ตอนที่ 233 ฤกษ์แต่งงาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตำหนิเฉิงจิงกับหยวนซื่อ สื่อมามาจะกล้ากล่าวอะไรได้อย่างไร

นางแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินโดยถามขึ้นยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นมื้อค่ำส่งท้ายปีให้จัดที่เรือนหลักเช่นเดิมหรือไม่เจ้าคะ”

ตามหลักของตระกูลเฉิงแล้ว ในคืนวันตรุษเล็กแต่ละจวนจะรับประทานมื้อค่ำร่วมกันที่จวนของตัวเอง ส่วนวันตรุษใหญ่ในวันที่สามสิบทุกคนจะไปรับประทานอาหารร่วมกันที่ศาลาทิงอวี่ มื้อค่ำส่งท้ายปีที่สื่อมามากล่าวถึงก็คือมื้อค่ำส่งท้ายปีของวันตรุษเล็กนั่นเอง

ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับไม่ยอมปล่อยหัวข้อสนทนาก่อนหน้าทิ้งนี้ไป กล่าวขึ้นว่า “ทางนี้มีเพียงข้ากับเจ้าสี่เท่านั้น จะจัดมื้อค่ำที่ไหนก็ได้ แต่ทางด้านของฮูหยินใหญ่ทางโน้น เจ้าให้คนไปบอกสักหน่อย ในเมื่องานที่เมืองหลวงมีมาก อีกทั้งนายท่านใหญ่ยังคาดหวังให้นางช่วยดูแล เช่นนั้นก็ให้นางรั้งอยู่ที่จิงเฉิงเลยก็แล้วกัน ส่วนเรื่องของขวัญปีใหม่ของแต่ละตระกูล ก็รบกวนนางให้ช่วยดูแลจัดส่งให้ด้วย! ส่วนพวกข้าทางนี้จะรับผิดชอบเพียงญาติมิตรไม่กี่ตระกูลที่อยู่ในจินหลิงก็พอ”

สื่อมามาขานรับด้วยน้ำเสียงนอบน้อม รอคำชี้แนะถัดไปของฮูหยินผู้เฒ่ากัว แต่ใครจะรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับยกจอกน้ำชาขึ้นมาจิบคำหนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า “ได้ยินว่าเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้วฮูหยินตระกูลโจวจะเดินทางมาจากเป่าติ้ง เจ้าไปสืบความดูสักหน่อยว่าจะมาถึงเมื่อใด ถึงเวลานั้นต้องเชิญฮูหยินตระกูลโจวมากินข้าวด้วยกันสักมื้อ”

ฮูหยินตระกูลโจว?

สื่อมามาครุ่นคิดครู่หนึ่งถึงได้นึกออกว่าคนที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวถึงก็คือหลี่ซื่อผู้เป็นมารดาเลี้ยงของโจวเสาจิ่นนั่นเอง

นี่นับเป็นเกียรติที่หาได้ยากยิ่งนัก!

แม้แต่คนที่มาจากตระกูลของหงซื่อผู้เป็นฮูหยินใหญ่จวนรอง ฮูหยินผู้เฒ่ายังไม่เคยให้การรับรองเช่นนี้มาก่อนเลย

นางตื่นตัวขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ยิ้มพลางขานรับว่า “เจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัววางจอกน้ำชาลง กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ไปทำธุระของเจ้าเถิด! หากไม่มีเรื่องอะไรก็ไม่ต้องมาบอกข้าแล้ว พูดไปพูดมาก็เป็นเพียงเรื่องไม่กี่เรื่องพวกนั้นเท่านั้น”

สื่อมามาได้แต่ถอยออกไป

ให้นำความไปแจ้งฮูหยินหยวนมิใช่เรื่องยาก แต่เงินค่าของขวัญปีใหม่ของปีนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากลับไม่เอ่ยถึงเลยแม้แต่คำเดียว

ตกลงว่าให้ใช้เงินจากคลังกองกลางหรือว่าต้องการสร้างความลำบากให้ฮูหยินหยวนโดยให้นางไปหาวิธีการเอาเองกันนะ…นี่หากเข้าใจผิดไป จะกลายเป็นเรื่องที่ไม่ส่งผลดีต่อทั้งสองฝ่ายไปเลยมิใช่หรือ

นี่นับเป็นสภาวะที่เทพเซียนสู้รบกัน แล้วภูติผีผู้เป็นบ่าวรับใช้ต้องทนทุกข์อย่างแท้จริง!

นางเป็นกังวลจนศีรษะเกือบจะขาวโพลนไปทั้งศีรษะแล้ว

ทางด้านของโจวเสาจิ่นกลับช่วยฮูหยินผู้เฒ่ากวนเก็บกวาดเรือนกันอย่างมีความสุข พรุ่งนี้เฉิงอี้ก็จะกลับมาแล้ว

หลังจากที่อยู่เรียนหนังสือกับนายท่านผู้เฒ่าของตระกูลเหอไปช่วงหนึ่งแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากวนบอกว่า “รู้ความมากขึ้นแล้ว”

โจวเสาจิ่นรู้สึกเคลือบแคลงสงสัยยิ่งนัก

ชาติก่อนจวนสี่ลำบากถึงเพียงนั้น เฉิงอี้ยังมองโลกในแง่ดีเป็นอย่างมาก ชาตินี้ยังไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นเลย เขากลับกลายเป็นคน ‘รู้ความ’ ได้ จึงนับเป็นเรื่องแปลก!

อย่างไรก็ตาม เฉิงอี้ได้กลับมา นางก็ดีใจมากแล้ว

ในบ้านจะต้องคึกคักขึ้นอีกหลายส่วนอย่างแน่นอน

ซื่อเอ๋อร์เข้ามาขอให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนช่วยตัดสินใจ “ท่านว่าควรจะแขวนม่านผ้าไหมห้าสีผืนนี้หรือว่าม่านผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดสีเขียวผืนนั้นดีเจ้าคะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องนี้เจ้าต้องถามเสาจิ่น สายตาของคนวัยหนุ่มสาวอย่างพวกนางกับของพวกข้าไม่เหมือนกัน ถึงเวลาที่อี้เกอเอ๋อร์กลับมาจะได้ไม่ต้องแอบไปบ่นลับหลังอีก”

โจวเสาจิ่นยิ้มพลางกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ากวนว่า “ข้าว่าเป็นเพราะท่านต้องการผลักภาระนี้มาไว้ที่ข้ามากกว่า หากพี่ชายอี้กลับมาแล้วเห็นว่าผ้าม่านในห้องนี้ตกแต่งได้ไม่ถูกใจเขา ท่านก็จะได้ผลักข้าออกไป แล้วบอกว่าเป็นข้าที่ช่วยตกแต่งให้”

“ก็เพราะเหตุผลนี้นี่แหละ” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนหัวเราะร่า กล่าวว่า “เจ้าต้องระมัดระวังเอาไว้ ถึงเวลานั้นอย่ายอมให้อี้เกอเอ๋อร์เอ่ยถึงมันครั้งแล้วครั้งเล่าได้”

โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นหัวเราะ บอกซื่อเอ๋อร์ว่า “แขวนม่านผ้าไหมห้าสีผืนนั้นก็แล้วกัน ดูเข้ากับบรรยากาศรื่นเริงในช่วงเทศกาลปีใหม่กว่า”

ซื่อเอ๋อร์ยิ้มพลางถอยออกไป

มีสาวใช้เด็กวิ่งเข้ามา กล่าวรายงานยิ้มๆ ว่า “นายหญิงผู้เฒ่า คุณหนูรอง คนของตระกูลเลี่ยวที่เจิ้นเจียงนำของขวัญปีใหม่มาส่งให้เจ้าค่ะ คณะที่เดินทางมายังมีพ่อบ้านบ้านใหญ่ของพวกเขามาด้วย บอกว่าอยากจะกำหนดฤกษ์แต่งงานของคุณหนูใหญ่ให้แล้วเสร็จก่อนปีใหม่ หมัวมัวที่มาด้วยเข้ามาในลานหลักแล้ว กำลังไปคำนับพวกนายหญิงผู้เฒ่า ฮูหยิน และสะใภ้ทั้งหลายอยู่เจ้าค่ะ!”

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ปีนี้พวกเขามาเร็วกว่าปกติ นี่ยังไม่ได้กินโจ๊กล่าปากันเลยนี่นา!” จากนั้นกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “เจ้ากลับไปผลัดเปลี่ยนชุดก่อน ประเดี๋ยวก็ไปพบหมัวมัวของตระกูลเลี่ยวพร้อมกัน ดูว่าพวกนางมีเรื่องอะไรอย่างอื่นอีกหรือไม่”

ฤกษ์ที่ตระกูลเลี่ยวได้มาหลายฤกษ์นั้นฮูหยินผู้เฒ่ากวนล้วนให้คนนำไปเทียบกับแผนภูมิดวงชะตาอีกครั้ง ได้ความว่าทั้งหมดล้วนเป็นฤกษ์งามยามดีทั้งสิ้น ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจึงเขียนจดหมายไปแจ้งผลให้กับโจวเจิ้น โจวเจิ้นตอบจดหมายกลับมาว่าให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นผู้ตัดสินใจ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงเลือกฤกษ์ที่ตรงกับวันที่เก้าเดือนสาม

จากความทรงจำของโจวเสาจิ่นแล้ว ชาติก่อนฮูหยินผู้เฒ่ากวนก็เลือกวันที่นี้เช่นกัน

บอกว่าหากฤกษ์แต่งงานใกล้กับวันสอบขุนนางช่วงสารทฤดูมากเกินไป เกรงว่าเลี่ยวเส้าถังจะไขว้เขวด้วยเพลิดเพลินกับการเพิ่งแต่งงานมาใหม่ๆ ได้

แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ตระกูลเลี่ยวกลับอยากได้วันที่สิบแปดเดือนห้า

คุยกันไปคุยกันมาสุดท้ายทั้งสองตระกูลก็ยอมถอยกันคนละก้าว กำหนดให้วันออกเรือนของโจวชูจิ่นเป็นวันที่ยี่สิบสี่เดือนสี่แทน

ต่อมาเลี่ยวเส้าถังสอบตก ตระกูลเลี่ยวจึงรู้สึกว่าตอนแรกน่าจะให้เลี่ยวเส้าถังเข้าร่วมการสอบขุนนางช่วงสารทฤดูให้เสร็จก่อนแล้วค่อยจัดงานแต่งน่าจะดีกว่า ฮูหยินผู้เฒ่ากวนทราบแล้วไม่พอใจ กล่าวว่า เดิมทีข้าบอกว่าควรจะกำหนดฤกษ์ให้ตรงกับวันที่เก้าเดือนสาม ซึ่งเป็นฤกษ์ที่พวกข้าตระกูลเฉิงให้พระเต๋าของเขาหลงหู่ดูมาด้วยตัวเอง เป็นพวกเจ้าที่ยืนยันว่าต้องการกำหนดฤกษ์ให้ตรงกับวันที่ยี่สิบสี่เดือนสี่ แล้วตอนนี้กลับมาพูดเช่นนี้นี่หมายความว่าอย่างไรถึงได้ทำให้คนของตระกูลเลี่ยวยอมแพ้ไป

เวลานั้นนางเข้าใจว่าเป็นเรื่องปกติ แต่พอมาพิจารณาในตอนนี้แล้ว กลับพบว่าตระกูลเลี่ยวไม่มีความจริงใจที่มากพอ

ไม่รู้ว่าชาตินี้ตระกูลเลี่ยวจะยังเลือกวันที่สิบแปดเดือนห้าอีกหรือไม่

โจวเสาจิ่นเปลี่ยนไปสวมชุดเพ่ยจื่อผ้าฝ้ายสีชมพูผลท้อแถบสีเขียวและสวมตุ้มหูไข่มุกจากทางใต้ที่เฉิงฉือให้มาครั้งก่อนอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล็กน้อย แล้วเดินไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากวน

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเพิ่งจะเกล้าผมเสร็จ ซื่อเอ๋อร์กำลังช่วยปักปิ่นปักผมให้อยู่

หวังมามาที่ปรนนิบัติอยู่ข้างๆ รีบกล่าวเชิญให้โจวเสาจิ่นนั่งลงอย่างยิ้มๆ รอยยิ้มดูเป็นมิตรและรักใคร่เป็นอย่างยิ่ง สายตาที่มองนางประหนึ่งกำลังมองหลานสาวของตัวเองอยู่ก็ไม่ปาน

โจวเสาจิ่นลอบรู้สึกแปลกใจอย่างอดไม่ได้

หวังมามาปฏิบัติกับผู้อื่นอย่างเหมาะสม แต่ด้วยเหตุนี้ก็มีความเคร่งครัดตามแบบแผนดั้งเดิมอยู่ การแสดงออกทางอารมณ์เช่นนี้ นับว่าเป็นครั้งแรกที่นางได้เห็น

หรืออาจจะเป็นเพราะว่าพี่ชายอี้ใกล้จะกลับมาแล้ว?

โจวเสาจิ่นคาดเดา

ไม่นาน คนของตระกูลเลี่ยวก็เข้ามา

คนที่มาเป็นหญิงชราสองคน หนึ่งในนั้นคือจงหมัวมัว และอีกผู้หนึ่งเป็นหมัวมัวผู้หนึ่งที่อายุใกล้เคียงกับจงหมัวมัว ดูแล้วเป็นคนซื่อๆ หัวอ่อนผู้หนึ่ง แม้แต่จะเอ่ยปากก็ยังไม่ค่อยกล้าเอ่ยปากพูดสักเท่าไรนัก คนที่มีแววเพียงมองก็รู้ได้แล้วว่าคนที่มาเจรจากับตระกูลเฉิงหลักๆ แล้วก็คือจงหมัวมัว

ทั้งสองคนก้าวออกมาคำนับฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับโจวเสาจิ่น ตอนที่ถามถึงผู้อาวุโสในบ้านของกันและกันนั้น จงหมัวมัวดันหมัวมัวที่ร่วมทางมาด้วยผู้นั้นออกมา “…เจ้าไปหยิบกล่องเออเจียว[1]ที่ฮูหยินใหญ่เตรียมเอาไว้เป็นพิเศษเข้ามาเถิด”

หมัวมัวผู้นั้นพึมพำกล่าว “เจ้าค่ะ” แล้วถอยออกไป

จงหมัวมัวกล่าวยิ้มๆ อย่างขอลุแก่โทษว่า “ไม่มีทางเลือกจริงๆ ช่วงนี้คนในบ้านต่างก็วุ่นอยู่กับการเตรียมการเรื่องงานแต่งของคุณชายใหญ่ อีกทั้งก็ใกล้ถึงปีใหม่แล้ว จึงจำต้องให้นางมากับข้า หากเสียมารยาทตรงส่วนใด ก็ขอนายหญิงผู้เฒ่าและคุณหนูรองโปรดอภัยให้ด้วย!”

มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย โจวเสาจิ่นจึงไม่ต้องพูดอะไร

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนดูออกว่าจงหมัวมัวผู้นี้มาด้วยธุระบางอย่าง หลังจากพูดคุยแลกเปลี่ยนกับนางไปสองสามประโยคแล้ว ทั้งสองคนจึงพูดเข้าเรื่องอย่างที่เข้าใจกันทั้งสองฝ่าย

“ฮูหยินใหญ่ของพวกข้ากล่าวว่า ในเมื่อนายหญิงผู้เฒ่าให้คนดูฤกษ์มาแล้วว่าวันที่เก้าเดือนสามเป็นฤกษ์ที่ดีที่สุด เช่นนั้นก็กำหนดฤกษ์แต่งงานเป็นวันที่เก้าเดือนสามเลยก็แล้วกัน ประเดี๋ยวพ่อบ้านใหญ่ของพวกข้าจะหารือกับพ่อสื่อแม่สื่อเรื่องฤกษ์แต่งงานตามวันที่กำหนดนี้เจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนพึงพอใจยิ่งนัก

ส่วนโจวเสาจิ่นกลับรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

ดูทีแล้ว ชาติก่อนคงจะมีเรื่องบางอย่างที่ตนไม่ทราบเกิดขึ้น

ขณะที่นางฟังอยู่เงียบๆ นั้น ก็เห็นจงหมัวมัวผู้นั้นมองมาที่นางครั้งหนึ่ง แล้วเอ่ยถึงเรื่องที่ฟางซื่อใช้เงินสินสอดส่วนตัวซื้อบ้านหลังเล็กขนาดสองประตูทางเข้า[2]ที่จิงเฉิงให้เลี่ยวเส้าถังขึ้นมา กล่าวว่า “ฮูหยินใหญ่ของพวกข้ากล่าวเอาไว้แล้วว่า บ้านหลังนี้ยกให้คุณชายใหญ่ ในภายภาคหน้าหลังจากที่ฮูหยินใหญ่ของพวกข้าจากไปแล้ว ยามแบ่งสินสอด ก็จะเป็นของคุณชายใหญ่อีกครึ่งหนึ่ง นอกจากนี้เครื่องเรือน การตกแต่ง สาวใช้ และคนขับรถม้าต่างๆ ล้วนจัดการจนแล้วเสร็จไปทีละอย่างแล้ว เหลือเพียงรอให้คุณชายใหญ่แต่งงานแล้วก็พาครอบครัวไปอยู่ที่จิงเฉิงเพื่อร่ำเรียนได้เลยเจ้าค่ะ”

ตระกูลเลี่ยวของเจิ้นเจียงเป็นตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่ง หากพูดถึงจำนวนสมาชิกแล้ว ตระกูลเฉิงที่ซอยจิ่วหรูรวมกันทั้งห้าจวนแล้วจำนวนคนยังไม่มากเท่าตระกูลเลี่ยวหนึ่งจวนเลยด้วยซ้ำ หากหลังจากแต่งงานแล้วได้ไปอยู่กันตามลำพังกับสามีช่วงหนึ่ง โดยไม่ต้องมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นมารบกวน ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาก็จะได้พัฒนาได้เร็วขึ้น

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนปลาบปลื้มยินดีเป็นอย่างมาก

โจวเสาจิ่นทราบดี

นี่คงจะเป็นเงื่อนไขที่ฟางซื่อเสนอขึ้นมา

ขอเพียงนางช่วยให้พี่เขยได้รับคำชี้แนะจากเฉิงจิงหรือไม่ก็เฉิงเว่ยได้ พี่สาวของนางก็จะได้รับการปกป้องนี้จากแม่สามีอย่างฟางซื่อ

โจวเสาจิ่นหันไปส่งยิ้มน้อยๆ ให้นางพลางพยักหน้า

จงหมัวมัวไม่กล่าวอะไรอีกอย่างมีไหวพริบ แต่หันไปพูดถึงรายละเอียดงานแต่งของโจวชูจิ่นแทนว่าตระกูลเลี่ยวเตรียมจะเชิญแขกจำนวนเท่าไร จะจัดโต๊ะจำนวนเท่าไร หลังจากแต่งงานแล้วเลี่ยวเส้าถังจะได้เบี้ยรายเดือนจำนวนเท่าไรเป็นต้น

ยิ่งฟังฮูหยินผู้เฒ่ากวนก็ยิ่งดีใจ สุดท้ายตอนที่จงหมัวมัวลุกขึ้นเพื่อกล่าวอำลานั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยังลุกขึ้นหมายจะไปส่งจงหมัวมัวอีกด้วย

จงหมัวมัวกล่าวซ้ำๆ ว่า “ไม่กล้าเจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นจึงยิ้มพลางเสนอตัวช่วยเหลือ ไปส่งจงหมัวมัวแทนฮูหยินผู้เฒ่ากวน

จงหมัวมัวเห็นว่ารอบข้างไม่มีผู้ใด รีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “หากคุณหนูรองยังมีส่วนใดที่ยังไม่พึงพอใจ ขอเพียงท่านกล่าวออกมา ข้าจะนำความไปแจ้งฮูหยินใหญ่ของพวกข้าให้เจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นบอกไปตามที่โจวชูจิ่นต้องการ

แต่แน่นอนว่า นางไม่ได้บอกว่านี่เป็นเจตนาของพี่สาว บอกเพียงว่าเป็นสิ่งที่ตนกับบิดาได้ปรึกษากันมา

จงหมัวมัวผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกว่าคำพูดของโจวเสาจิ่นมีเหตุผล

น้ำใจบางอย่างยิ่งใช้ก็ยิ่งมีน้อยลงไปเรื่อยๆ

นางกล่าวขอบคุณยิ้มๆ จากนั้นไปคารวะฮูหยินใหญ่เวิ่นที่จวนห้าโดยมีหวังมามาไปเป็นเพื่อน

โจวเสาจิ่นเข้าใจว่าฤกษ์แต่งงานของพี่สาวจะยังคงถูกเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเหมือนชาติที่แล้วเสียอีก

ใครจะรู้ว่าหลังผ่านเทศกาลล่าปาแล้ว จะมีข่าวแจ้งมาจากทางฝั่งของตระกูลเลี่ยวอย่างเป็นทางการว่า งานแต่งงานของโจวชูจิ่นและเลี่ยวเส้าถังถูกกำหนดให้เป็นวันที่เก้าเดือนสาม

ถ้าพี่เขยยังคงสอบไม่ผ่านยศจวี่เหรินเหมือนกับชาติก่อน เช่นนั้นตระกูลเลี่ยวจะไม่โยนความรับผิดชอบนี้มาที่พี่สาวหรอกหรือ! นอกจากนี้ท่านยายยังไม่มีข้ออ้างมาแก้ต่างให้พี่สาวอีกด้วย

ควรจะไปบอกคนของตระกูลเลี่ยวให้ย้ายฤกษ์แต่งงานไปเดือนห้าดีหรือไม่

แต่นั่นก็จะเป็นความคิดของทางฝั่งตระกูลเฉิง หากตระกูลเลี่ยวต้องการกลั่นแกล้งพี่สาวพวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอยู่ดี!

โจวเสาจิ่นเดินไปเรื่อยๆ จนเดินมาถึงเรือนหานปี้ซาน

พวกปี้อวี้กำลังปัดกวาดทำความสะอาดกันอยู่ จึงรีบเชิญโจวเสาจิ่นเข้าไปนั่งด้านใน “ระวังฝุ่นจะเปื้อนตัวท่านหมดนะเจ้าคะ”

โจวเสาจิ่นฝืนยิ้มออกมา

ชิงเฟิงเดินเข้ามาจากด้านนอก กล่าวขึ้นใบหน้าเคร่งขรึมว่า “คุณหนูรอง ท่านมาหานายท่านสี่หรือขอรับ นายท่านสี่กำลังคำนวณบัญชีอยู่ในห้อง! นายท่านสี่บอกว่า ตอนที่เขากำลังคำนวณบัญชีอยู่ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าไปรบกวนเป็นอันขาด แม้แต่ท่านลุงไหวซาน ทุกวันนี้ยังต้องปรนนิบัติอยู่ด้านนอกเลยขอรับ!”

“อ้อ!” โจวเสาจิ่นขานตอบไปเสียงหนึ่ง

นางเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปหาท่านน้าฉือเช่นกัน

เรื่องเช่นนี้ต่อให้นางเอาไปพูดกับท่านน้าฉือก็พูดได้ไม่ชัดเจน ไม่แน่ว่าจะทำให้ท่านน้าฉือระแคะระคายมองเห็นเบาะแสได้อย่างรวดเร็วก็เป็นได้ ให้นางไปพูดกับท่านน้าฉือ ไม่เท่ากับว่าไปหาเรื่องให้ตัวเองหรอกหรือ

อีกอย่าง ความจริงแล้วเวลาท่านน้าฉือกำลังคำนวณบัญชีนางไม่ควรเข้าไปรบกวนท่านน้าฉือ คราวก่อนนางไม่รู้ เข้าไปส่งเสียงดังวุ่นวายโดยไม่ตั้งใจ…

โจวเสาจิ่นนั่งดูพวกปี้อวี้ทำความสะอาดอยู่ในลานของเรือนหานปี้ซานครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นกล่าวอำลา

ปี้อวี้กล่าวขึ้นอย่างแปลกใจว่า “คุณหนูรองมาที่นี่เพื่ออันใดกัน”

เฉิงฉือย้ายเข้ามาอยู่ที่เรือนหานปี้ซาน แต่เรือนหานปี้ซานกลับไม่ได้เพิ่มจำนวนสาวใช้ ทุกคนจึงยุ่งจนหัวหมุน ก็เลยไม่มีใครสนใจคำพูดของปี้อวี้

……………………………..