ตอนที่ 133-1 ออกศึก (2)

ชายาเคียงหทัย

กองทัพตระกูลม่อจำนวนแปดแสนนาย มีนายทหารเพียงห้าหมื่นนายที่รักษาการอยู่บริเวณโดยรอบเมืองหลวง และอยู่ใต้การบังคับบัญชาของแม่ทัพจางฉี่หลัน และว่ากันว่าทหารห้าหมื่นนายนี้มีหน้าที่ปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยของเมืองหลวง ดังนั้นจึงมิอาจเคลื่อนพลตามเยี่ยหลีไปทำศึกยังชายแดนได้

 

 

เยี่ยหลีและหนานโหวจำเป็นต้องนำคนเดินทางไปยังบริเวณที่ห่างจากเมืองหลวงไปหลายร้อยลี้ เพื่อรวมพลกับทัพใหญ่ที่เดินทางมาจากจุดที่ประจำการอยู่หลายจุดด้วยกัน จากนั้นถึงค่อยเดินทางต่อไปยังชายแดน ซึ่งช่วยลดพิธีการส่งทหารและการปฏิญาณตนก่อนการเดินทางไปได้ ซึ่งเยี่ยหลีก็ไม่ใคร่ชื่นชอบพิธีการปา**่เช่นนี้สักเท่าไร นางจึงรู้สึกพอใจกับการจัดเตรียมอย่างลวกๆ เช่นนี้ไม่น้อย

 

 

คนของตำหนักติ้งอ๋องโดยส่วนใหญ่ ต้องรั้งอยู่ที่เมืองหลวงเพื่อรับผิดชอบหน้าที่ของตนที่ได้รับมอบหมาย คนที่ติดตามเยี่ยหลีไปออกรบด้วยจึงมีเพียงเฟิ่งจือเหยาและจั๋วจิ้ง รวมถึงอวิ๋นถิงที่ถูกจับโยนเข้าไปในค่ายทหารมาระยะหนึ่ง และสวีชิงเจ๋อที่ไม่รู้ไปเกลี้ยกล่อมม่อจิ่งฉีอีท่าไหนถึงได้ยอมอนุญาตให้เขาติดตามไปด้วย

 

 

ด้วยเพราะสวีชิงเจ๋อยืนกรานที่จะเดินทางไปยังชายแดนพร้อมกับตน ทำให้เยี่ยหลีรู้สึกผิดต่อฉินเจิงที่ไม่ได้พบหน้ากันมานานพอสมควรไม่น้อย แต่ฉินเจิงที่มาส่งคณะเดินทาง กลับยิ้มให้เยี่ยหลีอย่างเข้าใจเป็นอย่างดี และเพียงเอ่ยเตือนทั้งสองให้เดินทางด้วยความระมัดระวัง แล้วรีบเดินทางกลับมาโดยไว

 

 

นอกจากคนกลุ่มนี้แล้ว ไม่รู้ม่อจิ่งฉีคิดอันใดอยู่ ก่อนเดินทางยังได้จัดแจงให้มู่หยางร่วมทัพไปด้วย โดยม่อจิ่งฉีให้เหตุผลว่า วันเดินทางกลับของติ้งอ๋องนั้นยังไม่แน่ชัด หนานโหวก็อายุมากแล้ว จึงส่งมู่หยางให้มาคอยเป็นทหารคอยรับใช้หนานโหว กับเรื่องนี้เยี่ยหลีและหนานโหวมิได้มีความเห็นอันใดมากนัก ที่ม่อจิ่งฉีส่งมู่หยางมาร่วมเดินทางด้วยเพราะเหตุอันใดนั้น ในใจทุกคนต่างรู้ดี ถึงแม้มู่หยางจะอายุยังน้อยและมีความหลักแหลม แต่คนอื่นๆ ต่างก็มิใช่คนถือศีลกินเจที่ไม่มีพิษสง เมื่ออยู่ในสนามรบแล้ว สถานการณ์จะเป็นเช่นไร ก็มิมีผู้ใดอาจคาดเดาได้ พวกเขาจึงไม่จำเป็นที่จะต้องตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับฮ่องเต้ด้วยเรื่องเล็กน้อยเท่านี้

 

 

คณะของพวกเขาควบม้าเดินทางด้วยความเร็วสูง ใช้เวลาเพียงหนึ่งวันก็เดินทางถึงเมืองเหิงสุ่ย เมืองยุทธศาสตร์ทางการทหารที่อยู่หากจากเมืองหลวงออกไปห้าร้อยลี้ เมืองเหิงสุ่ยมิได้เป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่และสวยงาม แต่ห่างไปทางตะวันตกยี่สิบลี้ มีทหารตระกูลม่อประจำก่อนอยู่กว่าหนึ่งแสนนาย ส่วนทหารที่ประจำการอยู่ในพื้นที่อื่นต่างก็รีบเดินทางมาที่นี่เช่นกัน ภายในสองสามวันนี้จะมีทหารจำนวนกว่าสามแสนนายเดินทางมารวมพลกันที่เมืองนี้

 

 

จนเมื่อเดินทางใกล้จะถึงเมืองเหิงสุ่ย เยี่ยหลีก็บังคับม้าให้หันกลับไป นางเอ่ยกับหนานโหวว่า “ท่านโหว แม่ทัพซุนเดินทางมาถึงเหิงสุ่ยตั้งแต่เย็นวานแล้ว หากพวกเราเข้าเมืองแล้วก็ตรงไปยังค่ายใหญ่ของเหิงสุ่ยเลยเถิด”

 

 

หนานโหวมองเยี่ยหลีที่นั่งตัวตรงอยู่บนหลังม้าด้วยสายตาชื่นชม แล้วเอ่ยว่า “จัดการตามที่พระชายาว่าแล้วกันพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

การควบม้าติดต่อกันตลอดทั้งวันทั้งคืนนั้น ต่อให้เป็นชายหนุ่มทั่วไปก็คงทนไม่ไหว แต่ชายาติ้งอ๋องยังคงสีหน้าสบายๆ ไม่ปรากฏรอยเหนื่อยล้าให้ได้เห็นเลยแม้แต่น้อย ซึ่งทำให้หนานโหวและมู่หยางที่เดินทางมาด้วย อดรู้สึกทั้งตกใจและเลื่อมใสนางไม่ได้

 

 

ค่ายใหญ่ของเหิงสุ่ยตั้งอยู่บริเวณตีนเขาห่างจากตัวเมืองไปทางตะวันตกยี่สิบลี้ ด้านหน้าเป็นพื้นที่ราบทอดไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา ส่วนด้านหลังติดกับเทือกเขาเหิงสุ่ย เป็นภูมิศาสตร์ตามธรรมชาติที่เหมาะแก่การฝึกทหาร

 

 

เมื่อคณะของนางอยู่ห่างจากค่ายใหญ่ของเหิงสุ่ยได้ห้าหกลี้ ผู้บัญชาการทหารที่ประจำการอยู่ในเมืองกับแม่ทัพซุนเหยียนที่เดินทางมาถึงเมื่อเย็นวาน ก็เดินทางออกมาต้อนรับคณะของพวกนางทันที

 

 

“ข้าน้อยคารวะพระชายา!”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้าเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “ผู้บัญชาการทหารค่ายเหิงสุ่ยมาด้วยหรือไม่”

 

 

ชายวัยกลางคนผมและหนวดขาว อายุประมาณสี่ห้าสิบปี แต่ยังคงมีความกระปรี้กระเปร่าผู้หนึ่ง เดินออกมาจากคณะ ก่อนประสานมือคารวะเยี่ยหลี “ข้าน้อยหลี่ว์จิ้นเสียน ผู้บัญชาการทหารค่ายเหิงสุ่ย คารวะพระชายา”

 

 

เยี่ยหลีหมุนตัวลงจากหลังมา ยกมือขึ้นเอ่ยว่า “แม่ทัพหลี่ว์ไม่ต้องมากพิธี ท่านผู้นี้คือหนานโหว ที่ฝ่าบาทแต่งตั้งพิเศษให้เป็นรองแม่ทัพยกทัพมายังฝั่งตะวันตก ส่วนท่านผู้นี้คือมู่หยางโหวซื่อจื่อ ตำแหน่งเสี้ยวเว่ย นามมู่หยาง”

 

 

เยี่ยหลีมิได้เอ่ยแนะนำจั๋วจิ้ง อวิ๋นถิงและคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ด้านหลังตน แต่ผู้บัญชาการทหารทุกคนต่างเข้าใจดีว่าเป็นคนของนาง จึงเพียงเดินหน้าออกมาทำความเคารพหนานโหวและมู่หยาง

 

 

หนานโหวเดิมทีก็เป็นคนที่เคยออกทำศึกมาก่อน เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้บัญชาการทหารเหล่านึ้จึงมิได้ใส่ใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ เขาเอ่ยทักทายกับทุกคนอย่างเป็นกันเอง

 

 

ส่วนมู่หยางนั้น ถึงแม้เขาจะมีฐานะเป็นหนานโหวซื่อจื่อ แต่ตำแหน่งทางการทหารเป็นเพียงเสี้ยวเว่ยธรรมดาๆ ผู้บัญชาการทหารที่อยู่ ณ ที่นั้นทุกคนต่างมีตำแหน่งสูงกว่าเขา เขาจึงย่อมไม่มีโอกาสได้เอ่ยปากพูดอันใด ทำได้เพียงเอ่ยทักทายทุกคนตามหนานโหวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โชคดีที่ถึงแม้มู่หยางจะเติบโตอย่างมีเกียรติมาตั้งแต่เล็ก แต่กลับมิได้ทำให้เขามีนิสัยเย่อหยิ่งไม่เห็นหัวผู้ใด จึงทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความปรองดองและยินดี

 

 

เมื่อทักทายกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว หนานโหวถึงเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นงานเป็นการว่า “แม่ทัพหลี่ว์ ทัพใหญ่จะสามารถออกเดินทางได้เมื่อใด”

 

 

หลี่ว์จิ้นเสียนเองก็ไม่ปิดบัง เอ่ยตอบเสียงดังว่า “ทัพใหญ่เตรียมพร้อมรอออกเดินทางแล้วขอรับ ขอเพียงพระชายาและหนานโหวมีคำสั่ง ก็สามารถออกเดินทางได้ทันที!”

 

 

เฟื่งจือเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะ “แม่ทัพหลี่ว์ พวกเรารีบเร่งเดินทางมาเหนื่อยไม่น้อย ไว้พรุ่งนี้ค่อยออกเดินทางแต่เช้าเถิด”

 

 

หลี่ว์จิ้นเสียนหันมองทุกคน ก่อนเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “แม่ทัพเฟิ่งเอ่ยถูกต้องแล้ว ข้าไตร่ตรองไม่รอบคอบเอง พระชายา ท่านโหว ขอเชิญกลับไปพักผ่อนในค่ายก่อนสักคืนหนึ่งเถิด จะได้ให้เหล่าทหารพักผ่อนเอาแรงเสียก่อนด้วย”

 

 

ภายในค่ายใหญ่อันกว้างขวาง เมื่อตกกลางคืนบรรยากาศก็เป็นไปอย่างเงียบสงบ เช้าวันพรุ่งนี้จะต้องออกเดินทางไปทำศึกแล้ว ดังนั้นทหารทั้งหลายจึงต่างรีบเข้านอน ซึ่งแน่นอนว่า ไม่รวมถึงผู้บัญชาการทหารทั้งหลายที่ขณะนี้กำลังนั่งหารือกันอยู่ในกระโจมใหญ่

 

 

ในกระโจมใหญ่ เยี่ยหลีเปลี่ยนมาอยู่ในชุดสีฟ้าหม่น นั่งอยู่ตรงกลางในตำแหน่งประมุข ด้านข้างนางมีผู้บัญชาการทหารอย่างเฟิ่งจือเหยา หลี่ว์จิ้นเสียน ซุนเหยียนและคนอื่นๆ นั่งเรียงกันตามลำดับตำแหน่ง ส่วนหนานโหวและมู่หยางที่มีตำแหน่งเป็นรองแม่ทัพนั้น เมื่อหารือกันจบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้รับการเชิญให้กลับไปพักผ่อน

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้บัญชาการทหารทุกคนได้พบเยี่ยหลีที่เป็นนายหญิงแห่งตำหนักติ้งอ๋อง หากว่าพวกเขาเคารพในฐานะชายาแห่งตำหนักติ้งอ๋องของเยี่ยหลี สู้บอกว่าพวกเขาเคารพในเครื่องประดับหยกสลักลายมังกรหยาจื้อที่ห้อยอยู่ที่เอวของนางเสียยังดีกว่า

 

 

ผู้บัญชาการทหารท่านหนึ่งลุกขึ้นเอ่ยว่า “พระชายา ไม่รู้ว่าท่านอ๋องจะกลับมาถึงเมื่อใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

พระชายามีฐานะเป็นเพียงที่ปรึกษาทางการทหารเท่านั้น คนที่มีตำแหน่งเป็นรองแม่ทัพอย่างหนานโหวต่างหากที่เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของกองทัพตระกูลม่อ ถึงแม้จุดยืนของหนานโหวจะเป็นกลางมาโดยตลอด แต่ก็ยังทำให้ผู้บัญชาการที่จงรักภักดีต่อตำหนักติ้งอ๋องรู้สึกไม่สบายใจนักอยู่ดี

 

 

เยี่ยหลีส่ายหน้าเบาๆ เอ่ยว่า “ท่านอ๋องอยู่ไกลถึงเป่ยหรง เมื่อได้รับข่าวแล้ว กว่าจะรีบเดินทางกลับมาก็ต้องใช้เวลาพอสมควร ในยามนี้ สถานการณ์รบทางชายแดนจะรอให้ท่านอ๋องกลับมาสั่งการไม่ได้ หรือว่า…เมื่อท่านอ๋องไม่อยู่ ท่านแม่ทัพทุกท่านก็จะไม่ทำศึกกันแล้วหรือ”

 

 

ผู้บัญชาการทหารต่างอึ้งไป ได้ยินเพียงเยี่ยหลีเอ่ยต่อว่า “ความจงรักภักดีที่ทุกท่านมีต่อตำหนักติ้งอ๋องและท่านอ๋องนั้น ข้าเข้าใจดี แต่ข้าก็หวังให้ทุกท่านเข้าใจเรื่องหนึ่งว่า เหตุใดถึงต้องมีกองทัพตระกูลม่อ”

 

 

แววตาราบเรียบกวาดมองทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้น “ก็เพื่อความสงบสุขของประชาชนชาวต้าฉู่ นายทหารทุกคนของกองทัพตระกูลม่อทุกคน ต่างก็มีครอบครัวเช่นเดียวกัน การปกป้องต้าฉู่ก็คือการปกป้องครอบครัวของตนเอง”

 

 

ทุกคนต่างนิ่งเงียบไป หลี่ว์จิ้นเสียนเอ่ยด้วยความลังเลใจว่า “พวกเราจะต้องฟังคำสั่งของหนานโหวจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยว่า “หากหนานโหวและกองทัพตระกูลม่อมีเป้าหมายเดียวกัน เหตุใดถึงจะฟังคำสั่งเขาเป็นการชั่วคราวมิได้ ยามนี้ท่านอ๋องไม่สามารถรีบเดินทางกลับมาได้นั้นเป็นความจริง หรือพวกท่านสามารถบอกคนซีหลิงได้ว่า ติ้งอ๋องไม่อยู่ ไว้อีกสักสามสี่วันพวกเราค่อยทำศึกกัน”

 

 

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนต่างก็อึ้งไป และอดทำสีหน้าบิดเบี้ยวไม่ได้