กระทั่งความอยากอาหารของเขาก็ยังไร้ที่สิ้นสุด บุรุษเช่นนี้เท่านั้นที่คู่ควรกับข้า ร่วมจมดิ่งลงไปในแม่น้ำแห่งความรัก!” เพ่ยเพ่ยผู้มากเสน่ห์ได้แสดงให้เห็นอีกครั้งถึงด้านที่บ้าคลั่งเด็กชายของนาง

ผู้เฒ่าหม่าเคยเห็นความตะกละตะกลามของเฉินซีมาแล้วว่าเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไปมาก แต่ตอนนี้เมื่อเขาเห็นฉากนี้ต่อหน้าต่อตา เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวไปถึงกระดูกสันหลัง ก่อนจะพึมพำ “ข้ารับคนที่เรียกได้ว่าเป็นคนตะกละหายากมาเป็นศิษย์ ข้าสงสัยนักว่านี่เป็นพรหรือโชคร้าย… เขา… เขา… เขากินมากขนาดนี้ได้อย่างไร?”

เพ่ยเพ่ยเดินไปที่เตาและสังเกตเห็นจานอาหารถูกวางเรียงกันเป็นแถว นางรีบกวักมือเรียกคนอื่น ๆ “ศิษย์พี่! เร็ว! มาดู! ดูเหมือนจะเป็นอาหารที่น้องเฉินซีปรุง!”

ผู้เฒ่าหม่าและเฉียวหนานเดินไปที่หน้าเตาทันที สีหน้าของพวกเขาดูเคร่งขรึมจริงจังขณะที่พวกเขาจ้องไปที่แถวของจานซึ่งมีอาหารต่าง ๆ ที่สะดุดตา

“ปลาไหลดำทอดนี้ไม่เลว ความกรอบและเนื้อสัมผัสไร้ที่ติและปราณวิญญาณก็บริสุทธิ์เข้มข้น ผ่าน!”

“อืม… เนื้อสัมผัสของเนื้อตุ๋นเพลิงหยกนี้ไม่เลว องค์ประกอบรสชาติทุกอย่างนับได้ว่าชั้นหนึ่ง สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือเขาคิดใช้สมุนไพรธาตุหยินบริสุทธิ์ห่อเนื้อกวางขาวเพื่อดับกลิ่นคาวอันเป็นเอกลักษณ์ ความคิดนี้แยบยลอย่างแท้จริง”

“พืชดอกม่วงแดง ผลขี้เหล็กแดง เมล็ดป่าน…ข้าวต้มที่ทำจากผลไม้วิญญาณหนึ่งร้อยสิบชนิดนี้อร่อยมาก มันหวานและสดชื่นและยังให้ความรู้สึกละมุนอ่อนโยนยากจะอธิบาย สวรรค์! น้องเฉินซีคิดค้นอาหารเช่นนี้ได้อย่างไร? ดูเหมือนว่าจะมีสรรพคุณในการบำรุงความงามอีกต่างหาก”

สามพ่อครัววิญญาณระดับ 3 ใบไม้ได้ชิมรสอาหารตามลำดับและพวกเขายกย่องซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความประหลาดใจและความยินดีในแววตาของพวกเขานั้นเด่นชัดยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ

“ศิษย์พี่ ท่านได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าสามารถเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น การมีเฉินซีเป็นศิษย์เช่นนี้ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลเลยว่าจะไม่มีใครสืบทอดวิชาของท่าน!” เฉียวหนานกล่าวอย่างอารมณ์ดี “การได้เห็นเฉินซีเช่นนี้ทำให้ข้านึกถึงตัวเองเมื่อหลายปีก่อน ข้าเองก็มีความสามารถที่ไม่แพ้ผู้ใดและความคิดสร้างสรรค์จานอาหารของข้านั้น…”

ผู้เฒ่าหม่าไม่สนใจกับเฉียวหนานที่กำลังหลงตัวเอง เขาพูดขัดเสียงดังด้วยความเบิกบาน “ยามนี้ศิษย์ของข้าคนนี้ได้ก้าวเข้าสู่ระดับของพ่อครัววิญญาณ 1 ใบไม้เป็นที่เรียบร้อย ต่อจากนี้ข้าจะยิ่งเข้มงวดยิ่งขึ้นและทำให้เขา…”

“โปรดรอสักครู่ ข้าขอศิลาวิญญาณสำหรับค่าจ้างในช่วงวันที่ผ่านมาทั้งหมด ข้าต้องการเดินทางกลับบ้าน” โดยไม่สนใจคำกล่าวของใคร เฉินซีได้ลุกขึ้นยืนขัดจังหวะผู้เฒ่าหม่าด้วยน้ำเสียงห้วน

เขาไม่อยากจะสุภาพอีกแล้ว ก่อนหน้านี้ผู้เฒ่าหม่าไม่พูดอะไรสักคำและโยนเขาเข้ามาในห้องอันเงียบสงัดนี้ และปล่อยให้เขาอยู่ตามลำพังถึงสิบวัน การถูกกระทำเช่นนี้ไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่มีทางคงท่าทีสุภาพได้

ไอ้เด็กนี่โอหังใหญ่แล้ว! มีศิษย์คนใดพูดกับอาจารย์แบบนี้บ้าง!?

ผู้เฒ่าหม่าจ้องมองและกำลังจะระเบิดโทสะ ทว่าเขากลับสังเกตเห็นอะไรบางอย่างก่อนและอุทานออกอย่างลืมตัว “ระดับการบ่มเพาะของเจ้า…”

ทันทีที่เขาพูดจบ เฉียวหนานและเพ่ยเพ่ยก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนไปของเฉินซี

เฉินซีที่เคยสงบและหน้าตายเช่นดาบคมที่ถูกผนึกด้วยฝุ่นภายในฝัก ทว่าเวลานี้กลับมีเผยออกซึ่งความเฉียบคมอันตราย ทุก ๆ การเคลื่อนไหวที่เขาทำ เขาก็ดูคล้ายกับเมื่อก่อน แต่กลับกดดันให้คนอื่น ๆ รู้สึกกดดันได้เล็กน้อย

“ข้าก้าวหน้าแล้ว” เฉินซีตอบกลับไป ในช่วงสองสามวันนี้ นอกเหนือจากการฝึกฝนบ่มเพาะแล้ว เวลาที่เหลือของเขาคือการฝึกทำอาหาร เขาไม่เคยคาดคิดว่าการระดับการบ่มเพราะของตนเองจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนทะลวงไปถึงของขอบเขตก่อกำเนิดขั้นแปดโดยไม่รู้ตัว!

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนั้น” ผู้เฒ่าหม่ากวาดสายตามองไปรอบห้องและเข้าใจทุกอย่างในทันที แม้ว่าวัตถุดิบที่เคยกองไว้ในห้องนี้จะมีแต่ระดับต่ำ แต่ทั้งหมดนั้นต่างมีปราณวิญญาณบริสุทธิ์แฝงอยู่ เฉินซีที่อยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดเมื่อเขากินวัตถุดิบจำนวนมากขนาดนั้นเข้าไปในระยะเวลาสั้น ๆ มันย่อมส่งผลทำให้ระดับการบ่มเพาะพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว

ผู้เฒ่าหม่าไม่รู้ว่าเฉินซีไม่เพียงแต่ทะลวงไปถึงขอบเขตก่อกำเนิดขั้นแปด แม้แต่วิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพก็ยังฝึกฝนไปถึงขั้นสาม บรรลุขั้นตอนของการใช้พลังดาววารีละมุนเพื่อนวดเส้นเอ็นได้แล้ว!

ผิวของเฉินซีในยามนี้แข็งแกร่งดั่งทองแดง เส้นเอ็นและกระดูกของเขาเหมือนเหล็ก ร่างกายยืดหยุ่นราวกับยางยืด เมื่อรวมกันทั้งหมดจึงเป็นเหตุให้อารมณ์ของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างเงียบ ๆ เขาเต็มไปด้วยความมั่นใจไม่มีแววความอ่อนแอแบบเมื่อก่อนอีกต่อไป

ดูเหมือนผู้เฒ่าหม่าจะตระหนักอะไรบางอย่างเมื่อเขาเห็นการแสดงออกที่สงบและมั่นคงของเฉินซี การบังคับเฉินซีให้ใส่ใจในศิลปะการทำอาหารเพียงอย่างเดียวนั้นไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสม ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจให้วันลาแก่เฉินซีสักสองสามวัน และโยนถุงร้อยสมบัติไปยังเฉินซี “ในนั้นมีค่าตอบแทนสำหรับสิบห้าวัน ในเมื่อเจ้าต้องการกลับบ้าน อาจารย์ก็จะไม่หยุดเจ้า แต่เจ้ายังต้องรีบกลับมาที่นี่ พรสวรรค์ของเจ้าในเต๋าการทำอาหารนั้นไม่อาจเสียเปล่าได้”

การขุ่นหมองใจที่สะสมในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้สลายไปอย่างมากเมื่อเฉินซีได้รับศิลาวิญญาณมาพร้อมกับถุงร้อยสมบัติ เขาพยักหน้าก่อนจะหันหลังและจากไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากเดินออกจากร้านอาหารนทีกระจ่าง และมองดูดวงอาทิตย์และท้องฟ้าสีฟ้าที่เขาไม่ได้เห็นมานาน เฉินซีรู้สึกราวกับว่าเขาถูกตัดขาดจากโลกภายนอกมาเป็นเวลานานเกินไป การได้ออกจากห้องอันเงียบงันบ้านั่น… ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง!

เฉินซีไม่รีรอและเดินกลับไปที่บ้านของเขาด้วยความเร่งรีบ อย่างไรก็ตาม เพียงเดินไปครึ่งทางจู่ ๆ เขาก็รู้สึกได้ว่ามีอันตรายกำลังคืบคลานเข้ามา ราวกับว่าเขาถูกงูพิษจากเงามืดมุ่งเป้ามายังตน

เขาไม่ลังเลแม้แต่น้อยในขณะที่เขาหยุดฝีเท้าก่อนจะหันศีรษะมองไปในระยะไกล

ในขณะนี้ เฉินซีเตรียมพร้อมต่อการเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าเกรงขาม ปราณแท้ในร่างกายของเขาโคจรอย่างต่อเนื่อง เขาเป็นเหมือนหอกที่พร้อมจะแทงทะลุท้องฟ้า ว่องไวและรุนแรงเด็ดขาดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้!