เล่ม 1 ตอนที่ 204 ลู่เจี้ยไม่ได้ขึ้นครองราชย์หรือ

ราชินีพลิกสวรรค์

ถูกลูกธนูสีทองพุ่งเป้า มู่เจิ้งเฟิงรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถขยับตัวได้ 

 

 

ทันใดนั้น ทำได้แค่มองลูกธนูสีทองที่เข้ามาใกล้หว่างคิ้วของตัวเอง นาทีนั้นเหมือนเขารู้สึกว่าเวลาเดินช้ามาก สามารถรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดบนผิวหนังตรงหว่างคิ้วของตัวเองได้อย่างชัดเจน ความรู้สึกนั้นที่เนื้อเปิด กำลังกลืนกินชีวิตของเขา 

 

 

ฟึบ! 

 

 

ครึ่งหนึ่งของลูกธนูสีทองพุ่งเข้าไปที่หว่างคิ้วของมู่เจิ้งเฟิง ทะลุออกมาจากด้านหลังศีรษะ 

 

 

รอยแยกตรงแผลที่เปิดออก โหดร้ายและน่ากลัว เลือดที่ข้นไหลออกมาจากบาดแผลของเขา เลือดเปื้อนเต็มหน้าและเสื้อผ้าของเขาไปหมด  

 

 

“เสด็จพ่อ!” 

 

 

มู่ชิงเหยียนตาเบิกโพลง มองมู่เจิ้งเฟิงที่กำลังจะตาย ส่งเสียงร้องลั่นแล้วสลบไป 

 

 

ร่างกายที่อ่อนแอของนาง พุ่งไปข้างหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง เจียงเฮ่าที่อยู่ข้างหน้านาง ยื่นมือออกมารับนางไว้โดยสัญชาตญาณ โอบนางไว้ในอ้อมกอด 

 

 

มองใบหน้าที่ซีดเซียวของนาง ขนาดสลบอยู่คิ้วก็ยังขมวดอยู่ เจียงเฮ่าเจ็บปวดใจเล็กน้อย 

 

 

มู่เจิ้งเฟิงสิ้นแล้ว แต่เขากลับไม่รู้สึกดีใจที่ความแค้นได้รับการชำระแล้วเลย 

 

 

“ฝ่าบาททท!” 

 

 

เสียงที่น่าเวทนาอย่างยิ่งดังมาจากการต่อสู้ในอากาศ 

 

 

การสิ้นพระชนม์ของมู่เจิ้งเฟิง ก็เป็นการแสดงถึงการล่มสลายของโฮ่วจิ้น 

 

 

“วันนี้พวกเจ้า เหล่ากบฏตระกูลลู่ต้องตายไปด้วย และถูกฝังไปพร้อมกับฮ่องเต้ของข้า!” 

 

 

หลิงจงคนนั้นของราชวงศ์ ตะโกนออกมาด้วยความโกรธเป็นอย่างมาก 

 

 

ในตอนที่เขาพูดจบ ทันใดนั้นก็เกิดการเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณที่น่ากลัวจากทุกด้านในพระราชวัง 

 

 

“ความรู้สึกที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี…” เจียงหลีกังวล ทันใดนั้นนางก็ตาเบิกโพลง ตะโกนออกมาเสียงดังว่า “เป็นระเบิดวิญญาณ!” 

 

 

ระเบิดวิญญาณ! 

 

 

ตอนอยู่ที่เป่ยฝาง นางถูกทหารของต้าฉินปิดล้อมไว้ รับรู้ได้ถึงความน่ากลัวของระเบิดวิญญาณตัวเอง 

 

 

เจียงเฮ่าเงยหน้ามองไปบนฟ้า ก็เห็นเปลวไฟทั้งสายที่ปรากฏในพระราชวัง ภายใต้พลังนั้น เขารับรู้ได้ว่าแขนขาของตัวเองถูกกดอยู่ “อาหลี!” เจียงเฮ่าตะโกนออกมาเสียงดัง ความเป็นห่วงในแววตาที่ปิดบังเอาไว้ไม่อยู่ปรากฏออกมา 

 

 

ผู้ปกป้องราชวงศ์เหล่านี้เสียใจจนเป็นบ้าไปแล้ว ต้องการจะใช้ระเบิดวิญญาณทำลายล้างทุกอย่างในพระราชวัง เพื่อฝังทุกคนที่นี่ไปพร้อมกัน 

 

 

การปรากฏของระเบิดวิญญาณ ทำให้สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป 

 

 

มีเพียงคนเดียว ที่เพียงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองดูเปลวไฟทั้งสี่ที่พุ่งไปยังกลางพระราชวัง 

 

 

“ชะตากรรมของโฮ่วจิ้นได้จบสิ้นแล้ว” ลู่เจี้ยพูดออกมาอย่างเย็นชา ทันใดนั้นพลังจิตที่ยิ่งใหญ่ก็ปลดปล่อยออกมาจากตัวเขา พุ่งไปยังที่ๆ เปลวไฟทั้งสี่รวมตัวกัน 

 

 

เปลวไฟทั้งสี่กับพลังจิตที่ไร้รูปร่าง ปะทะกันอย่างรวดเร็ว 

 

 

ตูมตูมตูมมม! 

 

 

เสียงระเบิดที่รุนแรงดังขึ้นกลางอากาศในพระราชวัง 

 

 

 แรงระเบิดสีแดงทองที่รุนแรงทำลายทุกอย่างบนฟ้าอย่างบ้าคลั่ง เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลลู่โจมตีผู้อาวุโสของราชวงศ์เหล่านั้นแล้วถอยออกมาอย่างเร็ว 

 

 

และผู้อาวุโสของราชวงศ์เหล่านั้นพลาดโอกาสที่ดีที่จะหนี ถูกแรงระเบิดของระเบิดวิญญาณฉีกร่างจนแหลกสลาย ทำให้ท้องฟ้าของพระราชวังแดงเถือกไปหมด เลือดและฝนที่ปะปนกันสาดลงสู่พื้น 

 

 

เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดนี้ สั่นสะเทือนไปทั้งซั่งตู 

 

 

“ที่พระราชวังนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้ารู้สึกว่าแผ่นดินสั่นสะเทือนไปหมดแล้ว” 

 

 

“เสียงระเบิดที่ใหญ่โตนั้นมันคืออะไรกัน” 

 

 

“สงครามดุเดือดเพียงนี้เชียวรึ ไม่รู้ว่าใครแพ้ชนะ” 

 

 

“เช่นนั้นยังต้องถามอีกรึ กษัตริย์ไร้ซึ่งคุณธรรม ละอายต่อใต้หล้า ต้องเป็นตระกูลลู่ที่ชนะแน่นอน สังหารทรราชนั่น” 

 

 

“ไม่ผิดแน่! ต้องเป็นตระกูลลู่ที่ชนะแน่นอน!” 

 

 

“ดูนั่น พระราชวังตรงนั้นสงบลงแล้ว” 

 

 

“หรือว่าสงครามจะจบลงแล้ว” 

 

 

“ฝนก็หยุดแล้วเช่นกัน” 

 

 

“ฟ้าก็ใกล้จะสว่างแล้ว” 

 

 

“……” 

 

 

ฝนที่ตกหนัก ค่อยๆ เบาลงและหยุดลงในเวลาสั้นๆ 

 

 

ท้องฟ้าในตอนกลางคืนกลับมาปลอดโปร่งอีกครั้ง จันทราและหมู่มวลดาราเปล่งประกายระยิบระยับอยู่ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน จุดที่ฟ้าดินบรรจบกัน ปรากฏแสงสีขาวขึ้นมาแล้ว ในนั้นซ่อนแสงสีทองอ่อนไว้อยู่  

 

 

ซั่งตูสงบลง ประชาชนค่อยๆ ออกจากบ้าน เดินไปรวมกันที่พระราชวังอย่างช้าๆ 

 

 

พวกเขาอยากรู้ว่าจุดจบของสงครามครั้งนี้เป็นอย่างไร! 

 

 

ในพระราชวัง ทุกอย่างสงบลงแล้ว 

 

 

ราชวงศ์ไม่มีโอกาสโต้ตอบใดๆ แม้แต่ฮ่องเต้และเหล่าผู้อาวุโสก็ตายกันหมดแล้ว คนอื่นๆ จะมีประโยชน์อะไร 

 

 

ในวังหลังเสียงร้องไห้อย่างหนักดังออกมาไม่หยุด 

 

 

ตอนที่เจียงหลีและลู่เจี้ยเดินมาถึงที่นี่ ก็เห็นสาวงามสามพันคนของมู่เจิ้งเฟิงในโฮ่วกงกอดกันร้องไห้ 

 

 

“นายน้อยลู่ ข้าติดค้างชีวิตมู่ชิงเหยียนหนึ่งชีวิต” เจียงเฮ่าที่ตามมา พูดด้วยเสียงเข้ม 

 

 

เจียงหลีหันไปมองพี่ชายตัวเอง 

 

 

ลู่เจี้ยไม่ได้หันไปมอง แต่กลับเข้าใจความหมายของเขา “เจ้าพาแม่ของนางไปเถอะ” 

 

 

เจียงเฮ่าหายใจเข้าลึกๆ พยักหน้าช้าๆ “ขอบคุณขอรับนายน้อยลู่! ข้าติดค้างตระกูลลู่” 

 

 

พูดจบ เขารีบเดินเข้าไปหาพวกผู้หญิงเหล่านั้น แล้วพาหญิงงามคนหนึ่งไปอย่างเร็ว เหล่านางสนมที่งดงามเห็นว่าเป็นเช่นนี้ ต่างพากันเข้ามาหาลู่เจี้ย ขอให้การอภัยโทษจากเขา 

 

 

เจียงหลีที่อยู่ข้างๆ ลู่เจี้ยอยู่แล้ว หญิงงามเหล่านี้ที่กรูกันเข้ามา ก็ล้อมนางไว้ด้วย 

 

 

“นายน้อยลู่ ให้อภัยพวกเราเถอะ!” 

 

 

“ข้ายินดีสนับสนุนนายน้อย!” 

 

 

“……” 

 

 

เสียงร้องขอให้อภัยให้เหล่านี้ ทำให้เจียงหลีขมวดคิ้ว ในใจมีความรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ 

 

 

“นายน้อยลู่……” 

 

 

ทันใดนั้น เสียงที่ออดอ้อนและไร้การได้รับความช่วยเหลือ เสียงที่น่าเอ็นดูสกัดผู้หญิงเหล่านั้นไว้ 

 

 

เจียงหลีรู้สึกคุ้นหู เงยหน้ามองไป ก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย เหอะ นี่ไม่ใช่ฉุนกุ้ยเฟยผู้เป็นที่รักใคร่คนนั้นหรือ 

 

 

แค่นางเปิดปาก ผู้หญิงที่เหลือก็หุบปากอย่างไม่ได้นัดหมาย ถอยออกไปสองฝั่งอย่างเงียบๆ ดูแล้วนางคงมีอำนาจมากในโฮ่วกง ทำให้ผู้หญิงในโฮ่วกงกลัว 

 

 

ลู่เจี้ยเงยหน้ามองฉุนกุ้ยเฟยที่งดงามและยังเยาว์วัยคนนี้ ในแววตาไม่มีความหวั่นไหวแม้แต่น้อย 

 

 

หญิงสาวที่งดงามเช่นนี้ ในสายตาเขาก็เหมือนกับโครงกระดูกสีชมพู 

 

 

เจียงหลีก็มองฉุนกุ้ยเฟยเช่นกัน เพียงแต่สายตากลับเย็นชามาก ลึกๆ ในแววตามีจิตสังหาร 

 

 

“นายน้อยลู่ ท่านยังจำข้าได้ไหม” ฉุนกุ้ยเฟยเดินมาตรงหน้าลู่เจี้ย กายเหมือนต้นหลิวที่พลิ้วไหว ใบหน้าเหมือนดอกท้อ แววตามีความเขินอาย แต่แฝงไปด้วยความมั่นใจในตัวเองอย่างมาก 

 

 

นางมั่นใจในความงามของตัวเอง มีความมั่นใจในความเชี่ยวชาญความชอบต้องการชองผู้ชาย ยิ่งไปกว่านั้นชายที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ นางรู้สึกชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอในงานเลี้ยงของพระราชวัง 

 

 

เจียงหลีเลิกคิ้ว หันไปมองลู่เจี้ย รอคำตอบของเขา 

 

 

แต่ทว่าสีหน้าของลู่เจี้ยกลับนิ่ง ในสายตาเหมือนกับไม่มีฉุนกุ้ยเฟยอยู่ตรงนี้ เพียงแต่พูดอย่างเย็นชาว่า “ในเมื่อเป็นผู้หญิงของมู่เจิ้งเฟิง เช่นนั้นก็ส่งไปอยู่เป็นเพื่อนเขาเถอะ” 

 

 

พูดจบ เขาหันตัวและจูงมือเล็กๆ ของเจียงหลี รีบเดินออกไปด้านนอก 

 

 

ฉุนกุ้ยเฟยอึ้งไป หลังจากที่มีปฏิกิริยาตอบโต้ต่อความหมายในคำพูดของเขา ใบหน้าที่ปั้นไว้อย่างงดงามเริ่มบิดเบี้ยว “ไม่ ข้าไม่อยากตาย นายน้อยลู่” 

 

 

น่าเสียดายที่มีทหารของตระกูลลู่ขวางเอาไว้ นางทำได้เพียงมองลู่เจี้ยค่อยๆ เดินจากไป 

 

 

เดินไปไกลแล้ว ความอึดอัดในใจของเจียงหลีเพิ่งจะหายไป เพียงแต่ว่าในตอนที่สายตาของนางมองมือทั้งสองที่จับกันอยู่ กลับพูดหยอกล้อว่า “เจ้าทำแบบนี้ถือว่าไม่เคารพผู้อาวุโสหรือไม่” 

 

 

“ก็เรียกได้ว่าเป็นการเคารพผู้อาวุโสเช่นกัน” ลู่เจี้ยตอบกลับอย่างสงบนิ่ง 

 

 

“……” เจียงหลียิ้ม หายใจเข้าลึกๆ ถึงจะฝืนยิ้มแล้วถามว่า “ฉุนกุ้ยเฟยก็หน้าตาไม่เลว ท่านไม่รู้จักเอาใจผู้หญิงจริงๆ รึ” 

 

 

ลู่เจี้ยตอบตรงๆ อย่างรวดเร็วว่า “อัปลักษณ์” พูดพึมพำในใจ งามไม่ได้ครึ่งของหลีเอ๋อร์ 

 

 

ได้ยินคำตอบนี้ เจียงหลียิ้มหน้าบานเป็นกระด้งเลย 

 

 

…… 

 

 

ด้านนอกพระราชวัง ประชาชนที่รวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ 

 

 

ในที่สุด ประตูใหญ่ของพระราชวังที่ปิดสนิทก็เปิดออก ลู่จ้านเดินออกมา พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “หลังจากนี้สามวัน นายท่านตระกูลลู่ ลู่วั่งชวนจะขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์!”