ตอนที่ 443 การเอาอกเอาใจจากเจ้าตำหนักยมราช + ตอนที่ 444 ความกลัวของมู่หรงป๋อ

เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า

ตอนที่ 443 การเอาอกเอาใจจากเจ้าตำหนักยมราช

อิ่งอีที่ถือของขวัญตามหลังเห็นนายท่านตัวแข็งทื่อไปบ้าง จึงรู้ว่าเขาประหม่า มองไปทางเฟิ่งเซียวก็เห็นเขาประหม่าเช่นกัน ยืนอยู่ตรงนั้นคล้ายจะลืมว่าต้องรับแขกเช่นไร อิ่งอีรู้ดีแก่ใจ คงเป็นเพราะตกใจความน่าเกรงขามที่นายท่านแผ่ออกมาโดยไม่ตั้งใจ

ก็ใช่ วรยุทธ์ของนายท่านสูงปานนั้น ประกอบกับฐานะอันสูงส่ง ทั้งยังมีกลิ่นอายสูงศักดิ์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิด กลิ่นอายสูงศักดิ์นี้คนทั่วไปไม่อาจเทียบได้ ไม่ว่าใครเห็นก็คงเป็นเช่นผู้นำตระกูลเฟิ่ง มีเพียงมาพบคนประหลาดอย่างภูตหมอ ความน่าเกรงขามและเสน่ห์ของนายท่านถึงจะใช้ไม่ได้ผล

ในฐานะองครักษ์เงาข้างกายนายท่าน ยามนี้เขารู้ว่าสถานการณ์เช่นนี้ควรจะจัดการอย่างไร ดังนั้นจึงยกของขวัญเข้าไปคารวะ บอกว่า “ท่านผู้นำตระกูลเฟิ่ง ท่านนี้คือนายท่านของข้า วันนี้มาเยือนถึงจวนจึงมาคารวะเป็นพิเศษ นี่เป็นน้ำใจเล็กน้อยจากนายท่าน ขอท่านผู้นำตระกูลเฟิ่งโปรดรับไว้”

ยามนี้ เจ้าตำหนักยมราชจึงคารวะเช่นผู้น้อย เอ่ยว่า “ข้าอยากมาคารวะอยู่ตลอด ไม่นึกว่าวันนี้จะมีโอกาส หากทำไม่ถูกต้องตรงไหน ขอท่านอาเฟิ่งอย่าได้ถือสา”

คำเรียกท่านอาเฟิ่งทำให้เฟิ่งเซียวยิ้มหน้าบาน เห็นว่าเขาคารวะตามมารยาทผู้น้อย ในใจยิ่งพึงพอใจคนหนุ่มผู้นี้มาก ตอนนี้ไม่ประหม่าอีกแล้ว กลับมามีท่าทางสุขุมเช่นผู้เป็นเจ้าบ้าน หัวเราะเสียงดังและเอ่ยว่า “ดีๆๆ ท่านช่างมีน้ำใจ นั่งเถอะ พวกเรามาคุยกันเสียหน่อย”

เห็นเช่นนี้เจ้าตำหนักยมราชก็โล่งอกในใจ ใจที่หวั่นๆ ผ่อนคลายลงได้ในที่สุด บนใบหน้าเผยรอยยิ้มออกมา พยักหน้าแล้วมานั่งลงข้างโต๊ะ

อิ่งอีข้างๆ เห็นพวกเขากลับเป็นปกติ จึงถอยไปด้านข้างด้วยความเคารพ

เหลิ่งหวายกน้ำชาเข้ามา จากนั้นคอยปรนนิบัติอยู่ด้านหลังเฟิ่งเซียว พลางลอบพินิจมองชายหนุ่มชุดคลุมดำที่นั่งตัวตรงอย่างอยากรู้อ

“ไม่ทราบว่าท่านมีนามว่าอะไร?” เฟิ่งเซียวมองเจ้าตำหนักพลางถาม

“ท่านอาเฟิ่งเรียกข้าว่าโม่หานก็ได้” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“อ้อ โม่หาน!”

เฟิ่งเซียวพยักหน้า มองเขาแล้วถามอีกว่า “ท่านรู้จักกับเสี่ยวจิ่วได้อย่างไร? ทำไมข้าไม่เคยได้ยินนางเอ่ยถึงท่านเลย?” บุคคลเช่นนี้ ทำไมบุตรสาวเขาถึงไม่เคยเอ่ยถึง? ไม่ควรเลย!

“ข้าพบนางครั้งแรกบนถนนใหญ่ ตอนนั้น…” เจ้าตำหนักเล่าเรื่องการพบเจอและรู้จักกันของตนกับเฟิ่งจิ่วให้เฟิ่งเซียวฟัง แน่นอนว่าต้องระวังเลือก เล่าแค่สิ่งดีๆ เรื่องที่เขาลักพาตัวนางอะไรพวกนั้นไม่ต้องเอ่ยถึง

แม้เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองพบกัน กลับพูดคุยกันไม่น้อยเลย หนำซ้ำยิ่งคุยยิ่งสนิทสนม เข้ากันได้จนน่าพอใจอย่างยิ่ง อิ่งอีกับเหลิ่งหวาข้างๆ ยังอดเหลือบมองไม่ได้

อีกด้านหนึ่ง เฟิ่งจิ่วที่อาบน้ำเรียบร้อยได้ยินเหลิ่งซวงบอกว่าเจ้าตำหนักยมราชไปที่เรือนของบิดา ก็นึกแปลกใจอยู่บ้าง เขาจะวิ่งโร่ไปเรือนท่านพ่อทำไมกัน? ไม่กลัวโดนถีบออกมารึ?

แต่ยามนี้เธอไม่มีอารมณ์ไปสนใจเรื่องเจ้าตำหนัก ตอนนี้ยังมีเรื่องอื่นต้องทำ ด้วยเหตุนี้หลังจากแต่งตัวเสร็จจึงเดินออกจากเรือนมาบอกเหลิ่งซวงว่า “เรียกผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังพวกนั้นเข้ามา ข้ามีเรื่องจะสั่งพวกเขา”

ทว่าเพิ่งพูดไปเช่นนี้ เหลิ่งซวงยังไม่ทันเดินออกจากเขตเรือน ก็เห็นฮุยหลางที่ชะโงกหัวมองอยู่นอกเรือนเดินยิ้มแป้นออกมา

“ภูตหมอ มีเรื่องอะไรต้องการให้ใครทำให้หรือไม่ ข้าช่วยอีกแรงได้” เขาเอ่ยด้วยไมตรีจิต วิ่งเหยาะมาตรงหน้าเฟิ่งจิ่ว คิดจะทำตัวดีๆ ต่อหน้านางเสียหน่อย

“เจ้า?” เฟิ่งจิ่วชำเลืองมองเขาด้วยสีหน้าแปลกๆ

………………………………………………….

ตอนที่ 444 ความกลัวของมู่หรงป๋อ

“อืม เวลานายท่านมีเรื่องอะไรล้วนเรียกข้าไปจัดการ แม้ข้าเป็นผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลัง แต่ฝีมือและประสบการณ์กลับแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนพวกนั้น ยามนี้นายท่านอยู่ในจวนตระกูลเฟิ่งนี้ หนำซ้ำเดิมทีนายท่านอยากจะรีบมาช่วยภูตหมอแก้ปัญหา หากมีปัญหาอะไรต้องจัดการสั่งข้าไปทำก็ได้ ข้าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวังแน่นอน”

เห็นเขาตบลงแผงอกด้วยท่าทางที่บอกว่าทุกเรื่องควรต้องมีตน เฟิ่งจิ่วก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ ฮุยหลางพอใจเธอถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? ปกติมองยังไงก็ไม่ชอบหน้า ยามนี้กลับเข้ามารับงานจากนางเสียเอง?

เธอแอบขบคิดในใจว่า ‘แรงงานมาส่งถึงบ้านไม่ได้ใช้เปล่าๆ ก็ไม่ใช้หรอก หนำซ้ำฝีมือและความสามารถในการเก็บซ่อนกลิ่นอายของฮุยหลางก็แกร่งกว่าผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังทั้งสี่ที่อยู่ใต้อาณัติเธอ ในเมื่อเป็นเช่นนี้…’

“อืม เจ้าเข้ามาสิ” เธอกระดิกนิ้ว ส่งสัญญาณให้เขาเข้ามาใกล้ๆ

เห็นท่าทางฮุยหลางก็เดินระริกระรี้เข้าไป เงี่ยหูเล็กน้อยเพื่อฟังคำสั่งนาง หลังจากได้ยินคำพูดนางเขาก็ดวงตาเป็นประกาย พยักหน้าซ้ำๆ

“รับไป”

หลังจากสั่งการเฟิ่งจิ่วก็โยนขวดยาใบหนึ่งให้เขา

“อืม ภูตหมอวางใจได้ เรื่องนี้เป็นหน้าที่ข้าเอง” เขาฉีกยิ้มกว้าง พลางถูๆ สองมือด้วยความรู้สึกตื่นเต้นอยากรู้อยากลอง

“ตัวตนภูตหมอจะแพร่งพรายไม่ได้ เจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าภูตหมอแล้ว”

“ได้ งั้นข้าเรียกว่า…”

เดิมเขาอยากเรียกนายหญิง แต่คิดๆ แล้วพวกผู้หญิงผิวหน้ามักบอบบาง ซ้ำนายท่านยังไม่ได้หมายหมั้นอะไร เรียกนายหญิงคงไม่ดีนัก ดังนั้นจึงกลับคำพูดใหม่ บอกว่า “ข้าเรียกคุณหนูใหญ่แล้วกัน!” คำว่านายหญิงอะไรนั่นอีกหน่อยค่อยเปลี่ยนคำเรียกก็ได้

ระหว่างนี้เอง ภายในพระราชวัง มู่หรงป๋อยามนี้มีท่าทีตื่นตระหนก นั่งไม่ติดที่แล้ว

นึกไม่ถึงว่าคนแคว้นเหินเวหาจะกลับไปมือเปล่า! แทบจะหนีกันหัวซุกหัวซุน! ยังมีตัวประหลาดเฒ่าระดับกำเนิดวิญญาณนั่นอีก ไม่นึกเลยว่าจะโดนคนที่โผล่มาจากไหนไม่รู้บดขยี้กระดูกทั่วร่าง ขณะถูกทรมานคิดจะใช้ต้นกำเนิดวิญญาณหนีไปกลับถูกสัตว์ร้ายตนหนึ่งกลืนกิน!

ข่าวทั้งหมดนี้ทำให้เขาตกใจเสียจนเหงื่อไหลออกท่วม หลังจากกลับมาก็เดินวนอยู่กลางท้องพระโรง พลางคิดทบทวนกลับไปกลับมาเพื่อลองหาวิธีแก้ไข

แต่ไหนแต่ไรเขาไม่นึกว่ากำลังจวนตระกูลเฟิ่งจะแข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่อเพียงนี้! ถึงได้กล้าต่อสู้กับคนแคว้นเหินเวหาซึ่งๆ หน้า และกล้าจัดการพวกเขาโดยไม่เกรงกลัวกำลังแคว้นที่แข็งแกร่งของแคว้นใหญ่ระดับหกเลย ผลลัพธ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่ว่ายังไงเขาก็คาดไม่ถึง

เดิมคิดจะอาศัยช่วงที่คนแคว้นเหินเวหาไปสู่ขอถึงบ้านและองครักษ์จวนตระกูลเฟิ่งตั้งท่าต่อสู้ลักพาตัวเฟิ่งเซียวที่หมดสติไม่ฟื้น ถึงเวลาก็จะข่มขู่เฟิ่งชิงเกอให้ส่งมอบอำนาจผู้นำกององครักษ์เพื่อจะเก็บไว้ใช้เสียเอง แต่ไม่นึกเลยว่าขณะที่องครักษ์กับคนแคว้นเหินเวหาเชิญหน้ากันด้านนอก ภายในจวนเฟิ่งเซียวยังมีองครักษ์ระดับบรรพชนนักรบแปดคนนั้นคุ้มกันไว้!

แค่คนไร้ประโยชน์ที่หมดสติไม่ฟื้นคนหนึ่งเท่านนั้น เฟิ่งชิงเกอยังดูแลปกป้องอย่างแน่นหนาเสียจริง ไม่นึกว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนั้นยังให้บรรพชนนักรบแปดคนนั้นอารักขาเรือนเฟิ่งเซียวไว้

แต่เขานึกถึงข่าวที่คนเบื้องล่างเข้ามารายงาน สีหน้าก็หนักใจขึ้นมาอีกครั้ง

ทำไมจวนตระกูลเฟิ่งถึงมีผู้ฝึกวิชาเซียนระดับหลอมแก่นพลังสี่คนคอยคุ้มกันไว้? ยังมีกำลังที่เขาไม่รู้กำลังเฝ้าอารักขาจวนตระกูลเฟิ่งที่สั่นคลอนในสายตาทุกคนอีกเท่าไหร่กันแน่?

เดิมนึกว่าผู้เฒ่าเฟิ่งหายตัวไป เฟิ่งเซียวหมดสติไม่ฟื้น จวนตระกูลเฟิ่งก็เป็นเพียงหมูที่รอคนเชือด กลับไม่คิดว่าจะเป็นปราการเหล็กแกร่ง เป็นใบมีดแหลมที่ลับเสียจนคมกริบ เตรียมพร้อมจะฟันสังหารศัตรูได้ทุกเมื่อ!