ณ เรือนแห่งหนึ่งในเรือนซีซาน เหล่าสาวน้อยของยอดเขาชิงหรงกำลังพูดคุยถึงเรื่องการประลองวิถีพรตอยู่
พวกนางพูดคุยกันอย่างมีความสุข เปลือกเมล็ดแตงโมปลิวว่อน น้ำชาที่อยู่ในกามิรู้ว่าเปลี่ยนน้ำมาแล้วกี่ครั้ง
หนานว่างเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเย็นยะเยือก
แต่ไหนแต่ไรมากฎเกณฑ์ของยอดเขาชิงหรงมิได้เข้มงวด แต่เมื่อเห็นสีหน้าของเจ้าแห่งยอดเขา เหล่าลูกศิษย์ไหนเลยจะกล้าเพิกเฉย ต่างคนต่างรีบวางถ้วยชาและเมล็ดแตงโมที่อยู่ในมือลง จากนั้นกล่าวคารวะอาจารย์
หนานว่างนั่งลงบนเก้าอี้ มองดูเหล่าสาวน้อยที่ใบหน้างดงามเหล่านี้ ก่อนกล่าวอย่างโมโหเล็กน้อยว่า “ดูสารรูปพวกเจ้าซิ มิน่าถึงแสดงฝีมือในงานชุมนุมทดสอบกระบี่ได้แย่ขนาดนั้น กระทั่งสิทธิ์ในการร่วมประลองวิถีพรตซักสิทธิ์ก็แย่งมาไม่ได้ พวกเจ้าตามข้ามาเมืองเจาเกอทำอะไร มาเที่ยวอย่างนั้นหรือ?”
เหล่าสาวน้อยครุ่นคิดในใจ ตัวเองไม่มีสิทธิ์ร่วมงานประลองวิถีพรต อีกทั้งสำนักชิงซานก็ไม่ได้เข้าร่วมการประลองสี่รายการแรก อย่างนั้นมาเมืองเจาเกอมิได้มาเที่ยวหรอกหรือ?
กระทั่งทราบว่าเหตุใดหนานว่างจึงอารมณ์เสียขนาดนี้ พวกนางจึงเริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมา
เดิมทีการประลองวิถีพรตก็มีความอันตรายอย่างมากอยู่แล้ว ทุกครั้งจะมีผู้บำเพ็ญพรตรุ่นเยาว์ต้องเสียชีวิตลง เพียงแต่ปีนี้มีคนตายเร็วไปหน่อยหรือเปล่า?
ยิ่งไปกว่านั้นอาจารย์อาจิ๋งจิ่วยังอยู่รั้งท้าย ตามหลักแล้วน่าจะปลอดภัยที่สุด แล้วทำไมศิษย์คุนหลุนที่อยู่กลุ่มเดียวกับเขาถึงตายได้? ที่น่าปวดหัวมากที่สุดก็คือ ศิษย์คุนหลุนผู้นั้นเพิ่งจะสังหารสัตว์ประหลาดแคว้นเสวี่ยได้สำเร็จหนึ่งตัว นี่ทำให้ผู้คนอดคิดเชื่อมโยงไปในทางที่ไม่ดีไม่ได้ โดยเฉพาะพวกที่พยายามเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆ เข้าด้วยกันโดยไม่หวังดี
“ได้ยินว่าเหอเว่ยโมโหอย่างมาก ต้องการให้พวกเราอธิบายเรื่องนี้”
หนานว่างตบไปที่โต๊ะฉาดหนึ่ง กล่าวเสียงเย็นยะเยือกว่า “จะให้อธิบายบ้าอะไร!”
เหล่าสาวน้อยพากันก้มศีรษะ ทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดประโยคนี้
เหอเว่ยคือนามของเจ้าสำนักคุนหลุน
ตามหลักแล้วหนานว่างควรจะให้ความเคารพอีกฝ่ายหน่อย แต่พวกนางเคยชินกับนิสัยที่ทำอะไรโดยไร้ซึ่งความหวาดกลัวของหนานว่างเสียแล้ว ปกติเวลาที่อยู่ในยอดเขาชิงหรง เวลาที่เจ้าแห่งยอดเขาโมโหขึ้นมา กระทั่งอาจารย์ลุงเจ้าสำนักยังถูกนางยกขึ้นมาด่า นับประสาอะไรกับเจ้าสำนักของสำนักอื่น
ในอดีตหลังจากที่เหลียนซานเยวี่ยมาเยี่ยมเยือนชิงซาน นิสัยของหนานว่างก็เย็นขึ้นมา แต่ตอนนี้รอบกายนางล้วนแต่เป็นลูกศิษย์ นางไม่อยากจะสะกดกลั้นอารมณ์ของตัวเองอีกต่อไป จึงแค่นหัวเราะแล้วกล่าวออกมาว่า “ตายก็คือแพ้ อยู่ก็คือชนะ นี่คือการประลองวิถีพรต เขายังจะเอาคำอธิบายอะไรอีก?”
ศิษย์หญิงที่ค่อนข้างเป็นที่โปรดปรานคนหนึ่งกล่าวขึ้นมาว่า “ในสถานการณ์แบบนี้ การที่อาจารย์อาเล็กจะถูกนินทามันก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงได้ เอาไว้รอให้นกหานเฮ่านำข่าวกลับมาแจ้งแล้ว สถานการณ์ก็น่าจะดีขึ้นเองค่ะอาจารย์”
นกหานเฮ่าคือนกประหลาดประจำสำนักของสำนักคุนหลุน นิสัยไม่หวาดกลัวต่อความหนาวเย็น ปกติจะพัดผ่อนเงียบๆ อยู่ในสระเย็นจิ่วโยว มีแต่เวลาที่จัดงานชุมนุมเหมยฮุ่ยถึงจะถูกเชิญมา เพื่อรับผิดชอบในการตรวจตราดูสถานการณ์บนที่ราบหิมะ ระบุตำแหน่งของผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวเหล่านั้น ยื่นมือเข้าช่วยเหลือในช่วงเวลาวิกฤติบางครั้งบางคราว
ความจริงหนานว่างเองก็ทราบในจุดนี้ นกหานเฮ่าเป็นบรรพบุรุษของสำนักคุนหลุน เหอเว่ยย่อมไม่มีทางบอกว่ามันโกหก ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้มันไม่เห็นเหตุการณ์ในเวลานั้น แต่ตรงนั้นก็ยังมีพยานคนอื่นอยู่ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า…เวลานี้กระทั่งตัวนางเองก็ยังรู้สึกแปลก จิ๋งจิ่วจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับการตายของศิษย์คุนหลุนคนนั้นหรือเปล่า ตัวนางเองก็มิอาจมั่นใจได้เช่นกัน
เมื่อดูเจ้าล่าเยวี่ยที่สังหารคนโดยไม่กะพริบตาระหว่างการเดินทางในเวลาหลายปีที่ผ่านมา แล้วคิดถึงการตายของซือเฟิงเฉินเมื่อหลายวันก่อน ใครจะรู้บางว่าจิ๋งจิ่วจะก่อเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า
ยอดเขาที่นางเคยคุ้นเคยเป็นอย่างดี ในเวลานี้กลายเป็นยอดเขาแปลกหน้าไปเสียแล้ว
……
……
เมืองเจาเกอเข้าสู่ช่วงเวลากลางคืน
ดอกท้อในวัดจิ้งเจวี๋ยร่วงโรยลงจนหมดแล้ว ไฟดอกท้อที่อยู่สองข้างทางของทางเดินที่ตรงเข้าไปยังด้านในสุดของวัดยังคงสว่างอยู่
สมณะแก่รูปหนึ่งเดินตรงไปยังปลายสุดของทางเดินหิน ดูคล้ายเชื่องช้า แต่ความจริงเพียงไม่กี่อึดใจก็มาถึงหน้าประตูห้องภาวนาแล้ว
เขาปรับลมหายใจ ผลักประตูเข้าไป เมื่อมองเห็นภาพตรงหน้า เขาพลันยิ้มชื่นชมขึ้นมา
ในที่สุดวันนี้ฉานจึก็ยอมนั่งขัดสมาธิแล้ว
ถึงแม้เขาจะขัดสมาธิเพียงข้างเดียวก็ตาม อีกทั้งเหตุผลหลักๆ ที่นั่งเช่นนี้ก็เพื่อจะได้เอี้ยวตัวไปดูกองไม้กองนั้น
“มิใช่ทิงเอ่อร์ น่าจะเป็นแมลงเส้นเหล็ก”
สมณะแก่ทราบว่าเรื่องนี้มีความเร่งด่วน จึงมิได้ชักช้า รีบบอกข้อสรุปของตนเองออกมาทันที
สมณะแก่รูปนี้มีฉายาทางธรรมว่าซื่อไห่ เคยรีบใช้เทพดาบในเมืองเล็กๆ ทางเหนือแห่งนั้นมาหลายสิบปี หากพูดถึงเรื่องสัตว์ประหลาดแคว้นเสวี่ย ทั่วทั้งวัดกั่วเฉิงไม่มีใครจะรู้ดีไปกว่าเขาอีกแล้ว
และก็เป็นเพราะเหตุนี้ ฉานจึจึงต้องการคำแนะนำของเขา
แมลงเส้นเหล็กเป็นแมลงประหลาดชนิดหนึ่งที่อยู่ในพื้นที่ส่วนลึกของแคว้นเสวี่ย รูปร่างคล้ายคลึงกับทิงเอ่อร์ แล้วก็อาศัยอยู่ในร่างกายของอสูรหิมะชนิดต่างๆ ด้วยเหตุกัน แต่เปลือกของมันมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ต่อให้เป็นกระบี่ของชิงซานก็มิแน่ว่าจะฟันเข้า ส่วนเรื่องความสามารถในการโจมตีอันน่าหวาดกลัว มันเรียกได้ว่าต่างจากทิงเอ่อร์ราวฟ้ากับดิน
หากสัตว์ประหลาดที่ศิษย์คุนหลุนผู้นั้นเจอคือแมลงเส้นเหล็ก ภายใต้สถานการณ์ที่ไร้การป้องกันก็เรียกได้ว่ายากจะมีชีวิตรอดได้
ฉานจึเงยหน้าขึ้นมา ก่อนกล่าวถามอย่างไม่เข้าใจ “ที่ผ่านมาแมลงชนิดนี้มันอยู่ข้างกายคนผู้นั้นมาโดยตลอดมิใช่หรือ?”
สมณะซื่อไห่ทราบว่าคนผู้นั้นที่ฉานจึกล่าวถึงหมายถึงผู้ใด ฉานจึกล่าวด้วยสีหน้าคร่่ำเคร่งว่า “ยิ่งไปกว่านั้นแมลงเส้นเหล็กมิได้ปรากฏตัวออกมานานหลายปีแล้ว ถึงแม้ในตอนนั้นจะมีแมลงเส้นเหล็กจำนวนหนึ่งที่มุดดินหนีลงไปตอนที่คลื่นอสูรพากันถอยหนีกลับไป แต่เวลานี้เป็นฤดูร้อน พวกมันน่าจะจำศีลอยู่ถึงจะถูก เหตุใดจู่ๆ จึงตื่นขึ้นมา?”
ฉานจึลืมโต พลางกล่าวด้วยสีหน้าจนปัญญา “ข้าจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ”
สมณะซื่อไห่ยิ้มเจื่อน ก่อนกล่าวว่า “หรือว่าปีนี้จะมีคลื่นอสูรอีก?”
ครั้นได้ยินคำว่าคลื่นอสูร สีหน้าฉานจึพลันจริงจังขึ้นมา กล่าวว่า “ข้าได้ให้ศิษย์หลานตู้ไห่ไปดูแล้ว”
สมณะตู้ไห่ก็คือหัวหน้าอารามหลี่ว์ถัง ไม่มีใครทราบว่าสมณาสูงศักดิ์รูปนี้ได้เดินทางขึ้นไปทางเหนือแล้ว
สมณะซื่อไห่กล่าวอย่างกังวลใจ “ยุติการประลองวิถีพรตล่วงหน้าดีหรือไม่ขอรับ?”
งานชุมนุมเหมยฮุ่ยปีนี้ได้ฉานจึมาเป็นประธานในการดำเนินงาน
มีเพียงเขาที่จะมีสิทธิ์ยุติการประลองวิถีพรตครั้งนี้
ฉานจึมองดูกองไม้ที่อยู่บนอาสนะ ก่อนจะยื่นมือไปจับไม้แท่งหนึ่ง จากนั้นดึงออกมา
สมณะซื่อไห่พลันรู้สึกตึงเครียดขึ้นมา
ไม้จำนวนหลายร้อยแท่งล้มลงมา มิได้ส่งเสียงดังอะไรนัก
ฉานจึมองดูแท่งไม้ที่ล้มระเนระนาดกองนั้น นิ่งเงียบมิกล่าวกระไรอยู่นาน คล้ายยังคิดไม่ตก
วัดกั่วเฉิงเชี่ยวชาญการเชื่อมโยงสองจิตที่สุด
การฝึกฝนของฉานจึในด้านนี้ย่อมต้องลึกล้ำจนมิอาจประมาณได้
การที่เขาลังเลเช่นนี้เป็นเรื่องที่พบเห็นได้น้อยมาก
“เขียนจดหมายแจ้งให้คนที่จำเป็นต้องรู้เรื่องนี้ ให้พวกเขาเตรียมตัวให้พร้อม”
ฉานจึนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวต่อว่า “พวกเรารอจดหมายจากเฉาหยวน”
……
……
สายตาของนกหานเฮ่าเฉียบคมเป็นอย่างมาก
จุดดำเล็กๆ สี่จุดบนที่ราบหิมะ สำหรับมันแล้วคล้ายวางอยู่ตรงหน้า
มันสามารถมองเห็นเศษฝุ่นบนเสื้อผ้า เศษหิมะบนรองเท้า ความเหนื่อยล้าบนใบหน้า ความสับสนในสายตา
สิ่งที่มันไม่ค่อยเข้าใจก็คือ เหตุใดชายหนุ่มที่เดินอยู่ข้างหน้าสุดถึงได้สะอาดสะอาดเพียงนั้น?
ไม่มีฝุ่น ไม่มีเศษหิมะ ไม่มีความเหนื่อยล้า ไม่มีกระทั่งอารมณ์ความรู้สึก
นี่ก็เป็นสิ่งที่ทั้งสามคนไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน
แน่นอน พวกเขายังมีเรื่องที่ไม่เข้าใจมากกว่านั้น
หลังไต้อิ๋นตายไป จิ๋งจิ่วที่นั่งอยู่เฉยๆ ในภูเขาลูกนั้นมาสืบกว่านั้นก็เหมือนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาเริ่มมุ่งหน้าเข้าไปในที่ราบหิมะ
การตายอย่างเวทนาของเพื่อนมิได้ทำลายความมุ่งมั่นของผู้บำเพ็ญพรตวัยเยาว์ทั้งสามคนนี้ แต่มันยังคงทำให้พวกเขารู้สึกสับสนอยู่บ้าง แล้วก็เริ่มฟังความคิดของจิ๋งจิ่ว
จิ๋งจิ่วมิได้มีความคิดจะพาพวกเขาไปไล่ล่าสัตว์ประหลาดของแคว้นเสวี่ย ถึงแม้ระหว่างทางจะพบเจอบ้างสองสามตัว ทว่าเขากลับไม่เหลียวมองมันเลยด้วยซ้ำ
เขาเหมือนกำลังเร่งเดินทางเพียงอย่างเดียว
เขาจะไปที่ไหน?
ถ้าร้อนใจจะไปที่ไหน เหตุใดเขายังเดินเหมือนอย่างปกติ มิได้เร่งความเร็ว และมิได้ขี่กระบี่?
……
……
แสงอาทิตย์ค่อยๆ มืดลง นกหานเฮ่าออกมานานแล้ว
จิ๋งจิ่วหยุดฝีเท้า
อีกสามคนที่อยู่ด้านหลังรีบหยุดฝีเท้า
…………………………………………………………..