บทที่ 274 หน้ากาก
“ยังไงซะงั้นเหรอ หึหึหึ”
เฉินเฉียงได้ฝืนยื้อร่างกายขึ้นมา ก่อนที่เขาจะเดินไปหาเว่ยหยวนตี้ พลางมองไปที่คนในกองกำลังทุกคนที่กำลังทำหน้าตามึนไปกับคำตอบของเขาก่อนที่จะพูดออกมา “พี่ชายทุกท่าน สถานะของข้าถูกเปิดเผยแล้ว”
“อย่าว่าแต่เผ่าพันธุ์มนุษย์เลย แม้แต่มนุษย์กลายพันธุ์เองก็ยังต้องการค้นหาตัวข้าในทุกที่”
“แน่นอนว่าพวกมันต่างก็ต้องการความลับแห่งเขตแดนจักรพรรดิที่อยู่ในตัวข้า”
“จริงหรือไม่ ลุงเว่ย”
“ห้ะ…เอ่อ นี่…ฮึ่ม”
เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินเฉียงแล้ว ทุกคนในตอนนี้ต่างก็มองไปยังเว่ยหยวนตี้ที่หันหน้าไม่กล้าสบตาแต่อย่างใด
ด้วยท่าทางที่สุดจะผิดสังเกตนี้ หลังจากเว่ยหยวนตี้ร้อนรนใจอยู่พักหนึ่งก็นิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนที่จะพูดออกมาอีกครั้ง “หลานชายเฉินเฉียง สถานที่แห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากตึกจอมพลภาคกลางนัก ด้วยการบาดเจ็บของพวกเราแล้วยังไงซะก็ต้องรับการรักษาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วไปได้ ทำไมเจ้าไม่ตามข้าไปยังเขาโชวหยางแล้วอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้มันกระจ่างชัดซะล่ะ”
ต่อให้เจ้านั้นเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ไปแล้ว แต่ตราบใดที่เจ้ายอมบอกความลับนั่นออกมา ผู้อาวุโสแห่งสภาสูงย่อมไม่ฆ่าเจ้า
“ไร้สาระ กัปตันของพวกเราเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ที่ไหนกัน” เม่ยหลัวหลันได้ตะคอกออกมาพร้อมดวงตาที่ขุ่นเคืองไปยังเว่ยหยวนตี้ในทันที
เว่ยหยวนตี้ได้มองไปที่เม่ยหลัวหลันแต่ก็ไม่ได้ต่อปากคำแต่อย่างใด
เขาเองเห็นอย่างกระจ่างชัดว่าเฉินเฉียงนั้นเป็นมนุษย์กลายพันธุ์กับตา ยังไม่รวมถึงการที่เขาไปอยู่ร่วมกับราชาสวรรค์มานานแล้วนั่นอีก แล้วมันจะไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์ได้ยังไง
ใครกันแน่ที่พูดออกมาไร้สาระ
เมื่อเห็นท่าทางของเว่ยหยวนตี้แล้ว เฉินเฉียงก็รับรู้ได้ในทันทีว่าเว่ยหยวนตี้นั้นย่อมไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูดออกมา และนี่ทำให้เขานั้นไม่คิดที่จะอธิบายเรื่องราวให้เว่ยหยวนตี้รับฟังแต่อย่างใด
อีกอย่าง สิ่งที่เขาสนใจที่สุดในตอนนี้นั้นก็คือศัตรูที่ฆ่าพ่อของเขา ผู้การผู้ล่วงลับแห่งกองกำลังเทียนเว่ย
ด้วยการที่เรื่องนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว จางหยวนและคนอื่นๆที่อยู่กองกำลังเทียนเว่ยมาก่อนก็น่าจะไม่ได้รับรู้ในเรื่องนี้
อย่างมาก พวกเขาก็แค่รับรู้ในสิ่งที่คนอื่นบอกเล่าโดยไม่ได้รับรู้ความจริงแต่อย่างใด
“จางหยวน เจิ้งยี่ นับแต่นี้พวกเจ้าไม่ต้องติดตามข้าอีก และพวกเจ้าเองก็ไม่อาจกลับไปยังตึกจอมพลเหมันต์จันทราได้ ข้าคิดว่าด้วยเรื่องของข้านี้คงจะทำให้บรรดาผู้อาวุโสสูงไม่ปล่อยพวกเจ้าอย่างแน่นอน”
“ยิ่งไปกว่านั้นคือ นับจากวันนี้ไป จะดีกว่าหากพวกเจ้าจะหาที่หลบซ่อน อย่างน้อยๆก็อย่าได้เผยตัวตนและระดับการบ่มเพาะของพวกเจ้าอีกเพื่อปกป้องตนเอง”
“กัปตัน ท่านพูดอะไรออกมาน่ะ พวกเราสาบานกันแล้วว่าจะไม่แยกจากกันอีก”
“ถูกต้อง กัปตัน แล้วยิ่งท่านนั้นยอมเผาผลาญแก่นสายเลือดของตนเพื่อช่วยผู้การเว่ยจนไม่อาจจะข้ามขั้นการบ่มเพาะได้อีกแบบนี้ นี่ยิ่งไม่มีทางเลยที่พวกเราจะแยกจากท่านเข้าไปใหญ่”
“กัปตัน ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ข้า เจิ้งยี่ผู้นี้จะติดตามท่านไปทุกหนทุกแห่ง”
“ศิษย์น้อง กับเรื่องนี้เจ้ายิ่งไม่ต้องถามข้าและหนี่เฟิงเข้าไปใหญ่ ต่อให้พวกเราต้องตายด้วยกัน พวกข้าก็ยินดี”
“กัปตัน ท่านต้องการไล่พวกเราไปเนี่ยนะ ฝันไปเถอะ กองกำลังเทียนเว่ยของพวกเรานั้นไม่ใช่พวกที่หวังลาภยศและความสุขสบายแต่อย่างใด กับการที่ต้องละทิ้งพี่น้องของตนไปนั้นย่อมไม่เคยอยู่ในหัวมาก่อน นี่ยังไม่ต้องพูดถึงการที่ท่านนั้นเป็นกัปตันของกองกำลังเราอีก”
ในตอนนี้ทั้งสิบสองคนต่างก็แสดงออกด้วยท่าทีที่แน่วแน่ ไม่ใครสักคนที่จะจากไปต่อให้โดนขับไล่ก็ตาม
จางหยวนได้ก้าวขึ้นหน้ามาก่อนที่จะส่งธงพลแห่งกองกำลังเทียนเว่ยให้เฉินเฉียงแล้วพูดออกมา “กัปตัน ท่านนั้นคือเสาหลักทางจิตวิญญาณของพวกเรา ท่านอย่าได้ละทิ้งพวกเราเพียงเพราะการกลัวพวกเรานั้นลำบากเลย ยังไงซะ พวกเราก็ไม่คืนคำพูดของพวกเราอย่างแน่นอน”
“หากข้าจำไม่ผิด ท่านเองนั้นก็คิดถึงแต่ธงพลนี้มาตลอดไม่ใช่รึไง”
“ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว โปรดรับมันไว้ด้วย”
เฉินเฉียงในตอนนี้ได้ค่อยๆยื่นมือที่กำลังสั่นระรัวของตนไปรับธงพลของกองกำลังมาไว้ เข้านั้นรู้สึกราวกับห่างหายจากสิ่งนี้มานานนับสิบปี ในที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้นมาและมองไปที่คนในกองกำลังเทียนเว่ยทั้งสิบสองคนที่แสดงออกมาอย่างมุ่งมั่น ก่อนที่จะพยักหน้าอย่างซาบซึ้งใจ
“กัปตัน พวกเราจะอยู่ที่นี่นานไม่ได้แล้ว เราจะต้องออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
หลังจากพูดจบ จางหยวนก็ได้เหลือบไปมองเว่ยหยวนตี้ด้วยสายตาเย็นยะเยียบ ก่อนที่จะอ้าปากพูดออกมา “แล้วเราจะทำยังไงกับคนผู้นี้ดี”
เว่ยหยวนตี้เองที่เห็นท่าทางราวกับยอมเป็นปฏิปักษ์ต่อเผ่าพันธุ์ของคนในกองกำลังเทียนเว่ยก่อนหน้านี้แล้วนั้นก็อดที่จะหวั่นใจไม่ได้
และในตอนนี้ เมื่อเขาได้เห็นสายตาอันเย็นยะเยียบของจางหยวนและคนอื่นๆแล้วก็อดที่จะตื่นตระหนกในทันทีไม่ได้เช่นเดียวกัน
“จางหยวน เฉินเฉียงมันเป็นมนุษย์กลายพันธุ์นะเว้ย มันเป็นศัตรูของเผ่าพันธุ์เรา พวกเจ้าจะทำยังงี้ไม่ได้”
“นี่เจ้าต้องโง่ขนาดไหนกันถึงได้คิดทำการกันอย่างนี้”
“เอาอย่างนี้ ตราบใดที่เจ้ายอมตัดสัมพันธ์กับเฉินเฉียงแล้วจับกุมเขาให้ข้า ข้าสัญญาเลยว่าด้วยสถานะผู้การร่วมแห่งตึกจอมพลของเข้า ข้าจะไม่ทำให้เจ้าต้องยากลำบากในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน”
“ถุ้ย”
หลังจากหลางซานเอ๋อและกัวเหลียงสบถออกมาแทบจะพร้อมกันแล้ว ทั้งสองต่างก็พุ่งขึ้นหน้าออกมาอย่างไม่ได้นัดหมาย ก่อนที่จะระดมตบไปที่หน้าแก่ๆของเว่ยหยวนตี้ในทันที
“ป้าบ” เสียงดังสนั่นส่งท้ายบนใบหน้าของเว่ยหยวนตี้นี้ถึงกับทำให้เขานั้นต้องเบือนหน้าหนีไปตามแรงตบ
และการตบนี้เรียกได้ว่าเป็นการตัดสัมพันธ์กับเผ่าพันธุ์มนุษย์ ไม่คิดจะย้อนกลับไปอีก
“ศิษย์พี่ หยุดเลยนะ”
ถึงแม้เฉินเฉียงจะไม่อยากจะห้ามทุกคน แต่เมื่อนึกถึงผลของการกระทำแล้วก็ทำให้เขานั้นต้องหยุดทุกคนเอาไว้
“กัปตัน ไอ้ตัวเลวชาติแบบนี้ไม่ได้ถือว่าเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์แต่อย่างใด ข้าละนึกไม่ออกจริงๆว่าทำไมท่านต้องยอมสละอนาคตเพื่อมันผู้นี้”
“นี่ทำให้ข้านึกถึงสิ่งที่คนเฒ่าคนแก่เคยว่าเอาไว้”
“มันคือคนที่ตอบแทนบุญคุณคนด้วยการกระทำที่โสมม”
“หากเจ้าถามความเห็นข้าล่ะนะ ข้าบอกได้เลยว่าสมควรจะต้องรีบฆ่าคนเยี่ยงนี้”
เมื่อเห็นท่าทางของเฉินเฉียงที่ส่ายหัวไปมาแล้ว กัวเหลียงก็ได้ถอดถอนลมหายใจออกมาก่อนจะอดพูดค่อนแคะออกมาเสียมิได้ “ศิษย์น้องเล็ก ถึงแม้ว่าสาวงามนั้นจะหาได้ยากก็จริง แต่เจ้าควรจะคิดให้ดีว่าเจ้านั้นสมควรจะไปร่วมเครือญาติวงศ์วานกับคนเช่นนี้รึเปล่า ไหนจะเรื่องที่ว่าคนอย่างเว่ยหยวนตี้นั้นจะยอมยกลูกสาวให้เจ้ารึเปล่านั่นอีก”
เจิ้งยี่ก็ราวกับฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาได้เดินไปตบบ่าของเฉินเฉียงก่อนจะพูดทีเล่นทีจริงออกมา “กัปตัน สาวงามนั้นเปรียบได้กระดูกสันหลังของชีวิต ท่านต้องคิดๆดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ล่ะ”
ในทันทีที่เฉินเฉียงได้ยินคำพูดของกัวเหลียงและเจิ้งยี่แล้วนั้น ประกายความขาว(เว่ยฉิงเชิน)หนึ่งก็ผุดเข้ามาในจิตใจของเขา
แต่เมื่อเขานึกถึงสภาพของตนในตอนนี้แล้วก็ทำให้เขาอดที่จะส่ายหัวออกมาไม่ได้ “นี่ข้าควรจะด่ายังไงออกมาเนี่ย นี่คิดอะไรกันอยู่”
“ข้า เฉินเฉียง ตัวข้านั้นอาจจะต้องติดตรึงอยู่ระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงไปชั่วชีวิตแต่ท่านกับเจิ้งยี่กลับคิดว่าข้ายอมสละอนาคตเพื่อสาวงามเนี่ยนะ คิดได้ยังไงกัน”
ที่ข้าไม่ปล่อยให้เว่ยหยวนตี้ตายนั้นเป็นเพราะข้าต้องการจะถามอะไรบางอย่าง
เป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงได้ลอบส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณแก่จางหยวน -จางหยวน เจ้ายังจำได้อยู่ใช่หรือไม่ว่าบ้านเกิดของข้าอยู่ที่ไหน พาคนของเราไปยังเขาหมางก่อน เจิ้งยี่กับข้านั้นมีเรื่องบางอย่างที่ต้องทำก่อนถึงจะตามไป-
หลังจากไปถึงที่นั่นแล้ว ขอให้เจ้านั้นระวังตัวให้ดี เจ้าต้องไม่ทำตัวเตะตา และไม่หล่อยให้คนที่นั่นรับรู้ว่าพวกเราเป็นใคร ไม่อย่างนั้นล่ะก็พวกเราคงไม่แคล้วต้องตกตายกันหมด
เมื่อได้ยินเสียงนี้แล้ว จางหยวนก็พยักหน้ารับก่อนที่จะถามออกมา -กัปตัน ท่านมีอะไรที่ต้องทำอยู่งั้นรึ-
-ไม่ต้องถามหรอกน่า แล้วก็ไม่ต้องกังวลด้วย เมื่อมีเจิ้งยี่อยู่ข้างกายข้า เจ้าก็น่าจะคลายกังวลได้ไม่ใช่เหรอ-
หลังจากนั้น จางหยวนก็ได้บอกเรื่องนี้กับกัวเหลียงและทุกคนผ่านการถ่ายทอดเสียงผ่านจิตวิญญาณ ทุกคนได้มองไปที่เฉินเฉียงและเจิ้งยี่ปราดหนึ่งก่อนที่จะหายตัวไปจากทะเลสาบเรือนกระจก
หลังจากกองกำลังเทียนเว่ยคนอื่นได้ออกไปแล้ว เฉินเฉียงได้พูดออกมา “เจิ้งยี่ เจ้าไปป้องกันที่ทางเข้าเอาไว้ อย่าให้ใครเข้ามาใกล้”
“รับคำสั่ง”
และในตอนนี้ เหลือเพียงเฉินเฉียงและเว่ยหยวนตี้
เฉินเฉียงได้ขยับเก้าอี้เข้ามาหาเว่ยหยวนตี้ พลางมองไปที่เว่ยหยวนตี้โดยไม่พูดอะไรออกมาเลยสักคำ
ในตอนนี้ ทั้งสองราวกับต่างคนต่างกำลังคิดคำนวนอะไรบางอย่าง เมื่อเฉินเฉียงไม่พูด เว่ยหยวนตี้ไม่พูด ทั้งสองก็ได้มองหน้ากันอย่างไม่ไหวติง
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง เว่ยหยวนตี้ผู้อยู่ห่างไปจากเฉินเฉียงเพียงหนึ่งฟุต ก็บังเกิดหน้าตกตะลึงในทันทีเมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตนไปเรื่อยๆราวกับกำลังพลิกหนังสืออ่าน
เริ่มแรกคือจางหยวน ถัดมาคือกัวเหลียง
แล้วก็เปลี่ยนไปเป็นคนอื่นอีกมากมาย
หลินเฟิง หลิวตัน จ้าวหลี่ หลี่เชิน ฮั่นจุย…
และสุดท้าย เฉินเฉียงก็ได้เปลี่ยนใบหน้าเป็น…เว่ยหยวนตี้
“เจา เจ่า อะแฮ่ม….เจ้า…”
เว่ยหยวนตี้นึกหวาดกลัวขึ้นมาในทันทีเมื่อพบว่า แม้แต่เสียงของเฉินเฉียงก็ยังเปลี่ยนไปจนเหมือนเขา เขาได้ชี้ไปที่เฉินเฉียงพร้อมมือที่สั่นเครือ “เจ้าเป็นมนุษย์กลายพันธุ์พันหน้า”
เฉินเฉียงได้ส่ายหัวไปมา “ลุงเว่ย ข้าบอกตรงๆเลยนะว่าข้านั้นไม่ได้เป็นมนุษย์กลายพันธุ์แต่อย่างใด”
“เป็นไปไม่ได้ มาถึงขนาดนี้แล้วเจ้ายังคิดจะหลอกข้าอีกรึ”
“หึหึหึ ลุงเว่ย ทำไมข้าต้องหลอกท่านด้วย”
“ยามที่ฉิงเชินมาถึงนี่แล้ว ท่านก็ลองถามเธอดูก็ได้ เธอนั้นพิสูจน์ตัวตนของข้ามาแล้ว นางเป็นลูกสาวท่านนี่ ท่านน่าจะเชื่อใจลูกสาวตัวเองอยู่ละมั้ง”
“ห้ะ เจ้า เจ้าหมายความว่าชิงเฉินกำลังมาที่นี่” เว่ยหยวนตี้แสดงท่าทางยินดีขึ้นมาเมื่อได้ยิน
“ใช่ ข้าพึ่งจะส่งข้อความให้นางไป และนางจะมาถึงที่นี่ในอีกไม่นาน”
เมื่อพูดออกมาแล้ว เฉินเฉียงก็ได้ชี้ไปที่ใบหน้าของตน “แต่ก็นะ ลุงเว่ย หากข้าใช้รูปลักษณ์นี้แล้วใส่เสื้อผ้าของท่านออกไป ท่านว่าน้องชิงเฉินนั้นจะยังคงจดจำข้าได้หรือไม่”
“เฉินเฉียง อย่าได้ทำเกินไปนัก” เมื่อเว่ยหยวนตี้ได้ยินแล้วก็ถึงกับหน้าเปลี่ยนสีจนต้องอุทานออกมา เขานั้นคิดว่าเฉินเฉียงต้องการที่จะฆ่าเขาก่อนที่จะล้างบางทายาทของเขาอย่างเว่ยฉิงเชิน
และเมื่อเห็นท่าทางของเว่ยหยวนตี้นี้ เฉินเฉียงเพียงส่ายหัวออกมาพร้อมกับจิตใจที่แตกหักเสียยิ่งกว่าเดิม
เป็นตอนนี้ที่เขาได้กลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิมแล้วเลิกเล่นในที่สุด ก่อนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ลุงเว่ย ข้านั้นไม่ลังเลที่จะเผาผลาญแก่นสายเลือดของตนเพื่อช่วยท่านจากเงื้อมมือราชาสวรรค์นั้น ข้าว่าท่านคงจะรู้ว่าทำไมข้านั้นต้องยอมทำถึงเพียงนี้ ถูกต้องรึเปล่า”
“เอาอย่างนี้แล้วกัน ท่านก็แค่เล่าเรื่องราวเมื่อยี่สิบสามปีก่อนออกมาเพียงเท่านั้น”
เว่ยหยวนตี้มีใบหน้ากระตุกเล็กน้อยเมื่อได้ยินพร้อมดวงตาที่ลนลานไปช่วยครู่หนึ่ง ก่อนที่จะรักษาความสงบแล้วเปิดปากถามออกมา
“เฉินเฉียง ทำไมเจ้าถึงได้เชื่อคำของราชาสวรรค์ถึงขนาดนั้น”
“อย่าได้ลืมว่ามันผู้นั้นคือมนุษย์กลายพันธุ์”
“ในตอนนั้น พ่อของเจ้าถูกมนุษย์กลายพันธุ์ฆ่าตาย เจ้าก็รับรู้เรื่องนี้มาอยู่แล้วไม่ใช่รึไง”
เฉินเฉียงที่จ้องมองเว่ยหยวนตี้นั้น เขาย่อมรับรู้ถึงร่องรอยเมื่อครู่นี้
แต่นี่กลับทำให้เขาผิดหวังยิ่งกว่าเดิม
มันก็จริงที่คำพูดของเว่ยหยวนตี้นั้นอาจจริง
แต่มันก็เป็นไปได้ว่าเว่ยหยวนตี้นั้นยังเสแสร้งแกล้งทำอยู่
แต่หากไม่มูลความจริง ราชาสวรรค์นั้นย่อมไม่พูดออกมาด้วยตนเอง
ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ตอนที่ราชาสวรรค์ได้พูดออกมานั้น เว่ยหยวนตี้ทำไม่ได้แม้แต่เอ่ยปากปฏิเสธออกมาได้สักคำ
นี่แสดงว่าเว่ยหยวนตี้นั้นย่อมต้องรู้ความเป็นจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้
“เว่ย หยวน ตี้”
เฉินเฉียงพูดออกมาด้วยท่าทีเคร่งขรึม “ข้า เฉินเฉียงผู้นี้ ต่อให้ต้องเสียชีวิตก็ต้องล้างแค้นให้กับพ่อของตนให้ได้”
“แล้วอย่ามาบอกเรื่องไร้สาระอย่างการไม่ให้ข้าหลงเชื่อคำพูดของมนุษย์กลายพันธุ์อะไรนั่น”
“เพราะท่าทางของเจ้านั้นทำให้ข้าเชื่อจริงๆแล้วว่าในปีนั้นมีบางอย่างได้เกิดขึ้นจริง”
“และด้วยท่าทางของเจ้าแล้ว ยิ่งทำให้ข้ามั่นใจว่าพ่อของข้าไม่ได้ตกตายโดยมนุษย์กลายพันธุ์”
“รู้ไหมว่าทำไมข้านั้นถึงมั่นใจว่าทำไมมนุษย์กลายพันธุ์ถึงไม่ได้ฆ่าเขา”
“เพราะข้านั้นจดจำได้ว่าราชาสวรรค์ได้บอกเอาไว้ว่าฆาตกรนั่นยังไม่ได้ตกตาย”
เว่ยหยวนตี้เมื่อได้ยินก็นิ่งอึ้งไป หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็ได้พยักหน้าออกมา
“ได้ เฉินเฉียง ข้าจะบอกเรื่องที่เกิดขึ้นในปีนั้น”
“อย่างไรก็ตาม เจ้าก็เห็นว่าข้านั้นบาดเจ็บเพราะราชาสวรรค์อย่างร้ายแรง แม้แต่โลกใบเล็กของข้าก็ยังถูกทำลาย”
“หากข้าไม่ได้เม็ดยาโลกาหวนคืนเพื่อรื้อฟื้นโลกใบเล็กของข้า คงยากที่จะเพิ่มระดับการบ่มเพาะได้แม้แต่น้อยก็ไม่อาจ”
“ดังนั้น หากเจ้าช่วยข้าหาเม็ดยานี้มาได้ในหนึ่งปี แล้วไปส่งมันด้วยตัวเองที่ตึกจอมพลภาคกลาง ข้าจะยอมบอกทุกอย่างให้เจ้าได้รับรู้”
“เมล็ดยาโลกาหวนคืน….หนึ่งปีเหรอ”
ถึงแม้เฉินเฉียงในตอนนี้จะมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องยาเป็นอย่างดี แต่นี่เองก็เป็นครั้งแรกที่เขาเคยได้ยินชื่อของเม็ดยานี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อดูจากท่าทีแล้ว เขานั้นหากไม่ยอมรับข้อเสนอนี้ ต่อให้ตาย เว่ยหยวนตี้ก็คงจะไม่บอกอะไรเขา
แต่ในเมื่อมันมีเวลาอีกหนึ่งปี เขาเชื่อว่าต้องหาทางได้รับยานี้มาจนได้ในที่สุด
“ลุงเว่ย นี่ท่านกล้าสาบานรึเปล่าว่าตราบใดที่ข้านำยานั่นมาให้ ท่านจะยอมบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับข้า”
“อย่าได้กังวล เมื่อใดก็ตามที่เม็ดยานั่นมาอยู่ตรงหน้าข้า ข้าจะไม่ถอยหนีแล้วบอกทุกอย่างกับเจ้า ข้าไม่คืนคำแน่นอน”
“ดี”
ถึงแม้จะมีเวลาเพียงหนึ่งปี เฉินเฉียงก็ยังยอมตกลง
“ฉิบหายแล้ว เจิ้งยี่…..”
เพียงสิ้นคำพูดของเว่ยหยวนตี้ เฉินเฉียงก็หน้าเปลี่ยนสี ก่อนจะพุ่งตรงไปที่เจิ้งยี่แล้วลากเขาลงดินในทันที
“กัปตัน นี่มัน…..”
“ชู่วววววว”
หลังจากลากเจิ้งยี่ลงมาใต้ดินได้กว่าแปดกิโลเมตรแล้ว เขาได้ยินการดำดิ่งแล้วรีบส่งเสียงให้เจิ้งยี่เงียบลงในทันที
บนพื้นดิน เว่ยหยวนตี้นั้นในตอนนี้กำลังฉงนสนเท่ห์อยู่ว่าเฉินเฉียงนั้นอยู่ๆก็หายไปไหน แต่ไม่นาน เขาก็รับรู้ได้ด้วยกระแสจิตของตนว่ามีคนสองคนกำลังพุ่งตนมาที่ที่เขาอยู่อย่างรวดเร็ว และนี่ทำให้ใบหน้าของเว่ยหยวนตี้นั้น แสดงออกมาอย่างยินดีถึงที่สุด
“ผู้อาวุโสฮั่น ชิงเฉิน พ่ออยู่นี่”
เว่ยหยวนตีกรีบตะโกนออกมาในทันที และนี่ทำให้ฮั่นจุยและเว่ยฉิงเชิน ปรากฏตัวขึ้นมาต่อหน้าเขาในห้องแทบจะในทันใด
“ท่านพ่อ เกิดอะไรขึ้นคะ”
เมื่อสภาพที่ไร้เรี่ยวแรงของเว่ยหยวนตี้ พร้อมกับเลือดที่ไหลออกมาจากมุมปากแล้ว เว่ยชิงเฉินก็รีบเข้าดูอาการในทันที
“ไม่เป็นไร ข้าสบายดี”
เมื่อพูดจบ เว่ยหยวนตี้ก็ได้ผลักลูกสาวของตนออกไป ก่อนที่จะรีบพูดกับฮั่นจุยในทันที “ผู้อาวุโสฮั่น รีบจับตัวไอ้เวรเฉินเฉียงนั่นเร็วเข้าเถอะครับ”
เว่ยฉิงเชินที่ได้ยินก็ถึงกับตกใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินจึงรีบถามออกมา “พ่อ นี่ท่านพูดอะไรออกมา เป็นพี่ใหญ่เฉินเฉียงที่ส่งข้อความให้ข้ามารับท่านเองนะ แล้วท่านจะจับเขาเรื่องอะไร”
“จะไปไหนก็ไป เจ้าจะไปรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้” เว่ยหยวนตี้ได้ผลักลูกของตนออกไปอีกครั้งก่อนที่จะหันไปพูดกับฮั่นจุย “การที่ท่านผู้อาวุโสฮั่นมาที่นี่ด้วยตัวเองนั้นแสดงว่าจานฮงและจานจุนรายงานเรื่องนั้นกับผู้อาวุโสฮั่นไปแล้วใช่หรือไม่ครับ”
“ถูกต้อง”
ฮั่นจุยได้พูดออกมาด้วยใบหน้าที่กระตุกยับ “ก่อนหน้านี้ สองพี่น้องแซ่จานบอกข้าหมดแล้วว่าเฉินเฉียงนั้นเป็นคนทรยศของเผ่าพันธุ์ ตัวข้านั้นแม้จะเสาะหามันอยู่นานก็ไม่ได้ข่าวคราวอันใด”
“มีเพียงตอนที่ฉิงเชินได้รับข้อความพร้อมกับตำแหน่งของเจ้านี้จากเฉินเฉียง เมื่อข้ารู้จึงได้ตามมาด้วย”
“จะว่าก็ว่าเถอะ ผู้การเว่ย เฉินเฉียงล่ะ มันอยู่ไหน”
“พึ่งจะหนีไปครับ” เว่ยหยวนตี้ได้พูดออกมาอย่างร้อนรน “แต่กระนั้น ก่อนหน้านี้ เฉินเฉียงมันพึ่งจะเผาผลาญแก่นสายเลือดเพื่อช่วยข้า นี่ทำให้การบ่มเพาะของมันนั้นไม่อาจเพิ่มสูงได้อีก แถมตอนนี้มันยังเจ็บหนักอยู่ด้วย”
“นี่ทำให้ข้าเชื่อว่ามันหนีไปได้ไม่ไกลนัก หากท่านผู้อาวุโสฮั่นไล่ตามมันไปจะต้องทันอย่างแน่นอน”
“ตกลง ผู้การเว่ย ท่านพักที่นี่ซะก่อน ข้าจะลองหาร่องรอยของพวกมันดูก่อน”
เมื่อพูดจับ ฮั่นจุยก็รีบออกจากห้อง ก่อนที่จะกวาดกระแสจิตของตนออกไปโดยรอบ
ส่วนภายในห้องนั้น เว่ยฉิงเชินในตอนนี้มีใบหน้าที่โง่งมเมื่อได้ยินได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า
“ท่านพ่อ ท่านทำอย่างนั้นทำไม”
“พี่ใหญ่เฉินเฉียงนั้นดีกับครอบครัวของพวกเราถึงขนาดนี้แล้วท่านยัง…..”
“ไหนจะที่ท่านพูดออกมาเองว่าเพื่อช่วยท่าน เขาถึงกับต้องเผาผลาญแก่นวิญญาณของตัวเองนั่นอีก”
“พี่ใหญ่เขาเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยท่านถึงขนาดนั้นแล้วแต่ท่านยัง….”
“หุบปาก”
เว่ยหยวนตีได้มองไปที่ลูกสาวของตนด้วยสายตาที่ดุร้าย “พี่ใหญ่เฉินเฉียงห่าเหวอะไรกัน”
“ฉิงเชิน บอกข้ามาตามตรงเดี๋ยวนี้ว่าเจ้านั้นรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าเฉินเฉียงนั้นคือมนุษย์กลายพันธุ์ที่รับรู้ความลับของเขตแดนจักรพรรดินั่นใช่รึเปล่า”
“ไอ้ลูกสาวโง่บรรลัยจักร นี่เจ้ากล้าที่จะโกหกพ่อเพื่อช่วยผู้ชาย”
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว เว่ยฉิงเชินก็รีบพูดออกมา “พ่อ ท่านหมายความว่ายังไงกัน พี่ใหญ่เฉินเฉียงเขาไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์นะ เขาเป็นมนุษย์เหมือนพวกเรา”
“ยังพูดจาไร้สาระปกป้องมันอีก ก่อนหน้านี้มันได้แสดงปีกสีเงินที่ใหญ่โตต่อหน้าทุกคนนั้น แล้วเจ้ายังมีหน้ามาบอกว่ามันไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์อีกเนี่ยนะ”
“แถมในศึกจิ้งชวนนั่น ให้ไม่ใช่เป็นเพราะราชาสวรรค์มาช่วยมันจนหลุดรอดจากมือพ่อไปแล้ว แล้วแบบนี้เจ้ายังกล้าบอกว่ามันผู้นั้นไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์อีกรึไง หากไม่ใช่แล้วมันจะไปกับไอ้ราชาสวรรค์นั่นทำไมกัน”