หลังจากทักทายกับเฉิงกัวอันและทุกคนบนโต๊ะเรียบร้อย อวี้ฮ่าวหราน ก็นั่งลงและพูดประโยคที่สวนทางกับอารมณ์ที่ร่าเริงของฉีถงและเฉิงกัวอัน

“ถึงแม้ว่าสถานการณ์ตอนนี้จะยังคงไม่มีปัญหาอะไร แต่ผมคิดว่าอีกไม่นานหวังเจาจะต้องกลับมาสร้างปัญหาอีกแน่นอน พวกคุณควรระวังตัวเอาไว้ให้ดี”

เขามั่นใจในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก

ตามที่เขาสังเกตเห็นเกี่ยวกับลักษณะนิสัยของหวังเจา ตาแก่คนนั้นไม่ใช่คนที่จะยอมรามือจากความแค้นไปง่าย ๆ

“ไม่ต้องห่วงหรอกน้องอวี้! ต่อให้ตาแก่นั่นจะมีความคิดร้อยแปดพันเก้าอะไร ตราบใดที่ฉันกับน้องฉีร่วมมือกัน ตาแก่นั่นก็ไม่สามารถทำอะไรเราได้หรอก!”

“ใช่ น้องอวี้ นายไม่ต้องกังวลหรอก ในเมื่ออีกฝ่ายไม่มีอะไรมาต่อรองกับฉันได้แล้ว ฉันจะเป็นคนเหยียบมันให้จมดินเอง ฮ่าฮ่า!”

ทั้งสองคนพูดขึ้นด้วยสีหน้ามั่นใจราวกับว่าพวกเขาไม่กังวลอะไรกับ หวังเจาแม้แต่น้อย

อีกด้านหนึ่ง

แตกต่างจากบรรยากาศในงานเลี้ยงเทศกาลไหว้พระจันทร์โดยสิ้นเชิง หวังเจากำลังนั่งซึมเศร้าอยู่กับคนของเขาเองที่ด้านในสำนักงานบริษัทไป๋เชา ตอนนี้เขาเครียดจนผมหงอกขึ้นขาวโพลนเต็มหัว

ตั้งแต่เขาไม่มีอะไรจะกดดันฉีถง เรื่องร้าย ๆ ก็ประเดประดังเข้ามาเรื่อย ๆ

“ท่านประธาน พวกเราพยายามอย่างดีที่สุดแล้วแต่มันคงไม่ใช่เร็ว ๆ นี้แน่ที่พวกเราจะหาบริษัทที่ป้อนวัตถุดิบที่มีคุณภาพและล็อตละมาก ๆ ได้อย่างบริษัทฉีถง”

ผู้จัดการของบริษัทไป๋เชาเอ่ยขึ้นรายงานด้วยสีหน้าหดหู่

“ถ้างั้นเราก็กว้านซื้อจากพวกบริษัทเล็ก ๆ มาก่อนก็ได้!” หวังเจา ตะคอกกลับอย่างฉุนเฉียว

“เรื่องนี้…”

ผู้จัดการบริษัทไป๋เชาส่ายหัว

“ท่านประธานถึงแม้ว่าเราจะกว้านซื้อจากบริษัทเล็ก ๆ มาได้แต่การทำแบบนั้นเราจะดูแลเรื่องคุณภาพของวัตถุดิบได้ยากมาก เพราะแต่ละบริษัทก็ล้วนแล้วแต่มีมาตรฐานการผลิตไม่เท่ากัน”

“ปัง!”

หวังเจาทุบโต๊ะเสียงดังลั่น

“วัตถุดิบ วัตถุดิบ วัตถุดิบ!!! บัดซบเอ๊ย! เป็นเพราะไอ้สารเลวนั่นแท้ ๆ!!”

หลังจากตะโกนเสียงดังราวกับคนเสียสติ หวังเจาก็เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด!

“ก็ได้! ในเมื่อปัญหาเกี่ยวกับบริษัทฉีถงเราแก้ไม่ได้ ถ้างั้นก็ไม่ต้องกงไม่ต้องแก้มันแล้ว! นับจากนี้ฉันจะลากไอ้เฉิงกัวอันให้ฉิบหายไปด้วยกัน! ฉันจะไม่ยอมให้มันได้รับผลประโยชน์ไปได้ง่าย ๆ!”

ผู้จัดการบริษัทไป๋เชาพยายามโน้มน้ามหวังเจาสุดฤทธิ์แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้เขาตัดสินใจไปแล้วและปักธงเอาไว้ว่าเขาจะเล่นงานเฉิงกัวอันให้ถึงที่สุดอย่างไม่เลิกรา

การที่เขามุ่งมั่นขนาดนี้เป็นเพราะเรื่องการตายของลูกชายเขา

ในความคิดของเขา สาเหตุที่ลูกชายของเขาต้องตายเป็นเพราะเฉิงชิวอวี้เป็นต้นเหตุ ดังนั้นบริษัทชิวเฮิงจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ!

รวมไปถึงไอ้คนที่ฆ่าลูกชายของเขาด้วย!

บ่ายสองโมงตรง…

งานเลี้ยงจบลงแล้วและทุกคนกำลังจะแยกย้ายกลับ เฉิงชิวอวี้คล้องแขนอวี้ฮ่าวหราน และลากเขาไปที่มุมหนึ่งของห้องโถง

“มีอะไรงั้นเหรอ?”

อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้างุนงง เขาไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงต้องทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ

“คือว่า…”

เฉิงชิวอวี้ ผู้ซึ่งมักแสดงสีหน้าสงบนิ่งกับทุกคน ในขณะนี้เธอกลับก้มหัวและเม้มปากอย่างเขินอาย เธอมีความในใจที่อยากจะพูดออกไปแต่เธอรู้สึกว่ามันยากมากกว่าที่คิด

“ฮ่าวหราน วันนี้ฉันมีเรื่องสำคัญมาก ๆ ที่อยากจะบอกนาย!”

เธอสูดหายใจเข้าลึกเพื่อที่จะรวบรวมความกล้า แต่ก่อนที่เธอจะทันได้พูดประโยคสำคัญนั้นเสียงโทรศัพท์ของชายหนุ่มกลับดังขึ้น

อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้วและกดรับสายทันที

“ฮัลโหล นั่นน้องอวี้ใช่ไหม? ฮ่าฮ่า!”

เป็นหลินป๋อที่โทรเข้ามาขัดจังหวะสำคัญ

“อืม…ผมเอง มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?”

“นายนี่ไม่อ้อมค้อมเหมือนอย่างเคยเลยนะน้องอวี้! บังเอิญว่าฉันเพิ่งไปเจอวัตถุโบราณอยู่ชิ้นหนึ่งที่ถูกใจแต่ฉันไม่ค่อยแน่ใจมันสักเท่าไหร่ ฉันเลยอยากให้นายช่วยมาดูให้หน่อยน่ะ!”

“ผมตกลง คุณบอกเวลาและสถานที่มาได้เลย”

อวี้ฮ่าวหรานตกลงโดยไม่ลังเล เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยากสำหรับเขา และเมื่อเทียบกันแล้วกับการที่หลินป๋อช่วยเขาในเรื่องธุรกิจ การช่วยเหลือกันแค่นี้ไม่อาจนับเป็นอะไรได้เลย

“ที่นี่แหละ ถ้านายมาถึงแล้วช่วย…”

หลังจากที่หลินป๋อบอกเวลาและสถานที่เสร็จและกำลังจะพูดต่อจู่ ๆ สายโทรศัพท์ทางฝั่งของอวี้ฮ่าวหรานก็วางไปอย่างกะทันหัน

อย่างไรก็ตามคนที่วางสายไม่ใช่อวี้ฮ่าวหราน แต่เป็นเฉิงชิวอวี้ที่แย่งโทรศัพท์ไปจากมือของเขาและกดวางให้เขาต่างหาก

“นี่คุณเป็นอะไรของคุณเนี่ย?”

อวี้ฮ่าวหรานมองเฉิงชิวอวี้ด้วยแววตางุนงง ทำไมถึงแย่งโทรศัพท์ของเขาไปวางเองแบบนี้?

เฉิงชิวอวี้กัดริมฝีปาก สีหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นแน่วแน่ราวกับว่าตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้ว

“ฉันอยากจะบอกนายว่า…”

น่าเสียดายที่ยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดจบ เฉิงกัวอันที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักรับโทรศัพท์ของตัวเองได้ครู่หนึ่ง แต่แล้วจู่ ๆ เขาก็ตะโกนเสียงดังลั่นห้องบอลรูม

“ว่าไงนะ! นี่มันกล้าทำแบบนี้ได้ยังไง!?”

เสียงของเฉิงกัวอันดึงดูดความสนใจของทั้งอวี้ฮ่าวหรานและเฉิงชิวอวี้ทันที

“ได้! เดี๋ยวฉันกลับไปเตรียมข้อมูลทั้งหมด รอฉันเอาไว้เลย!”

หลังจากที่เห็นว่าเฉิงกัวอันวางสายแล้ว อวี้ฮ่าวหรานก็หยิบโทรศัพท์ของตัวเองคืนจากมือเฉิงชิวอวี้ก่อนที่จะเดินเข้าไปหาเฉิงกัวอันที่กำลังทำหน้ามุ่ย

“เกิดอะไรขึ้น?”

เฉิงกัวอันกัดฟันกรอดก่อนที่จะตอบกลับ

“ตามที่นายพูดเอาไว้เลยน้องอวี้! ไอ้หวังเจา มันเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว!”

“หลังจากที่บริษัทของมันหาบริษัทผู้ส่งวัตถุดิบให้ไม่ได้ตอนนี้มันก็เลยคิดจะล้มกระดานลากบริษัทของฉันให้เสียหายไปด้วย! คนของฉันเพิ่งรายงานมาว่าไอ้หวังเจามันกำลังกว้านซื้อวัตถุดิบจากบริษัทเล็ก ๆ รวมไปถึงร้านค้าปลีก หรือร้านค้าส่งรายย่อยมันก็กว้านซื้อโดยที่ไม่สนใจคุณภาพของวัตถุดิบอีกต่อไป!”

“ถ้าให้ฉันเดามันคงพยายามกว้านซื้อวัตถุดิบให้มากที่สุด จากนั้นก็ผลิตยาออกมาแล้วลดราคาให้ต่ำติดดินเพื่อที่จะทำให้ยาของบริษัทฉันขายไม่ออกเพราะสู้ราคาของมันไม่ได้!”

“มันยอมขาดทุนจนหมดตัวเพื่อที่จะลากให้ฉันฉิบหายไปกับมันด้วย สารเลวเอ๊ย!”

เฉิงกัวอันอธิบายแบบคร่าว ๆ อย่างรวดเร็วด้วยสีหน้ามืดหม่น

“เอาล่ะ ตอนนี้ฉันคงต้องขอตัวกลับไปที่บริษัทก่อนแล้ว ฉันขอตัวก่อนล่ะ”

หลังจากพูดจบ เฉิงกัวอันก็รีบเดินจ้ำออกจากห้องบอลรูมไปในทันที

เมื่อเห็นเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ในเมื่ออีกฝ่ายยังไม่ขอให้เขาช่วยเหลือ ดังนั้นชายหนุ่มก็จะไม่ก้าวก่าย

เขาเดินออกไปจากห้องบอลรูมเช่นกัน วันนี้ตนอุตส่าห์เสร็จงานที่บริษัทไวดังนั้นจึงวางแผนเอาไว้ว่าจะกลับไปฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์กับลูกสาวและหลี่หรงที่บ้านในตอนบ่ายนี้

ทางด้านของเฉิงชิวอวี้ เธอก็กำลังยืนอยู่คนเดียวด้วยสีหน้าหดหู่

“ทำไมฟ้าถึงไม่เป็นใจให้ฉันได้พูดออกไปแบบนี้? โธ่เอ๊ยทำไมกัน…”

เธออุตส่าห์รวบรวมความกล้าแย่งโทรศัพท์ของอีกฝ่ายมาวางทิ้งแล้ว แต่ท้ายที่สุดความพยายามของเธอก็สูญเปล่า

อีกด้านหนึ่ง

หลังจากกลับไปถึงบริษัทของตัวเอง เฉิงกัวอันก็เรียกผู้จัดการของบริษัทเขาให้เข้ามาหาทันที

“รายงานมาให้หมดกับข้อมูลที่เพิ่งได้มา ฉันต้องการรู้ทุกอย่างแบบละเอียด!”