ตอนที่ 278 เสี่ยวซื่อลงมือ!

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

เสี่ยวซื่อเห็นว่าหัวเตียงมีปุ่มกดมากมายก็แทรกซึมเข้าไป ไม่นานเขาก็พบตู้นิรภัยที่ซือหมิงอี้ซ่อนยาเอาไว้มากมาย พอเปิดดูก็พบว่าด้านในนอกจากจะมียาถอนพิษยาชาแล้ว ยาชนิดอื่นๆ ต่างเป็นยาที่เพิ่มความสนุกสนานต่างๆ นานา ยาเหล่านี้เรียกรวมๆ ว่า ยาปลุกอารมณ์

เสี่ยวซื่อค้นเจอคำอธิบายของยาปลุกอารมณ์ในคลังข้อมูลแล้ว เขาเอ่ยขึ้นในห้วงจิตใจขณะที่ดวงหน้าเล็กๆ ดูสับสน “ลูกพี่ ดูเหมือนยาปลุกจะไม่มียาถอนพิษเลย ยาถอนพิษเพียงหนึ่งเดียวก็คือหาผู้หญิงให้เขาสักคน…แต่ว่าคนในโรงเรียนทหารนี้ต่างเป็นผู้ชาย มีแค่เธอคนเดียวที่เป็นผู้หญิงนะ”

เสี่ยวซื่อเห็นสายตาอำมหิตของหลิงหลานกวาดมองเข้ามาก็รีบก้มหน้างุดมองนิ้วมือ “แน่นอนว่าไม่ได้อยู่แล้ว หาผู้ชายมาสักคนก็ได้เหมือนกัน…” ในคลังข้อมูลก็มีผู้ชายถอนพิษให้กับผู้ชาย ถึงแม้เสี่ยวซื่อไม่เข้าใจว่าทำไมการถอนพิษจำเป็น ต้องใช้ผู้ชายกับผู้หญิงก็ตาม…เสี่ยวซื่อที่ใสบริสุทธ์ยังไม่เข้าใจว่าอะไรคือความสุขของความรัก

“นายก็อย่าออกความเห็นอะไรที่มันพิเรนทร์สิ” หลิงหลานเอ่ยด้วยความไม่สบอารมณ์

ตอนนี้เอง ลั่วล่างลุกขึ้นมาด้วยความกระเสือกกระสน ฝืนสะกดกลั้นความอึดอัดในร่างกาย กล่าวกับหลิงหลานว่า “ลูกพี่ ฉันไหว” ลั่วล่างไม่อยากถ่วงขาลูกพี่ในช่วงเวลาอันตรายแบบนี้

หลิงหลานมองปราดไปยังลั่วล่างที่เวลานี้สองขาสั่นระริกเล็กน้อย สภาพนี้สามารถตามเธอฝ่าออกไปจากศูนย์บัญชาการเทียนจีได้จริงๆ เหรอ? หลิงหลานไม่คิดว่าลั่วล่างสามารถทำได้จริงๆ

บางทีลั่วล่างอาจจะรู้สึกได้ถึงความไม่ไว้วางใจของหลิงหลาน เขากัดริมฝีปากของตัวเอง เอ่ยด้วยใบหน้าขึงขังว่า “ลูกพี่ เชื่อฉัน ฉันทำได้แน่!” เขา…ลั่วล่างไม่มีทางพ่ายแพ้ให้กับยาชาเป็นอันขาด และก็ไม่มีทางแพ้ให้กับยาปลุกที่แปลกประหลาดนั่นด้วย…

ความมุ่งมั่นของลั่วล่างทำให้ในใจหลิงหลานทอดถอนใจเล็กน้อย ภายนอกลั่วล่างดูเป็นคนที่อ่อนแอเปราะบางมากที่สุดในหมู่เพื่อนๆ ทุกคน แต่ความดุดันดื้อรั้นในส่วนลึกไม่ได้ด้อยไปกว่าฉีหลงเลย พูดได้ว่าคนอื่นๆ ในทีมด้อยกว่าเขาในด้านนี้ หลิงหลานเชื่อว่าถ้าหากเธอปล่อยลั่วล่างตามเธอไปจริงๆ ละก็ ต่อให้เขาทำให้ตัวเองบาดเจ็บสาหัส ลั่วล่างก็จะต้องตามหลังเธอไปอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ก่อนที่เขาจะหมดสติลงโดยสิ้นเชิง ช่างเป็นเด็กที่กระตุ้นให้คนรู้สึกเจ็บปวดใจจริงๆ…

หลิงหลานได้แต่พยักหน้ากล่าวว่า “เข้าใจแล้ว!”

คำตอบของหลิงหลานทำให้ดวงหน้าของลั่วล่างปรากฏรอยยิ้มออกมา ลูกพี่ยังคงยินดีเชื่อใจเขา…

ในตอนนี้เอง หลิงหลานสาวเท้าพรวดทีหนึ่งในตอนที่ลั่วล่างยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนอง ก่อนจะบีบตรงท้ายทอยของลั่วล่างฉับพลัน ลั่วล่างดูไม่เข้าใจเล็กน้อย จากนั้นดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็ปิดลงหมดสติไป

หลิงหลานยื่นมือซ้ายออกมารวบไว้ตามสถานการณ์ ก่อนจะโอบกอดลั่วล่างเบาๆ ปากก็เอ่ยเสียงแผ่วเบาด้วยจนใจว่า “เด็กโง่ ฉันแบกนายไปสะดวกกว่าอีกไม่ใช่เหรอ?”

“อ้าๆๆๆ! ลูกพี่มอบอ้อมกอดเวอร์จิ้นของเธอให้ไอ้หนูลั่วล่างเนี่ยนะ!” เสี่ยวซื่อเห็นแบบนี้ก็คลุ้มคลั่งขึ้นมาโดยสิ้นเชิง ว่าไปแล้วนี่ก็คืออ้อมกอดเวอร์จิ้นของลูกพี่หลานนะ เดิมทีเขาวางแผนไว้ว่าเขาจะเป็นคนได้รับ ทำไมถึงถูกไอ้หมอนี่แย่งไปล่ะ? เวลานี้เสี่ยวซื่อที่คั่งแค้นอิจฉาริษยานึกอาฆาตแค้นความล้าหลังทางด้านเทคโนโลยีของโลกใบนี้อย่างหาใดเปรียบ ที่ไม่มีตัวตนร่างจริงให้สิ่งมีชีวิตทางปัญญาอาศัยอยู่ได้ ไม่อย่างนั้นเขาคงยึดครองอ้อมกอดเวอร์จิ้นของลูกพี่ไปตั้งแต่แปดร้อยปีก่อนแล้ว

“เงียบไปเลย อ้อมกอดเวอร์จิ้นของฉันถูกแม่ฉันเอาไปตั้งนานแล้ว…” คำพูดของเสี่ยวซื่อทำให้หลิงหลานพูดไม่ออกอยู่บ้าง จะว่าไปแม่ของเธอเป็นคนกอดเธอไม่ใช่เหรอ? น่าจะใช่นะ…หลิงหลานนึกด้วยความไม่แน่ใจเล็กน้อย

“เพศเดียวกันไม่นับ ต้องเพศตรงข้ามกันสิ เพศตรงข้ามกันเข้าใจไหม แล้วยังต้องเป็นลูกพี่กอดเองด้วย” เสี่ยวซื่อเสนอความเห็นคัดค้านด้วยความดื้อดึง บ่งบอกว่าอ้อมกอดของคุณแม่หลานไม่นับ

“งั้นก็ไม่ใช่ลั่วล่างอยู่ดี อ้อมกอดเวอร์จิ้นของฉันถูกพ่อฉันเอาไปตั้งนานแล้ว” หลิงหลานบอกความจริงให้เสี่ยวซื่อฟังอย่างเฉยชา ของที่เขาคิดถึงอยู่ตลอดเวลาหายไปเมื่อไม่นานมานี้แล้ว

เสี่ยวซื่ออึ้งไป “ทำไมฉันไม่รู้ล่ะ?”

“จะว่าไปตอนนั้นนายหมอบคารวะอยู่ใต้กางเกงทหารพ่อฉัน ในสายตาไม่มีของอย่างอื่นอยู่เลยนี่นา” หลิงหลานเอ่ยด้วยความเหยียดหยาม ทุกครั้งที่เสี่ยวซื่อเห็นหลิงเซียวก็เคลิ้มทำตัวคลั่งไคล้ต่างๆ นานา ไม่มีท่าทีเยือกเย็นของสิ่งที่เรียกว่าสิ่งมีชีวิตทางปัญญาเลยสักนิดเดียว หลิงหลานยืนยันอีกครั้งว่า เสี่ยวซื่อคือของมีตำหนิแน่นอน

หลิงหลานถึงขนาดสงสัยว่า การที่เสี่ยวซื่อมาถึงโลกที่เป็นมิติระดับต่ำในชาติก่อนของเธอได้เป็นเพราะว่าผู้สร้างเสี่ยวซื่อไม่สามารถยอมรับของมีตำหนินี้ได้ เลยอิงจากแนวคิดว่าของที่พ้นสายตาไปแล้ว เรามักจะลืมเลือน เขาเลยโยนเสี่ยวซื่อเข้าไปมิติระดับต่ำปล่อยให้เขาไปตามยถากรรม?

หลิงหลานรู้สึกว่าเหตุผลนี้ดูน่าเชื่อถืออย่างมาก เสี่ยวซื่อสัมผัสได้ถึงความคิดของหลิงหลาน เขาก็เต้นเร่าๆ ด้วยความโกรธ คัดค้านความคิดเหลวไหลนี้อย่างรุนแรง ยืนยันว่าเขา…เสี่ยวซื่อคือร่างปัญญาที่แสนพิเศษเพียงหนึ่งเดียวในสวรรค์และโลกมนุษย์ หวังว่าหลิงหลานจะทะนุถนอมลูกน้องสารพัดนึกอย่างเขาคนนี้ให้ดี…

แน่นอนว่าหลิงหลานคุ้นชินกับพฤติกรรมเช่นนี้ของเสี่ยวซื่อแล้ว ตอนเธออายุน้อยยังใช้ ‘ความรุนแรงในครอบครัว’ เนื่องจากทนรับพฤติกรรมของอีกฝ่ายไม่ไหว ทว่าตอนนี้เธอเฉยชาสุดขีด ทำหน้านิ่งไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว หลิงหลานคิดว่าการที่ฝีมือทำหน้าตายของเธอแข็งแกร่งขนาดนี้ เสี่ยวซื่อย่อมมีคุณงามความดีเป็นอันดับหนึ่ง ถ้าหากไม่มีเขาคอยช่วยเธอฝึกฝนหัวใจให้เข้มแข็งวันแล้ววันเล่าปีแล้วปีเล่า เธอก็คงทำถึงจุดนี้ไม่ได้เหมือนกัน

หลิงหลานจึงแบกลั่วล่างไว้บนบ่าของตัวเองท่ามกลางความคลุ้มคลั่งของเสี่ยวซื่อเช่นนี้เอง ตอนที่เธออออกไปก็ไม่ลืมกระทืบใส่ตัวซือหมิงอี้อย่างรุนแรงหลายครั้ง หลิงหลานไม่ได้ระบายความโกรธอย่างอย่างเดียวเท่านั้น ฝ่าเท้าหลายอันนี้ใส่พลังปราณเฉพาะของเธอไว้ พูดได้ว่า ถ้าหากไม่มียอดฝีมือแห่งยุคอะไรมาช่วยอีกฝ่ายกำจัดพลังเหล่านี้ละก็ ต่อให้กระดูกที่แตกหักของซือหมิงอี้ถูกรักษาหายดีแล้ว เขาก็ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ใหม่อีก

เมื่อหลิงหลานออกไปจากห้องของซือหมิงอี้ เสี่ยวซื่อพลันเปลี่ยนจากสภาพที่เดิมทีคลุ้มคลั่งมาเป็นเยือกเย็นสุดขีด เขาเอ่ยถามด้วยดวงตาสองข้างที่สว่างวาบว่า “ลูกพี่ ฉันลงมือได้แล้วหรือยัง?”

ตอนแรกพวกเขาวางแผนไว้แบบนี้ พอช่วยเหลือลั่วล่างแล้วก็จะให้เสี่ยวซื่อจัดการอุปกรณ์กล้องวงจรปิดทั้งหมดของศูนย์บัญชาการเทียนจีรวมถึงออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักของศูนย์บัญชาการเทียนจีด้วย เขาอยากเล่นอย่างไรก็ได้ตามใจชอบ แน่นอนว่าเงื่อนไขแรกสุดคือ หลังจากที่จบเรื่องห้ามหลุดว่าเป็นกลุ่มนักเรียนของพวกเขา…

“อื้อ แล้วอย่าลืมหาพวกคนที่ลงมือลักพาตัวลั่วล่างด้วยล่ะ” มุมปากของหลิงหลานยกขึ้นเล็กน้อย ดวงตาทั้งสองข้างแฝงไปด้วยความเย็นชาอย่างไร้ที่สิ้นสุด “ลั่วล่างถูกพวกเขาลักพาตัวไปไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นายน่าจะรู้นะว่าต้องทำยังไง”

“ฆ่าพวกเขาเหรอ?” เสี่ยวซื่อได้ยินคำพูดก็ตื่นเต้นทันที หลิงหลานไม่อนุญาตให้เขาลงมือในโลกเสมือนจริงมาตลอด ความจริงแล้วเขาหงุดหงิดมาก ควรรู้เอาไว้ว่าความสามารถที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาอยู่ในโลกเสมือนจริง บงการความเป็นความตายของทุกคน…

“ไม่ ไม่จำเป็นเลย สวะพวกนี้ยังไม่คู่ควรให้เสี่ยวซื่อของฉันแปดเปื้อนบาปกรรมนี้หรอก แต่ทำลายร่างจิตของพวกเขาก็พอแล้ว…” หลิงหลานที่อยู่ในห้วงจิตใจลูบศีรษะของเสี่ยวซื่ออย่างอ่อนโยน ทว่าคำพูดที่กล่าวออกมากลับโหดร้ายอย่างยิ่งยวด เสี่ยวซื่ออาจจะไม่เข้าใจว่าบางครั้ง การมีชีวิตอยู่มันทรมานมากกว่าตาย!

“เข้าใจแล้วลูกพี่ คอยดูฉันเถอะ…” เสี่ยวซื่อทิ้งท้ายคำพูดไว้หนึ่งประโยคแล้วก็ไปทำภารกิจและ ‘ฆ่าคน’ ให้สำเร็จ

หลิงหลานมองเสี่ยวซื่อหายไปจากในห้วงจิตใจ อารมณ์ของเธอซับซ้อนอย่างยิ่ง เธอไม่รู้ว่าตัวเองตัดสินใจอย่างนี้ไปมันจะโหดเหี้ยมมากเกินไปหรือเปล่า ถึงอย่างไรการทำลายร่างจิตของอีกฝ่ายก็เท่ากับว่าทำให้อีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นคนปัญญาอ่อน ซือหมิงอี้ถูกเธอทำลายสมองไปแล้ว แน่ใจได้ว่าเมื่อเขาได้สติแล้วจะต้องเป็นคนปัญญาอ่อนที่เดินเหินไม่ถนัด เธอไม่นึกเสียใจเลย ถึงขนาดที่คิดว่าการที่เธอไว้ชีวิตเขาก็เป็นความเมตตาของเธอแล้ว แต่คนพวกนั้นเป็นเพียงผู้สมรู้ร่วมคิด นอกจากเข้าร่วมการลักพาตัวลั่วล่างแล้ว พวกเขา ก็ไม่เคยทำเรื่องเลวทรามมากนัก…

เวลานี้หลิงหลานรู้สึกว่าลมหายใจของลั่วล่างที่อยู่บนไหล่เธอร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกสงสารและความใจอ่อนอันน้อยนิดนั้นหายไปทันที คนพวกนั้นเป็นเพียงผู้ร่วมกระทำผิดจริงๆ แต่ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขา อาศัยแต่ซือหมิงอี้คนเดียวจะจับตัวลั่วล่างมาได้ยังไง? ถ้าหากลั่วล่างถูกทำลายเพราะเหตุนี้ละก็…

หลิงหลานคิดถึงตรงนี้ก็อดไม่ไหวต่อยไปที่กำแพงฉับพลัน พลังแฝงไหลตามเข้าไปในกำแพงจนมันแตกกระจายออกไปทั่วทุกด้าน ปรากฏเป็นรอยแตกมากมายนับไม่ถ้วน เนื่องจากหลิงหลานปลดปล่อยพลังออกมาได้ล้ำเลิศอย่างยิ่งยวด บนผิวของกำแพงจึงไม่มีร่องรอยเลยสักนิดเดียว

ความเย็นชาในแววตาของหลิงหลานรุนแรงมากขึ้น เธอตัดสินใจว่าจะซื่อสัตย์ต่อใจตัวเอง เธอไม่อาจทนรับผลของการสูญเสียลั่วล่างไปได้ และก็ไม่สามารถให้อภัยคนเหล่านั้น ดังนั้นผลลัพธ์นี้ก็คือค่าตอบแทนที่พวกเขาจำเป็นต้องชดใช้แล้ว

คนที่ทำร้ายพี่น้องของเธอ เธอจะต้องทำให้อีกฝ่ายชดใช้ด้วยเลือด ไม่เช่นนั้นเธอจะสู้หน้าพวกเพื่อนๆ ที่เชื่อใจและเคารพรักเธอได้ยังไง? ต่อให้เธอต้องมือเปื้อนเลือดและบาปกรรมเพราะเหตุนี้ เธอก็ยอมรับไว้ด้วยความยินดี

……

เวลานี้เอง ภายในห้องเฝ้าระวังตรวจสอบของศูนย์บัญชาการเทียนจีที่เดิมทีเงียบสงัดพลันมีเสียงอุทานดังขึ้นมา “เกิดอะไรขึ้น ทำไมหน้าจอฝั่งฉันถึงดำล่ะ?”

สมาชิกทีมที่เข้าเวรในศูนย์บัญชาการเห็นภาพวงจรปิดของตัวเองเกิดอาการผิดปกติ พวกเขาก็เด้งตัวขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนกทันที

“ทางฉันก็เป็น จอดำแล้วเหมือนกัน” สมาชิกทีมอีกคนที่ทำการเฝ้าระวังตรวจสอบก็ร้องอุทานด้วยเช่นกัน

“ทางฉันก็มองไม่เห็นอะไรแล้ว” ทันใดนั้นห้องเฝ้าระวังตรวจสอบพลันแตกตื่นขึ้นมา

“อย่าตื่นตระหนกไป รีบตรวจสอบระบบของออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักทันที” หัวหน้าทีมเอ่ยกับลูกทีมด้วยความเยือกเย็น

ทุกคนเริ่มเคลื่อนไหวขึ้นมาหลังจากเสียงนี้ แต่ละคนต่างใช้วิธีการของตัวเองพยายามเชื่อมต่อกับระบบของออปติคัลคอมพิวเตอร์หลัก ทว่าไม่พบอะไรเลย พวกเขาเชื่อมต่อระบบของออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักไม่ได้เลย เหมือนกับออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักถูกล็อกไว้

“หัวหน้า ทางฉันไม่มีการตอบรับ” ลูกทีมคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาขณะที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ

“ทางฉันก็เหมือนกัน เข้าไปไม่ได้เลย!” ลูกทีมอีกคนวางสองมือลงด้วยความหงุดหงิด ต่อให้เขาเชื่อมต่อกับออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักนับครั้งไม่ถ้วน ก็เป็นเหมือนกับก้อนหินที่จมลงในมหาสมุทร

“แย่ล่ะ เป็นการโจมตีของแฮคเกอร์ ตัดการเชื่อมต่อระบบออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักเปิดระบบออปติคัลคอมพิวเตอร์สำรอง” หัวหน้าทีมตระหนักได้ว่าสาเหตุคืออะไรก็กลัวจนหน้าถอดสี เขารีบแจ้งบรรดาลูกทีมว่าออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักถูกโจมตีและถูกตัดขาดจากศูนย์บัญชาการโดยสิ้นเชิงแล้ว หลังจากนั้นเขาก็เปิดใช้งานออปติคัลคอมพิวเตอร์สำรอง มาควบคุมอุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัยและอุปกรณ์กล้องวงจรปิดทั้งหมดของศูนย์บัญชาการ

“ได้ หัวหน้า!” คำสั่งของหัวหน้าทีมทำให้บรรดาลูกทีมตื่นตัว พวกเขายังไม่ได้จนตรอก พวกเขายังมีระบบออปติคัลคอมพิวเตอร์สำรองอยู่ ขอเพียงอดทนผ่านพ้นช่วงเวลาเปิดใช้งานไปได้ พวกเขาก็มั่นใจได้เต็มร้อยว่าศูนย์บัญชาการเทียนจีจะปลอดภัย

แต่เมื่อพวกเขาตัดแหล่งกำเนิดไฟฟ้าของออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักด้วยมือ แล้วเปิดใช้งานออปติคัลคอมพิวเตอร์สำรอง พวกเขากลับพบว่าสถานการณ์ยังคงเหมือนเดิม อุปกรณ์ทุกอย่างต่างอยู่ในสภาพแข็งทื่อ ไม่สามารถใช้งานได้เลย…

“หัวหน้า ตอนนี้จะทำยังไงดีล่ะ?” มีลูกทีมคนหนึ่งที่ดูอายุค่อนข้างน้อยอดร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่ได้ เมื่อเขาคิดว่าถ้าหากเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นมา พวกเขาไม่กี่คนแบกรับไม่ไหวแน่นอน

“อาศัยแค่พวกเราย่อมไม่พออยู่แล้ว รีบไปเรียกสมาชิกแฮคเกอร์ทุกคนในกลุ่มรีบมาที่ห้องเฝ้าระวังตรวจสอบเร็วเข้า…” ตอนนี้หัวหน้าทีมรักษาความเยือกเย็นไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว หน้าผากของเขาหลังเหงื่อลงมาเป็นสายราวกับฝนตกก็ไม่ปาน

——————-