ตอนที่ 705 เทพสรรพชีวิตเล่นกับไฟ

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ฉินมู่หัวใจตกวูบ และเขารีดเร้นพลังอำนาจทั้งตัวของเขาเพื่อขับเคลื่อนนำทางวิญญาณ เขาพยายามอย่างสุดชีวิตที่จะอัญเชิญจิตวิญญาณดั้งเดิมของคนตัดไม้ บรรพชนแรก และคนอื่นๆ กลับมาจากแดนใต้พิภพ ก่อนที่เงาร่างทั้งสามจะลงมาถึง

ผู้คนที่เดินลงมาจากจันทร์เพ็ญนั้นมิใช่ใครอื่นนอกเสียจากโหลอวิ๋นชวีและศิษย์น้องของเขา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้เข้ามาในลี่โจวในแบบที่ฉินมู่คาดเดาเอาไว้

ฉินมู่คิดมาตลอดว่าพวกเขาจะร่ายเวทมนตร์บนท้องฟ้าเหนือลี่โจว แต่ไม่คาดคิดเลยว่าพวกเขาจะทำผิดจากความคาดหมายเดิมของเขาและเข้าไปในดวงจันทร์ อันอยู่ห่างจากสันตินิรันดร์มากกว่าสิบหมื่นลี้!

ท้องฟ้านั้นสูงสิบหมื่นลี้ และหนาเพียงสี่ร้อยห้าสิบวา วิชาพยุหะแห่งดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวล้วนแต่ไปรวบรวมกันอยู่ในความหนาเท่านั้น และเทพเจ้าแห่งสภาสวรรค์มากมายก็กำลังปกป้องคุ้มกันสถานที่แห่งนั้นอยู่ พวกเขาคอยรักษาการเคลื่อนคล้อยโคจรของเทหวัตถุทั้งหลายบนฟากฟ้าเพื่อตบตาผู้คนในโลกหล้า

โหลอวิ๋นชวีและคนอื่นๆ คงจะใส่บันทึกเป็นตายเข้าไปในวงจรพยุหะแห่งดวงจันทร์ และหยิบยืมพลานุภาพของดวงจันทร์เพื่อสาดส่องลงมายังลี่โจว!

คืนนี้เป็นคืนแรกแห่งเดือนจันทรคติ และในวันแรกไม่ควรจะมีดวงจันทร์ ใครก็ตามคงนึกออกได้ว่าในสถานที่อื่นๆ คงมีแต่ดาวพราวฟ้าโดยปราศจากดวงจันทร์ มีแต่ลี่โจวเท่านั้นที่เห็นจันทร์เพ็ญดวงนี้

ผู้คนแห่งลี่โจว ผู้ฝึกวิชาเทวะ และแม้กระทั่งเทพเจ้าอย่างซูอวิ๋นจือต่างก็ตกลงไปในกับดัก

ไม่เพียงแต่ซูอวิ๋นจือเท่านั้น แม้แต่นักบุญคนตัดไม้ก็ไม่คาดคิดว่าโหลอวิ๋นชวีจะจู่โจมลงมาจากดวงจันทร์ เมื่อแสงจันทร์สาดต้องพวกเขา ทุกอย่างก็สายเกินไป

วรยุทธของพวกเขาแข็งแกร่งอย่างไร้ปานเปรียบ แต่พวกเขาได้สูญเสียจังหวะชิงลงมือก่อน เมื่อเผชิญกับสมบัติวิเศษอย่างบันทึกเป็นตายที่หลอมสร้างขึ้นมาโดยจักรพรรดิดำแดนบาดาล การสูญเสียจังหวะชิงลงมือก่อนก็เท่ากับสูญเสียชีวิต

เพียงความผิดพลาดเดียวทำให้ทุกๆ คนในลี่โจวดับสูญ มีก็แต่ฉินมู่ที่ยังเหลือรอด!

เพราะตัวตนของเขาในฐานะโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพ จึงกลายเป็นบุคคลเดียวที่ไม่ถูกบันทึกเป็นตายควบคุม

หนทางเดียวที่ข้าจะพลิกสถานการณ์กลับได้ก็คือการแย่งชิงจิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขากลับมา! มิเช่นนั้น ข้าเพียงคนเดียวไม่สามารถต่อสู้กับโหลอวิ๋นชวีและพรรคพวกได้!

ฉินมู่ขับเคลื่อนทักษะเทวะ และประตูน้อมสวรรค์ก็ปรากฏข้างหลังเขา เสียงอันทุ้มหนักของภาษาใต้พิภพดังออกมาจากปากของเขา และประตูน้อมสวรรค์ก็เปิดอ้าออก ในพริบตานั้น ดวงวิญญาณมากมายก็ล่องลอยออกมาจากทั่วทิศทาง

“ทำไมดวงวิญญาณของนักบุญคนตัดไม้และคนอื่นๆ ไม่อยู่ที่นี่” ฉินมู่หัวใจจมปลักลงไปทุกที

เมื่อเขาขับเคลื่อนนำทางวิญญาณ ตราบเท่าที่มีซากสังขารอยู่ตรงหน้า เขาก็จะสามารถสัมผัสหาดวงวิญญาณและนำทางกลับมาได้

แต่บัดนี้ ไม่ว่าเขาจะค้นหาแดนใต้พิภพด้วยทักษะเทวะของเขามากเท่าใด เขาก็ยังไม่อาจสัมผัสได้ถึงดวงวิญญาณของนักบุญคนตัดไม้ กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก และคนอื่นๆ ได้

จันทร์เพ็ญยังคงแขวนห้อยอยู่บนฟ้าสูง และความเร็วของทั้งสามคนที่กำลังเดินลงมาจากดวงจันทร์นั้นรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง จุดสามจุดค่อยๆ ขยายออกมา จนกระทั่งมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

ฉินมู่เพ่งสมาธิกับการร่ายเวทมนตร์และเหงื่อเย็นเยียบก็กลิ้งลงจากหน้าผากของเขา เขาพลันกัดฟันและปลดใบหลิวทองคำออกมาจากหว่างคิ้ว “เทพสรรพชีวิต จักรพรรดิแดงฉาน นี่เกี่ยวพันกับความเป็นความตายของข้า ข้าจำเป็นต้องยืมพลังอำนาจของพี่ชายข้าเพื่อต่อสู้กับเทพและมารแห่งแดนบาดาล!”

บนแผ่นดินรูปตัวฉิน ทารกยักษ์กำลังอมหัวแม่มืออยู่และมองไปรอบๆ อย่างสนอกสนใจเมื่อได้ยินที่ฉินมู่กล่าว หรือว่าน้องชายตัวร้ายคิดจะกินข้าอีกแล้ว แต่เขาก็ให้อาหารอร่อยกับข้ามากมาย กล่องเล็กเมื่อไม่นานมานี้รสชาติสุดยอดมากเลยล่ะ…

เขาเจ้าคิดเจ้าแค้น และยังจำได้ถึงตอนที่ฉินมู่แย่งชิงพลังอำนาจของเขาและเกือบจะกินเขาเข้าไป

แต่ทว่า ฉินมู่ก็เพิ่งป้อนแสงโลหิตอันออกมาจากมีดปริศนาประหารเทพให้แก่เขา นั่นคือแสงมีดที่ก่อขึ้นมาจากปีศาจโลหิต และเขากินไปทีหนึ่งก็อิ่มท้องอย่างสุดๆ นั่นทำให้เขาบรรเทาความโกรธเกลียดที่มีต่อฉินมู่ไปได้บ้างนิดหน่อย แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เขายังคงไม่ยินดีจะช่วยเหลือฉินมู่

จักรพรรดิแดงฉานและเทพสรรพชีวิตหันไปมองหน้ากันและกันพลางปรึกษาหารือ “ตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไรดี หากว่าพวกเราปล่อยให้เขาได้รับพลังอำนาจแห่งโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพ เขาก็จะกลายเป็นคดข้อเลวทราม และหากว่าพวกเราไม่ให้เขายืม เมื่อคนน้องชายตายไป คนพี่ชายก็จะเข้ามาควบคุมร่าง หากว่าเขาเริ่มกิน ศิษย์แห่งแดนบาดาลก็ไม่จำเป็นต้องลงมือเลยด้วยซ้ำ เพียงเขาแค่คนเดียวก็เพียงพอที่จะกัดกินสันตินิรันดร์ไปทั้งหมด และแปรเปลี่ยนมันให้เป็นแดนใต้พิภพอีกแห่ง”

“กินทุกอย่างจนกลายเป็นแดนใต้พิภพก็พอทำเนา แต่ข้าเกรงว่าเขาจะกินจนแผ่นดินว่างเปล่า ไม่มีเหลือภูตผีเลยสักตัว แผนการณ์หนึ่งเดียวในวันนี้ก็คือจะต้องนำพลังอำนาจไปให้คนน้องยืม แต่พวกเราไม่ควรให้พลังอำนาจทั้งหมดแก่เขา”

เทพสรรพชีวิตกล่าว “หากว่าพวกเราให้เขาไปทั้งหมด ก็คงมีแต่ยอดฝีมือบัลลังก์จักรพรรดิเท่านั้นที่จะปราบเขาได้ แต่ทว่า หากพวกเราให้เขาแต่น้อย เขาก็จะไม่ถูกสันดานมารเข้าครอบงำโดยง่าย เป็นแบบนั้น พวกเราก็ยังคงมีโอกาสแก้ไขเรื่องนี้ได้”

จักรพรรดิแดงฉานกล่าวด้วยความลังเล “ท่านไม่กลัวหรือว่ากำลังเล่นอยู่กับไฟ”

เทพสรรพชีวิตหัวเราะในคอและเต็มไปด้วยความมั่นใจ “อย่ากังวลไป ข้าไม่เคยเล่นกับไฟ มาช่วยข้าสิ พวกเรามาเปิดผนึกกันสักเล็กน้อย แต่ไม่อาจเปิดกว้างจนเกินไปเพื่อป้องกันไม่ให้คนพี่วิ่งออก แม้ว่าคนพี่จะไม่เจ้าเล่ห์กลอกกลิ้งเท่ากับคนน้อง แต่เขาก็ค่อนข้างเฉลียวฉลาด กระนั้นเราก็ยังคงไม่อาจปล่อยให้คนน้องได้พลังอำนาจแห่งแดนใต้พิภพไปมากเกิน ดังนั้น พวกเราจะต้องร่วมมือร่วมใจกันเป็นหนึ่งเดียว ไม่อาจมีข้อผิดพลาดได้แม้แต่นิด ปัญหาเดียวในตอนนี้ก็คือ ทำอย่างไรถึงจะเกลี้ยกล่อมให้คนพี่ปล่อยพลังอำนาจเล็กน้อยออกมาให้หยิบยืม”

ทั้งสองคนมองไปที่ทารกตัวมหึมา และจักรพรรดิแดงฉานก็กระซิบ “นี่คงจะยากอยู่สักหน่อย”

ทารกยักษ์ลุกขึ้นยืนอย่างไม่มั่นคงและยิ้มหยัน “ตาแก่หนวดขาว สามหัว พวกเจ้าทั้งสองกำลังคิดจะแตะต้องข้าหรือ คิดจะรนหาที่ตายหรืออย่างไร”

ฉินมู่กำลังร่ายเวทมนตร์อยู่บนหอดูดาว แต่ทันใดนั้นลำแสงสายหนึ่งก็ยิงมาทำลายประตูน้อมสวรรค์ข้างหลังเขา โหลอวิ๋นชวี ขุยชิงเผย และฟู่เอี๋ยนชีเหาะลงมาจากนภากาศ และเหยียบอากาศยืนอยู่เหนือหอดูดาว

สายไปแล้ว!

ฉินมู่ขับเคลื่อนสำนึกรู้เทพอมตะสามจิตวิญญาณดั้งเดิม แต่กระนั้นเขาก็ไม่รู้สึกว่ามีพลังอำนาจใดๆ ไหลออกมาจากหว่างคิ้วของเขา เขาลอบกังวลเล็กน้อย

“ฉินเฟิงชิง ต่อให้ข้าปล่อยให้เจ้าเรียกดวงวิญญาณมา เจ้าก็ไม่อาจพลิกสถานการณ์ได้”

โหลอวิ๋นชวีเดินลงมาจากท้องฟ้าและกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “นั่นเพราะว่าพวกเขามิได้อยู่ในแดนใต้พิภพ พวกเขาถูกข้าส่งไปที่แดนบาดาล เจ้าสามารถใช้นำทางวิญญาณ และเจ้าสามารถอัญเชิญดวงวิญญาณของผู้คนกลับจากแดนใต้พิภพได้ แต่ทว่า มันไร้ประโยชน์หากว่าดวงวิญญาณของพวกเขาอยู่ในแดนบาดาล”

ฉินมู่หรี่ตาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มิน่าล่ะข้าถึงสัมผัสถึงจิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขาไม่ได้เลย ที่แท้พวกเขาก็อยู่ในแดนบาดาล เวทมนตร์แดนบาดาลน่าจะมีที่มาจากแดนใต้พิภพ และจากหลักเหตุผลข้อนี้ เวทมนตร์ของข้าน่าจะชิงตัวผู้คนออกมาจากแดนบาดาลได้ ข้าเคยแย่งชิงดวงวิญญาณจากยมโลกและแดนใต้พิภพมาก่อน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าจะลองชิงมาจากแดนบาดาล”

ขุยชิงเผยเหาะลงมาจากอากาศและเดินมาตรงหน้าของฉินมู่ เขากล่าวอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “แย่งชิงผู้คนจากแดนบาดาลนั้นยากยิ่งกว่าแย่งชิงผู้คนจากแดนใต้พิภพ แดนบาดาลนั่นมาจากแดนใต้พิภพแน่นอนอยู่แล้ว แต่ทักษะเทวะที่เคยมาจากแดนใต้พิภพนั้นได้เหนือล้ำขึ้นไปอย่างมากด้วยการพัฒนาของจักรพรรดิดำ”

ฉินมู่กล่างด้วยรอยยิ้ม “ทำไมพวกเจ้าทั้งสามไม่ลองดูสักหน่อยล่ะ ข้าอาจจะชิงตัวผู้คนจากแดนบาดาลก็ได้นา ข้าอาจจะสามารถหาจุดอ่อนในแดนบาดาลให้กับจักรพรรดิดำ เผื่อพวกเจ้าจะซ่อมแซมแก้ไขได้”

ฟู่เอี๋ยนชีเดินมาจากข้างหลังเขาและกล่าว “โอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพ ไม่จำเป็นต้องพยายามถ่วงเวลาหรอก อาจารย์ของพวกข้า จักรพรรดิดำแห่งแดนบาดาล ได้เป็นผู้ลงมือจัดการเรื่องราวของสันตินิรันดร์เองในคราวนี้ เห็นได้ชัดว่าเขามองสันตินิรันดร์สำคัญมากเพียงไหน และมันก็ยังเป็นหมุดหมายของจุดจบสันตินิรันดร์อีกด้วย”

ฉินมู่หัวใจจมดิ่งลงไปเรื่อยๆ โอรสหยินสวรรค์เข้ามาเกี่ยวพันด้วยตนเองเชียวหรือ

มิน่าล่ะ นักบุญคนตัดไม้และกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกถึงตกลงในกับดัก!

วรยุทธของโอรสหยินสวรรค์ลึกล้ำเกินจะหยั่ง และหากว่าเขาเข้ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องการส่งภัยพิบัติมายังสันตินิรันดร์ด้วยตนเอง สันตินิรันดร์ก็ย่อมไม่มีหนทางรอดอย่างแท้จริง!

“อาจารย์ของข้าต้องการพบเจ้า เขาไม่มีความสนใจต่อสันตินิรันดร์ เขาสนใจแต่เพียงเจ้า ครั้งหนึ่งเขาเคยให้ศิษย์น้องฉีเจี่ยวอี๋มาจัดการกับเจ้า แต่ศิษย์น้องนั้นไร้ความสามารถ ดังนั้นเขาจึงสั่งให้พวกเราออกหน้ามา”

โหลอวิ๋นชวีกล่าว “กระจกที่ศิษย์น้องฉีเจี่ยวอี๋ใช้เพื่อปิดผนึกเจ้า เจ้าคงยังเก็บมันเอาไว้ ใช่หรือไม่”

ฉินมู่ยังคงขับเคลื่อนสำนึกรู้เทพอมตะอยู่ลับๆ และพยายามที่จะขโมยพลังอำนาจของพี่ชาย แต่เขาทำไม่สำเร็จ ในตอนนั้นเอง เขาก็พลันพบว่ามีพลังอำนาจจำนวนหนึ่งไหลบ่าออกมาจากหว่างคิ้วของเขา เขาลิงโลดใจแต่ยังวางทีท่าสงบนิ่ง

“กระจกที่พวกเจ้าทั้งสามหมายถึง นั่นคงเป็นบานที่ข้าแย่งชิงจากฉีเจี่ยวอี๋สินะ?”

ฉินมู่คุ้ยหาในถุงเต๋าตี้และกล่าว “รอสักครู่ ให้ข้าหามันดู”

โหลอวิ๋นชวีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กระจกบานนี้ใช้เพื่อปิดผนึกเจ้า และอาจารย์ก็สร้างมันขึ้นมาสำหรับเจ้าโดยเฉพาะ เจ้าเพียงแต่ต้องนำมันออกมาและส่องไปยังตนเองเพื่อตรึงตัวเจ้าไว้กับที่ นั่นจะช่วยประหยัดเวลาพวกเราได้มาก”

ฉินมู่นำกระจกบานหนึ่งออกมาจากถุงเต๋าตี้ เขาส่ายหัวและกล่าว “ไม่ใช่อันนี้” หลังจากกล่าวเช่นนั้น เขาก็คุ้ยหาในถุงของเขาอีกครั้ง

“ไม่ใช่อันนี้เหมือนกัน” เขานำเอากระจกอีกบานมาส่องใส่ตนเอง เขาส่ายหัวและโยนมันไปข้างหนึ่ง

โหลอวิ๋นชวีและพรรคพวกรออยู่อย่างใจเย็น และในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ฉินมู่ก็นำเอากระจกมากกว่าสิบบานออกมาจากถุงเต๋าตี้ เขาฉายส่องทุกบานไปที่ตนเอง แต่กระนั้นก็ไม่มีบานไหนที่ตรึงเขาเอาไว้กับที่ได้

ในไม่ช้า ความอดทนของโหลอวิ๋นชวีและพรรคพวกก็เริ่มหมดสิ้นไป เมื่อฉินมู่โยนกระจกออกมามากขึ้นทุกทีๆ แต่ทว่ากระจกที่จักรพรรดิดำแดนบาดาลสร้างขึ้นก็ไม่ปรากฏขึ้นมาสักที

“เป็นบุรุษแท้ๆ ทำไมเจ้าถึงพกกระจกหลายบานนัก” ฟู่เอี๋ยนชีตะโกนใส่หน้าเขาด้วยอารมณ์ร้อน

“ช่วยไม่ได้นี่ เพราะข้ามันหล่อ ก็เลยต้องพกกระจกตัวตัวหลายๆ บานหน่อย” ฉินมู่เงยหน้าขึ้นมา และหน้าแดงด้วยความเขิน

ฟู่เอี๋ยนชีแค่นเสียงด้วยโทสะ “ร่างกายมนุษย์ก็เป็นเพียงเลือดเนื้อที่ตายไปได้ เมื่อเจ้าตายในชาตินี้ เจ้าก็สามารถมีชีวิตต่อในชาติหน้า ทำไมต้องมานั่งใส่ใจร่างกายขนาดนี้ ดูที่มือข้า ข้าถูกตัดนิ้วไปเกือบหมดเหลือนิ้วเดียว แต่ข้าก็ยังไม่มานั่งรักสวยรักงามเหมือนเจ้า!”

เขายกมือขวาของเขา อันมีเพียงนิ้วหัวแม่มือเหลืออยู่

ฉินมู่ไม่ตอบ และนำกระจกบานหนึ่งออกมาส่องไปยังตนเอง ทันใดนั้น ร่างของเขาก็แข็งทื่อ และเขาก็กระดุกกระดิกไม่ได้

โหลอวิ๋นชวีและคนอื่นๆ ระบายลมหายใจโล่งอก ขุยชิงเผยกล่าว “ดูเหมือนว่าจะเป็นอันนี้ เทพภัยพิบัติที่จะนำหายนะมากำลังจะฟื้นคืนชีพ นี่ไม่ใช่สถานที่ปลอดภัยที่จะรั้งอยู่ต่อ พวกเรารีบกลับไปที่แดนบาดาลเพื่อป้องกันไม่ให้พลอยโดนลูกหลงไปด้วยจะดีกว่า!”

ข้างๆ แม่น้ำหย่งมีรูปสลักหินอยู่ตนหนึ่ง และขณะนี้รูปสลักหินก็ดูเหมือนว่าจะฟื้นฟูสีสันของเลือดเนื้อ และความเป็นหินของมันก็ค่อยๆ จางหายไป คลื่นเทวานุภาพอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ออกมาจากร่างกายของเขา และสร้างรอยกระเพื่อมไปยังพื้นที่โดยรอบ

โหลอวิ๋นชวีและคณะรู้สึกถึงคลื่นกระแทกที่ส่งมาจากรูปสลักหิน และหัวใจพวกเขาก็แตกตื่น

รูปสลักหินเหล่านี้ได้รับการขนานนามในสภาสวรรค์ว่า เทพภัยพิบัติ

พวกเขาเป็นเทพเจ้าที่ถูกสภาสวรรค์ใช้สอยให้ส่งภัยพิบัติไปยังแดนต่ำใต้ที่กระด้างกระเดื่อง เมื่อเทพภัยพิบัติเหล่านี้จุติลงไป โลกหล้าก็จะกลายเป็นปั่นป่วนโกลาหล ในอดีตนั้นโลกมิติธรรมดาๆ ต้องใช้เทพภัยพิบัติจุติลงไปหนึ่งถึงสองตนเป็นอย่างมาก และนั่นก็เพียงพอที่จะทำลายล้างโลกแล้ว แต่ทว่าสำหรับสันตินิรันดร์นั้นแตกต่างออกไป มีการส่งเทพภัยพิบัติจุติลงมามากกว่าสามสิบตนในคราวเดียวกัน!

ไม่เพียงเท่านั้น พร้อมๆ กับการมาเยือนของเทพภัยพิบัติทั้งหลาย ยังมีอาวุธภูมิอากาศอีกมากกว่าสิบ

อาวุธภูมิอากาศเหล่านี้เรียกว่าเทพศาสตราหายนะ และพวกมันเป็นอาวุธที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อลงโทษผู้คน พวกมันถูกสร้างขึ้นมาโดยเทพบรรพกาลที่ถือกำเนิดขึ้นมาก่อนฟ้าและดิน เพียงแค่หนึ่งและสองเทพศาสตราก็เพียงพอที่จะทำลายล้างโลกมิติหนึ่งในทุกหย่อมหญ้า!

และถึงกับมีอาวุธทำนองนี้อยู่ในสันตินิรันดร์มากกว่าสิบชิ้น

เทพภัยพิบัติพร้อมกับเทพศาสตราหายนะ นั้นนับว่าเป็นการส่งกองกำลังที่สามารถทำลายล้างโลกได้เลยจริงๆ!

เทพภัยพิบัติไม่เห็นแก่หน้าอินทร์หน้าพรหม และก็เช่นเดียวกับเทพศาสตราหายนะ ดังนั้นโหลอวิ๋นชวีและพรรคพวกจึงต้องจากไปโดยพลันหลังจากจุดชนวนภัยพิบัติที่พวกเขาไม่ต้องการโดนลูกหลงไปด้วย

ขุยชิงเผยเดินเข้าไปและคว้ากระจกในมือของฉินมู่ด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์ใช้ความพยายามมากมายในการหลอมสร้างคันฉ่องหยกบาดาล เขาใช้เวลาถึงสี่ห้าปีเพื่อขัดเกลามันให้สมบูรณ์ และสมบัติวิเศษนี้ใช้เพื่อมุ่งเป้าโจมตีโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพเป็นการเฉพาะ พวกเราจะไปคาดคิดได้อย่างไรว่าศิษย์น้องฉีเจี่ยวอี๋จะปล่อยให้กระจกตกลงไปในเงื้อมมือของไอ้เด็กนี่ ไอ้เด็กนี่ดูมีสติปัญญาแต่เขาก็ติดกับดักพวกเราอยู่ดีมิใช่หรือ จัดการเขานี่มันง่ายดายเสียจริงๆ…”

ขณะที่ฝ่ามือของเขาจะคว้าจับกระจกหยกบาดาลนั่นเอง ฝ่ามือของฉินมู่ก็คว้าจับฝ่ามือของเขาเอาไว้

“ง่ายจริงๆ น่ะหรือ” เสียงของฉินมู่ดังมาข้างๆ หูของเขา และเป็นเสียงอันเยียบเย็นชั่วร้าย อันทำให้ผู้คนตัวสั่นเทิ้มโดยไม่ต้องหนาวเย็น

ขุยชิงเผยเงยหน้าขึ้นและเห็นดวงตาทั้งสามของฉินมู่สาดส่องแสงรูปปีกผีเสื้อออกมา

โลหิตในกายขุยชิงเผยเย็นเยียบ “โอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพ เจ้าไม่ได้ถูกปิดผนึก…”

“พี่ชายของข้าเป็นคนที่โดนปิดผนึก”

ฝ่ามืออีกข้างของฉินมู่คว้าจับศีรษะของขุยชิงเผยและบิดมันไปด้วยกำลังแรง ขุยชิงเผยสามารถเห็นก้นและส้นเท้าของตนเองได้

ฟิ้ว

ลำแสงยิงพุ่งออกจากดวงตาสามดวงของฉินมู่ และลำแสงสามลำยิงทะลุท้ายทอยของขุยชิงเผยไปยังด้านหน้า

“ฉีเจี่ยวอี๋ไม่ได้บอกเจ้าสักอย่างเลยหรือ เขาพยายามที่จะตรึงข้าเอาไว้กับที่ด้วยกระจก แต่เขาทำไม่สำเร็จ ในทางกลับกัน เขาพ่ายแพ้ให้กับข้า!”

ฉินมู่อ้าปากเพื่อสูดลมเข้าไปลึก และจิตวิญญาณดั้งเดิมของขุยชิงเผยที่กำลังจะหลบหนีเข้าไปในแดนบาดาลก็ตะเกียกตะกายหนีไปไม่พ้นจากการลอยลิ่วเข้าไปในปากของฉินมู่!

“ในเมื่อเจ้าโง่เขลานัก ก็อย่าไปเกิดใหม่เลย ใช้ข้าชิมจิตวิญญาณดั้งเดิมของเจ้าสักหน่อยเถอะ!”

โหลอวิ๋นชวีและฟู่เอี๋ยนชีสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง พวกเขารีบถลันเข้าไปช่วย แต่ก็ได้ยินเสียงปัง ฟู่เอี๋ยนชีถูกซัดปลิวกลับไป แต่โหลอวิ๋นชวีมีวรยุทธสูงสุดและเป็นเทพเจ้าบนแท่นประหารเทพ กำลังฝีมือของเขาสูงกว่าและถูกฉินมู่ซัดจนเซออกไปไม่กี่ก้าว

กายเนื้อของขุยชิงเผยตายไปแล้ว และจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็พยายามจะดิ้นให้หลุดเพื่อหลบหนีเข้าไปในแดนบาดาล ฉินมู่ลงไปเหยียบพื้นและยื่นมือออกไปเพื่อคว้าจับเขาไว้ในอากาศ ทำให้เขาไม่อาจกลับเข้าไปในแดนบาดาลได้

“รสชาติของศิษย์แดนบาดาลจะต้องอร่อยกว่าพวกสัตว์ประหลาดในแดนใต้พิภพเป็นแน่!” ฉินมู่อ้าปากขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น

โหลอวิ๋นชวีและฟู่เอี๋ยนชีพุ่งเข้ามาโจมตีอีกครั้ง เพื่อหมายช่วยชีวิตขุยชิงเผยจากการถูกฉินมู่กินอย่างสุดความสามารถ

ในหว่างคิ้วของฉินมู่ จักรพรรดิแดงฉานกะพริบตาของเขาอยู่บนแผ่นดินรูปตัวฉิน “พวกเราให้พลังอำนาจใต้พิภพกับเขามากไปหรือเปล่า”

ใบหน้าของเทพสรรพชีวิตฟกช้ำดำเขียวไปหมด และเขากล่าว “นี่ไม่มากหรอก ไม่ต้องกังวล ข้ารู้ดีน่าว่ากำลังทำอะไรอยู่! ตอนไหนกันที่ข้าทำเรื่องราวไปโดยไม่มั่นใจพอ”

ข้างๆ พวกเขา ทารกตัวใหญ่นั่งอยู่ด้วยร่างแข็งทื่อไม่ไหวติง ปราณมารใต้พิภพไหลออกมาจากร่างกายของเขาอย่างเชี่ยวกรากออกไปยังโลกภายนอก

พวกเขาได้พยายามกำราบฉินเฟิงชิงและหมายที่จะส่งพลังอำนาจของเขาไปให้ฉินมู่ แต่ฉินเฟิงชิงแข็งแกร่งเกินไป กระทืบพวกเขาทั้งสองจนยับเยิน และแม้ว่าพวกเขาจะงัดทุกอย่างที่มีมาใช้ ก็ยังปราบฉินเฟิงชิงไม่ได้

โชคดีที่ว่า ฉินมู่ค้นเจอคันฉ่องหยกบาดาลที่โอรสหยินสวรรค์สร้างขึ้นมา และเมื่อฉินมู่มองเข้าไปในกระจก กระจกนั้นก็ปรากฏในผนึกรูปตัวฉินด้วยเช่นกัน และตั้งลงไปตรงหน้าฉินเฟิงชิง ทารกจ้องมองกระจกด้วยความอยากรู้อยากเห็น และเสียงอันไพเราะอัศจรรย์ก็ดังออกมาจากกระจก ตรึงทารกนี้เอาไว้กับที่ด้วยทักษะเทวะและพละกำลังอันไร้ประมาณ

จักรพรรดิแดงฉานถามด้วยความสงสัย “หากว่าพลังอำนาจที่มอบเขาไปมีจำนวนไม่มาก ทำไมเขาถึงอยากจะกินจิตวิญญาณดั้งเดิมของไอ้เจ้าขนอ่อนนั่นล่ะ หรือว่าปกติแล้วฉินมู่ก็ดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง”

เทพสรรพชีวิตกะพริบตาปริบๆ และจักรพรรดิแดงฉานก็กะพริบตาปริบๆ ด้วยเช่นกัน ทั้งสองคนต่างก็มองกันไปมาด้วยความหนักอึ้ง

เทพสรรพชีวิตพึมพำ “จะมีวิธีแก้ไขเรื่องนี้ไหม”