บทที่ 213 สงครามเลือดบนหุบเขาหวงกุย

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

สำหรับอาการบาดเจ็บของซ่งชูอีนั้น จางอี๋ค่อนข้างกล่าวโทษตัวเองอยู่ในใจ ทว่าในความเป็นจริงมันจะดีเสียกว่าหากซ่งชูอีเป็นคนทำเรื่องนี้เอง ในแง่หนึ่งการปรากฏตัวของซ่งชูอีนั้นเป็นการแสดงให้กองทัพสู่เห็นเจตนารมณ์ของรัฐฉินที่จะผนวกรัฐสู่ ซ่งชูอีมีความสามารถโน้มน้าวให้กองทัพสู่เชื่อว่ารัฐฉินต้องการจะผนวกรัฐสู่ผ่าน “การเจรจา” โดยที่ไม่มีการนองเลือดซึ่งซ่งชูอีก็รู้ดีดังนั้นจึงตอบรับด้วยความเต็มใจ

วันรุ่งขึ้นมีข่าวส่งมาจากแนวหน้าว่ากองทัพในชุดเกราะดำกำลังจะถึงหวังเฉิงในไม่ช้า กองทัพฉินจึงรีบย้ายค่ายไปข้างหน้าสิบลี้เพื่อกดดันกองทัพถูอู้ลี่ ทันทีที่เขาได้ข่าวก็สั่งให้ถอนกองกำลังแนวหน้าไปช่วยเหลือนครหลวงและดำเนินการสกัดกั้นทันที

ทางด้านกองทัพสู่ หลังจากถูอู้ลี่ได้พบหน้ากับซ่งชูอีแล้วก็เข้าใจในความตั้งใจของรัฐฉิน และเขาก็ทำตามที่จางอี๋คาดคะเนไว้จริงๆ เขารู้สึกว่าซ่งชูอีเก่งด้านการวางแผนแต่มิเก่งเรื่องการทหาร มีนางเป็นที่ปรึกษาทางทหาร รัฐฉินต้องการควบคุมรัฐสู่ผ่านการสนทนาแน่ อีกทั้งยังพิจารณาถึงสนธิสัญญาระดับชาติที่เศร้าและน่าอัปยศอดสูเช่นนั้น มหาเสนาบดีส่วนใหญ่ไม่มีทางรับปากแน่ ฉะนั้นหลายวันมานี้เขาจึงได้แต่พิจารณาที่จะพลิกแพลงแผนการต่อสู้มาโดยตลอด จนกระทั่งแนวหน้าส่งข่าวมาว่ากองทัพฉินย้ายค่ายเข้ามาประชิด เขาจึงตระหนักได้ในทันทีว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำ

ถูอู้ลี่ก็เป็นคนที่เก่งกาจด้านการทหาร จากการกระทำของกองทัพฉินทำให้เขาตระหนักได้ว่าแม้ภายนอกตนเองดูเหมือนอยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่า แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับอยู่ในสภาวะผู้ถูกกระทำ กองกำลังรัฐสู่ไม่เท่าฉิน กองหลังมีช่องโหว่ นี่ก็เป็นข้อบกพร่องร้ายแรง บัดนี้จึงส่งคนไปสืบข่าวของหวังเฉิงทันที

ข่าวการโจมตีอย่างกะทันหันของกองทัพฉินถูกส่งมา ถูอู้ลี่ปิดข่าวนี้อย่างสุดความสามารถ แต่ข่าวลือก็ยังผุดขึ้นในค่าย! กองทัพตกอยู่ในความร้อนรนทันที หวังเฉิงจะล่มสลายไม่ได้เป็นอันขาด มิฉะนั้นรัฐสู่ก็จะสิ้นสุดลงแล้ว!

ถูอู้ลี่มั่นใจว่านี่เป็นฝีมือของชาวฉิน! ที่จะทำลายขวัญกำลังใจของกองทัพสู่

วิธีนี้ได้ผลอย่างน่าอัศจรรย์ แม้แต่ถูอู้ลี่ผู้ซึ่งสามารถรักษาเสถียรภาพของทหารมาโดยตลอดก็ยากที่จะระงับอารมณ์ทั้งหมดได้ในเวลานี้ ดูเหมือนว่าเบื้องหน้าเขาจะมีเพียงถนนสองสายเท่านั้น คือต่อสู้กับทหารฉินเพื่อนำสู่อ๋องกลับมาหรือถอนกำลังแนวหน้าเพื่อช่วยนครหลวง แต่จริงๆ แล้วสำหรับทหารฉินนั้น เขามีเพียงถนนสายเดียวเท่านั้น ก็คือไม่สามารถอยู่ที่นี่ต่อโดยไม่เคลื่อนย้ายได้!

บัดนี้การใช้แผนสลายกองทัพฉินคือวิธีที่ดีวิธีหนึ่ง แต่เมืองหลวงที่อยู่ด้านหลังกำลังติดอยู่ในเพลิงสงคราม แม้แต่เขาก็แทบจะรักษาอารมณ์ให้สงบไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับนายทหารธรรมดาเล่า? หากเผชิญหน้ากับกองทัพฉินแล้วแย่งสู่อ๋องกลับมา โอกาสที่จะประสบความสำเร็จนั้นน้อยยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นนครหลวงและองค์รัชทายาทมีความสำคัญกว่าสู่อ๋องเพียงคนเดียวมาก

หลังจากคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ถูอู้ลี่ก็ตัดสินใจถอนกำลังกลับไปยังหวังเฉิงทันที

กองทัพฉินจับจ้องกองทัพสู่เหมือนเสือที่กำลังจ้องตะครุบเหยื่อ จุดประสงค์ก็เพื่อรั้งเขาไว้ แต่ดูเหมือนว่าความตั้งใจที่จะไม่โจมตีก่อนและการใช้แผนหลอกล่อจะไม่ได้ผล

ข่าวขอความช่วยเหลือของหวังเฉิงถูกส่งมา นครหลวงกำลังตกอยู่ในวิกฤต ถูอู้ลี่มองว่าไม่สามารถรอต่อไปได้อีกแล้ว ทำได้เพียงรีบรวบรวมกำลังพลเพื่อจัดกลยุทธ์สำหรับการล่าถอย เตรียมกลับหวังเฉิงในคืนเดียวกัน

สวรรค์ยังคงเมตตากองทัพสู่อยู่บ้าง ครั้นถึงกลางคืนฝนก็ตกหนัก รัฐสู่มีความชื้นมาก ทุกครั้งที่ฝนตกก็จะมีหมอกลงจัด ในกรณีที่ลงจัดมากๆ ก็ไม่สามารถมองเห็นคนในระยะเกินกว่าสองจั้ง ฝนตกหนักเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม ไอหมอกลอยขึ้น มันยังคงบางเบาราวปุยฝ้ายในตอนแรก ภายหลังก็ยิ่งหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ

ถูอู้ลี่สั่งกองทหารของเขาทันที อธิบายกับกองทัพทุกคนถึงข้อดีของกองทัพสู่ กล่าวว่ารัฐสู่ครอบครองท้องฟ้า พระเจ้าประธานพร พลังของรัฐสู่จึงยังไม่หมด! ชาวสู่หลงใหลงมงายในเรื่องเทพเจ้า บวกกับสถานะของเขาคือท่านแม่ทัพถูอู้รุ่นที่สิบสอง หลังจากวาจากระตุ้นขวัญกำลังใจ เขาก็เปลี่ยนความใจร้อนของกองทัพสู่ให้กลายเป็นจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้!

ฝ่ายกองทัพฉิน จางอี๋คาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าถูอู้ลี่จะต้องนำค่ายกลับไปช่วยนครหลวงแทนที่จะเผชิญหน้ากับกองทัพฉิน เขาจึงได้ตั้งธนูซุ่มโจมตีแล้ว

ซือหม่าชั่วให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดกับการเคลื่อนไหวของกองทัพสู่ อากาศที่เปลี่ยนแปลงไม่สามารถรบกวนหัวใจของเขาได้ เพราะศึกครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องกวาดล้างกองทัพสู่จนหมดสิ้น เขาเพียงต้องพยายามอย่างเต็มที่ในการสังหารกองทัพสู่อย่างน้อยสี่หมื่นนายในขณะที่รักษารากฐานความแข็งแกร่งของกองกำลัง

ในค่ายผู้บังคับบัญชา เหล่านายพลกำลังยืนรอคำสั่งสกัดกั้นจากท่านแม่ทัพ

ซือหม่าชั่วยืนไตร่ตรองอยู่หน้าแผนที่ปาสู่ ยิ่งเข้าสู่สงครามล้ำลึกมากเพียงใด เขาก็ยิ่งชื่นชมวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลของซ่งชูอีมากเพียงนั้น แม้ว่ารัฐสู่จะมีพื้นที่ป่าหนาแน่นแม้แต่ในที่ราบ นางกลับตรวจสอบป้อมปราการบางแห่งได้อย่างชัดแจ้ง โดยเฉพาะแม้แต่ถนนสายเล็กก็ไม่ละเว้น นอกจากนี้ยังมีการบ่งชี้สภาพแวดล้อมในป่าอย่างชัดเจนว่ามีสัตว์ดุร้ายและงูหรือไม่ และเส้นทางบางส่วนมีเพียงนักล่าบางคนที่เหยียบออกมาเท่านั้น แม้แต่กองทัพสู่เองก็ยังไม่รู้

เส้นทางเหล่านี้อนุญาตเพียงคนกลุ่มเล็กๆ ให้ผ่านไปได้ แม้ว่ากองทัพจะไม่สามารถเคลื่อนไปข้างหน้าแต่ก็สามารถใช้เพื่อซุ่มโจมตีได้

“ราย…”

สายลับในเสื้อเกราะเปียกปอนเข้ามาในกระโจมด้วยความรวดเร็ว “รายงานท่านแม่ทัพ พบว่ากองทัพสู่ย้ายค่ายออกจากภูเขาแล้วขอรับ!”

“ทหารทุกคนฟังคำสั่ง! เตรียมการไล่ล่าตามแผน!”

“ข้าน้อยรับคำสั่ง!”

ทุกคนถอยออกไปจากกระโจมอย่างรวดเร็ว

……

ซ่งชูอีไม่ได้ออกไปข้างนอกแต่ก็รู้สึกได้เลือนรางว่าบรรยากาศผิดปกติไป ด้วยเหตุนี้นางจึงมิได้หลับ

ดวงตาของนางไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนเมื่อเวลากลางวัน ครั้นถึงกลางคืนยิ่งเป็นเหมือนคนตาบอด โบกฝ่ามือตรงหน้าก็สามารถเห็นได้เพียงเงาดำเลือนราง ด้วยเหตุนี้นางจึงทำได้เพียงอยู่ในกระโจมอย่างว่าง่ายในเวลากลางคืน

หลังจากซ่งชูอีบาดเจ็บแล้ว จี้ฮ่วนก็ขอให้จางอี๋บอกซือหม่าชั่วให้ย้ายตนมาอยู่ข้างกายซ่งชูอีโดยมีหน้าที่รับผิดชอบคุ้มกันความปลอดภัยของนาง

มันเป็นเพียงการย้ายนายร้อยคนหนึ่งเท่านั้น ซือหม่าชั่วรู้ความสัมพันธ์ระหว่างจี้ฮ่วนและซ่งชูอี อีกทั้งได้ยินมาว่าฝีมือเขาไม่เลวจึงรีบตกลง

การทำสงครามเป็นไปด้วยความเร่งรีบ คนอื่นไม่มีเวลาสนใจซ่งชูอี ทว่าจี้ฮ่วนเฝ้าอยู่ข้างกายนาง ไม่นานก็รู้เรื่องที่ซ่งชูอีสูญเสียการมองเห็นจึงรีบวิ่งไปตามหัวหน้าหมอมา

“เร็วหน่อย!” ฝนตกหนักรุนแรง จี้ฮ่วนลากหัวหน้าหมอวิ่งไปยังกระโจมของซ่งชูอี

หัวหน้าหมออายุมากแล้ว การติดตามกองทัพเป็นไปด้วยความยากลำบาก จะสู้แรงของเขาได้เยี่ยงไร จึงทำได้เพียงหายใจหอบเป็นเวลานาน “ท่านนายร้อย…ท่านนายร้อยฟังหมอพูดก่อน ข้ารู้…ข้ารู้เรื่องอาการตาบอด…ของท่านที่ปรึกษาอยู่แล้ว”

จี้ฮ่วนหยุดเดิน หันไปถาม “แล้วอาการเป็นเยี่ยงไร?”

หัวหน้าหมอตัวสั่นอย่างหมดสภาพท่ามกลางสายฝนโดยถือร่มอยู่ในมือ “ข้าไม่เก่งทางนี้ จึงทำได้เพียงสั่งยาระงับชั่วคราว รอจนกระทั่งกลับไปที่เสียนหยางค่อยไปหาหมอเทวดา จะต้องรักษาโรคตาได้อย่างแน่นอน”

พูดง่ายทว่าจะไปหาหมอเทวดาได้จากที่ไหน!

จี้ฮ่วนเงียบงัน หัวหน้าหมอรีบกล่าวขึ้น “ข้ายังมีธุระ ขอตัวก่อนแล้ว”

“ล่วงเกินท่านแล้ว” จี้ฮ่วนประสานมือเอ่ย

หัวหน้าหมอก็ขี้คร้านที่จะสนใจ รีบกลับไปที่กระโจมหมอทันที การที่เขาร่วมกับกองทัพต่อสู้กับรัฐสู่ด้วยร่างกายชราภาพของเขา สาเหตุไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่คิดว่าหากสงครามครั้งนี้มีชัยชนะเขาก็จะได้รับรางวัลใหญ่ การนำทรัพย์สินกลับบ้านเพื่อปกป้องที่นาหนึ่งหมู่สามส่วนก็สามารถเลี้ยงตัวจนแก่ได้แล้ว จึงไม่อาจตากฝนและหนาวตายอยู่ที่นี่ได้

ฝนตกกระทบกระโจมเสียงดังเปาะแปะ ซ่งชูอีฟังอยู่ข้างใน มันเปรียบเสมือนม้าพันตัวที่ควบอยู่ท่ามกลางเสียงกลองของสงคราม

ม่านฝนนอกกระโจมไร้ซึ่งขอบเขต ภูเขาป่าในระยะไกลได้ละลายไปในราตรีที่มืดมิด ทุกสิ่งรอบตัวถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนา ในฝนกระหน่ำนั้น ไม่รู้ว่ากองทัพสู่ใช้วิธีไหนในการรักษาแสงไฟให้สว่างไสวอยู่ตลอดเวลา ขบวนยาวในถนนของหุบเขาหวงกุยเสมือนหิ่งห้อยแต่ละตัวที่ถูกพันด้วยผ้าไหม แสงไฟพลันมืดพลันสว่าง มองไม่เห็นโดยสิ้นเชิงในระยะทางเกินกว่าร้อยจั้ง

กองทัพสู่เพิ่งจะลงจากภูเขา ทันใดนั้นเสียงกลองสงครามก็ระเบิดออกมาเหมือนฟ้าร้อง ฝนลูกศรทั้งสองด้านของหุบเขาหวงกุยลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า กวาดล้างกองทัพสู่พร้อมกับเสียงฝนที่โหมกระหน่ำ

ป่าทึบสองข้างทางมีหนาม ไม่มีเส้นทางปกติ กองทัพสู่คิดไม่ถึงว่ากองทัพฉินที่ไม่คุ้นเคยกับพื้นที่จะสามารถซุ่มโจมตีจากสถานที่เช่นนี้ได้ ชั่วพริบตาเดียวก็ถูกโจมตีจนทำอะไรไม่ถูก อย่างไรก็ดีภายใต้การนำทัพของถูอู้ลี่ ไม่ช้าก็กลับคืนสู่ความสงบ เสียงร้องตะโกนว่าฆ่าทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

คนกลุ่มแรกพุ่งไปยังสองฝั่งของกองกำลังซุ่มโจมตีของรัฐฉิน จากนั้นถูอู้ลี่ก็นำกองทัพปิดล้อมในช่วงที่กำลังชุลมุน ขณะนี้เสียงตะโกนว่าฆ่าระเบิดดังขึ้นด้านหลัง เสียงกึกก้องของเกือกม้าพุ่งเข้ามาราวกับก้อนหินที่กลิ้งหล่น นายพลที่อยู่ด้านหลังของกองทัพสู่สั่งให้กองกำลังเข้าประจันหน้ากับศัตรูทันที

“ฆ่า…”

ด้วยเสียงโห่ร้องอันดัง เห็นกองทัพฉินฝ่าพายุบีบเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง เป็นพลังงานที่ไม่อาจหยุดยั้งได้เลย

ทหารม้าที่มาถึงก่อนถูกแบ่งออกเป็นสี่กลุ่ม ตัดกองหลังของกองทัพสู่เป็นชิ้นเล็กๆ เหมือนคมดาบ กองหน้าของกองทัพสู่ถูกห่าฝนธนูปิดกั้น ไม่สามารถบุกผ่านไปได้ครู่หนึ่ง ดังนั้นกองทัพสู่ที่กระจัดกระจายกันอยู่ด้านหลังจึงรวมกันแน่นอยู่ตรงกลางและไม่สามารถดำเนินการต่อสู้ได้ ข้อได้เปรียบในการสู้รบแบบตัวต่อตัวอันแข็งแกร่งถูกระงับ ทำได้เพียงปล่อยให้ทหารราบของกองทัพฉินสังหารภายในระยะเวลาสั้นๆ

สีเกราะของกองทัพฉินและกองทัพสู่ยากที่จะแยกแยะได้ในคืนที่มืดมิด ทว่าเนื่องจากชุดแต่งกาย รูปลักษณ์และอาวุธระหว่างชาวสู่และชาวหล่งซีแตกต่างกันอย่างมาก จึงแทบจะสามารถแยกได้แม้ดูจากเงา ดังนั้นแม้จะไม่มีแสงสว่างเพียงพอ ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องความโกลาหล

ทหารม้าชั้นยอดถูกปิดกั้นหลังจากกองทัพสู่ถูกข้าศึกตัดเข้ามา การต่อสู้ช้าลงไปมาก ทว่าฝนลูกธนูเบื้องหน้ากลับยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทางหนีทีไล่ของกองทัพสู่ถูกปิดกั้นอย่างแน่นหนา

ทั้งสองฝ่ายหยุดชะงักร่วมครึ่งชั่วยามในขณะที่ทหารสู่บางคนบุกเข้าไปในป่า ฝนลูกธนูค่อยๆ เบาบางลง ถูอู้ลี่นำกองทัพออกจากวงล้อมได้อย่างราบรื่น ใช้ประโยชน์จากลูกธนูสั้นเพื่อตอบโต้กองทัพฉินทั้งสองด้าน เพื่อให้แน่ใจว่ากองทัพสู่ที่เหลือสามารถออกจากการปิดล้อมได้อย่างสำเร็จโดยเร็วที่สุด

อย่างไรก็ตามทันทีที่ส่วนหน้าคลายตัว ทหารม้าชั้นยอดของกองทัพฉินก็เคลื่อนไปข้างหน้าทันทีเพื่อทำให้กองทัพสู่เคลื่อนที่ได้ลำบากยิ่งขึ้น

หน่วยสอดแนมที่ถูกส่งมาจากปีกทั้งสองมองเห็นทหารม้าของฉินกำลังเข้ามาใกล้เขตฝนลูกศร ก็รีบกลับไปรายงานท่านแม่ทัพทันที กองซุ่มโจมตีที่ปีกทั้งสองข้างเก็บคันธนูทันใด หยิบขวานกริชฉินออกมาพุ่งเข้าไปในป่าเพื่อสังหารทหารสู่ อาวุธที่กองทัพสู่ใช้โดยทั่วไปนั้นสั้นและมีพลัง แต่เมื่อต้องเผชิญกับขวานกริชฉินยาวๆ พวกเขาก็เสียเปรียบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สายฝนชะล้างเลือดในคืนเดือนมืด กลิ่นคาวน่าขยะแขยงลอยอบอวลทุกหนแห่ง เสียงตะโกนฆ่าดังไปทั่วทั้งหุบเขา

ในขณะที่การโจมตีของกองทัพฉินถูกสกัดกั้น กองทัพสู่ก็ฉวยโอกาสนี้ฝ่าวงปิดล้อมมากขึ้นเรื่อยๆ

ทหารม้าแตกออกไปตามทางเพื่อรวมเข้ากับปีกทั้งสองข้างของกองทัพฉินและตั้งเป็นขบวนวงกลม ค่อยๆ เข้าใกล้และบีบอัดกองกำลังสู่จำนวนมากให้เข้าสู่ขบวน

ถูอู้ลี่ส่งทหารม้าไปกดดันจากภายนอกทันที โดยพยายามเปิดช่องว่างของขบวนวงกลมนั้นและช่วยเหลือทหารสู่ที่อยู่ภายใน

เป็นเวลาหนึ่งถ้วยชาที่ทั้งสองกองทัพหยุดชะงัก ในที่สุดขบวนวงกลมของทหารฉินก็ถูกเปิดช่องว่าง ทหารสู่ออกมาจากช่องว่างนั้น อย่างไรก็ตามกองทัพฉินที่ไล่ตามมาก็เข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ถูอู้ลี่จนปัญญาแล้ว ดังนั้นจึงทำได้เพียงยอมแพ้การโจมตี นำกองทัพของเขาไปยังหวังเฉิง

ทหารราบของกองทัพฉินเข้ายึดการต่อสู้แทนทหารม้า ทหารม้าในชุดเกราะสีดำถือโอกาสนี้ไล่ตามหลัง

ฝนค่อยๆ หยุดลง การต่อสู้ครั้งนี้บวกกับการไล่ล่ากินเวลาเกือบสามชั่วยามก่อนที่กองทัพฉินจะเรียกกำลังกลับ

ท้องฟ้าสว่างแล้ว กองทัพฉินกลับมาถึงค่าย ผู้ที่รักษาการณ์อยู่ในค่ายทำตามรับคำสั่งของจางอี๋ ต้มน้ำจำนวนมากและต้มยาต้านหวัดให้กองทัพที่กลับมาได้ดื่ม

ดวงพระทิตย์ยามเช้าขึ้นสูง ด้านล่างของหุบเขาหวงกุยเต็มไปด้วยชั้นศพ เลือดและสายฝนบรรจบกันเป็นสายธารที่ไหลออกสู่ที่ราบลุ่ม มันไหลรวมกันกลายเป็นบ่อเลือดที่น่าสยดสยอง หากนับซากศพในสนามรบแล้วมีกองทัพสู่ประมาณสี่หมื่นห้าพันคนที่ถูกตัดศีรษะ

จำนวนนี้มากกว่าขั้นต่ำที่ซือหม่าชั่วคาดการณ์ไว้ประมาณห้าพันคน ส่วนกองทัพฉินเองก็สูญเสียไปหนึ่งหมื่นห้าพันกว่าคนและเยอะกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก การปรับใช้เชิงกลยุทธ์นั้นไม่มีปัญหา เหตุผลหลักคือกองทัพฉินไม่ได้ปรับตัวให้เข้ากับความร้อนอบอ้าวของคืนฝนตกในปาสู่ และระดับวิสัยทัศน์ต่ำเกินไป