บทที่ 214-2 ซับซ้อนชวนสับสน
แต่นางก็สงสัยจริงๆ ว่าเจ้านี่อดนอนมานานเท่าไหร่แล้ว
หลี่เมี่ยวเจินรู้เรื่องสายการฝึกตนทหารไม่มาก ถึงอย่างไรนางก็เพิ่งลงเขามาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ได้ไม่กี่ปี ไม่เคยพบเห็นทหารที่กำลังทะลวงระดับหลอมวิญญาณกับตา
แต่สำหรับคนที่มีประสบการณ์เปี่ยมล้นอย่างหยางชวนหนาน มองแค่แวบเดียวก็ดูออกแล้วว่าสวี่ชีอันกำลังทะลวงระดับหลอมวิญญาณ นี่คือสายตาที่เหล่าอัจฉริยะพึงมี
“ถ้าจำไม่ผิด ขีดจำกัดการทะลวงระดับหลอมวิญญาณอยู่ที่สิบวันใช่หรือไม่”
“แม่ทัพหลี่คงไม่ค่อยรู้เรื่องของการฝึกยุทธ์สายทหารเท่าไหร่กระมัง”
“เหตุใดข้าต้องรู้ด้วย”
“ท่านคล้ายไม่เห็นสายทหารอยู่ในสายตาเท่าไหร่”
หลี่เมี่ยวเจินตอบกลับด้วยอารมณ์ขัน “ไม่ใช่ข้าคนเดียวนี่นา”
สวี่ชีอัน “…”
เขานึกถึงโหราจารย์ชุดขาวที่เย่อหยิ่งและปัญญาชนจากลัทธิขงจื๊อขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ พวกเขาล้วนแต่ไม่เห็นทหารอยู่ในสายตา กฎการดูถูกของคนในโลกนี้ก็คือ ‘ไม่มีใครเชื่อฟังใคร แต่ทุกคนล้วนพร้อมใจกันดูถูกทหาร’
ก่อนหน้านี้สวี่ชีอันรู้เพียงว่าการเลือกปฏิบัติที่น่าขยะแขยงที่สุดบนโลกก็คือ ‘กวาดล้างสื่อลามก’ แต่ตอนนี้ได้เพิ่มมาหนึ่งอย่างแล้ว นั่นก็คือ ‘ทหาร’
นอกจากโหราจารย์และทหาร สายการฝึกตนอื่นๆ ล้วนแต่มีตัวตนที่มีระดับสูงส่งเหนือสามัญทั้งนั้น หรือไม่ก็เคยมีตัวตนที่มีระดับสูงส่งมาก่อน แต่ประโยชน์ของโหรนั้นอยู่เหนือจากทหารมากนัก โหรจึงมักจะได้รับความสำคัญง่ายกว่า
ไม่รู้เมื่อไหร่สายการฝึกทหารจะสามารถให้กำเนิดเทพยุทธ์ได้
“ช่างทำให้คนโกรธจนตัวสั่นจริงๆ” สวี่ชีอันพูด
…
เมื่อกลับมายังจุดพักม้า ผู้ตรวจการจางและเจียงลวี่จงไม่อยู่ในห้องโถงแล้ว พวกเขาทิ้งให้กองทหารพยัคฆ์ทะยานนายหนึ่งคอยบอกสวี่ชีอันและหลี่เมี่ยวเจินว่าพวกเขาไปรออยู่ในห้อง
เมื่อเคาะประตูห้องผู้ตรวจการแล้ว สวี่ชีอันและหลี่เมี่ยวเจินก็เข้าไปในห้อง
“คนผู้นั้นที่แม่ทัพหลี่วาดออกมาก็คือเจ้าของร้านในตลาดมืดที่รักษาหลักฐานของโจวหมินเอาไว้ขอรับ ข้าไขรหัสลับที่โจวหมินทิ้งไว้แล้วคลำตามเบาะแสไปที่นั่น จึงได้รับสมุดบัญชีมา”
สวี่ชีอันเล่าเรื่องให้ผู้ตรวจการจางและเจียงลวี่จงฟัง
เมื่อฟังจบ สีหน้าของผู้ตรวจการจางก็เคร่งเครียด “เจ้าของร้านคนก่อนเป็นคนดูแลสมุดบัญชีตัวจริงใช่หรือไม่”
สวี่ชีอันพยักหน้ากล่าว “มีความเป็นไปได้หลายส่วน และถ้าหากเดาไม่ผิด คาดว่าเขาคงถูกเก็บแล้วแน่นอน เจ้าของร้านคนหลังที่ข้าได้พบนั้นเป็นเหลียงโหย่วผิงที่ปลอมตัวมาขอรับ”
เจียงลวี่จงลูบหนวดใต้คาง น้ำเสียงไม่เข้าใจ “เช่นนั้นพวกเขาตามหาตลาดมืดเจอได้อย่างไร”
“ยังจำคำพูดที่ข้าเคยบอกตอนวิเคราะห์คดีได้อยู่หรือไม่” สวี่ชีอันเลิกคิ้วขึ้น “พวกเราสืบได้ถึงร้านติงหมายเลขสิบห้า ก็เพราะเบาะแสที่อยู่กับหยางอิงอิง แต่เบาะแสนั้นไม่ได้มอบให้เรา มันมอบให้ใต้เท้าหยางที่เป็นสมุหเทศาภิบาลของชิงโจวต่างหาก ซึ่งหมายความว่าเบาะแสที่โจวหมินทิ้งไว้ให้พวกเรามีคนไขได้ก่อนแล้ว”
บนโลกนี้มีคนฉลาดอยู่เต็มไปหมด
หลี่เมี่ยวเจินส่ายหน้า “พวกเจ้าไม่รู้สึกประหลาดเลยหรือ ในเมื่อหาสมุดบัญชีพบก็แค่ทำลายมันไปตรงๆ ก็จบแล้ว เหตุใดต้องทิ้งไว้ให้พวกเจ้าหาพบแล้วมอบสมุดบัญชีนั้นให้พวกเจ้าด้วย”
เจียงลวี่จงตกใจ “สมุดบัญชีถูกขโมยไปหรือ เช่นนั้นที่พวกเราได้มาก็คือของปลอมหรอกหรือ”
“ไม่!” ผู้ตรวจการจางส่ายหน้า “ถ้าหากสมุดบัญชีเป็นของปลอม พรุ่งนี้ข้าก็ไปตรวจบัญชีที่กรมบัญชาการทหารได้ แล้วไม่นานก็คงพบช่องโหว่ แล้วเหตุใดพวกเขาต้องส่งสมุดบัญชีมาให้ด้วย”
เจียงลวี่จงขมวดคิ้วแน่นขึ้น “แต่ดันทำให้เรื่องใหญ่ขึ้นอย่างการส่งสมุดบัญชีของจริงให้ แล้วสังหารเจ้าของร้านขายเนื้อสุนัขตัวจริง จากนั้นก็คืนสมุดบัญชีเล่มเดิมมาให้เราอย่างนั้นหรือ”
“ใช่ ไม่ว่าสมุดบัญชีจะเป็นของจริงหรือปลอม ล้วนแต่ไม่สมเหตุสมผลทั้งสิ้น” สวี่ชีอันนวดหว่างคิ้วแล้วเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง
“เรามามองย้อนคดีนี้ให้ดีๆ หน่อย…โจวหมินตรวจสอบการลอบสนับสนุนโจรภูเขาของหยางชวนหนาน แล้วเขียนจดมายลับส่งกลับไปยังที่ทำการ หลังจากพรรคฉีทราบเรื่อง ก็โจมตีที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทันทีโดยสร้างคดียักยอกทรัพย์มาบีบบังคับให้เว่ยกงประนีประนอม จากนั้นโชคชะตาก็นำพาให้ข้าสืบพบเบื้องหลังที่พรรคฉีสมรู้ร่วมคิดกับสำนักพ่อมดและลอบสนับสนุนโจรภูเขา ราชสำนักจึงตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ แล้วส่งข้า…”
ผู้ตรวจการจางกระแอมไอเสียงดัง
สวี่ชีอันเปลี่ยนคำพูด “ส่งใต้เท้าผู้ตรวจการไปสืบคดีที่อวิ๋นโจว”
“เมื่อกี้ข้าสอบถามในตลาดมืดแล้ว เจ้าของเดิมของร้านติงหมายเลขสิบห้าถูกฆ่าตายเมื่อสิบวันก่อน และในช่วงนั้น พวกเรายังอยู่ที่เขตแดนของชิงโจวอยู่เลย แม่ทัพหลี่ หยางชวนหนานได้รับจดหมายลับที่ส่งมาจากเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อใดหรือ”
“จดหมายได้รับมาเมื่อประมาณหกวันก่อน มาจากเพื่อนสนิทคนหนึ่งของใต้เท้าหยาง” หลี่เมี่ยวเจินบอก
“ใช่แล้ว พวกเราเดินทางด้วยเส้นทางที่เร็วที่สุด แม้ว่าพรรคฉีจะเร็วกว่า แต่ก็ไม่มีทางเร็วกว่าได้ถึงสิบวันหรอก”
สวี่ชีอันพยักหน้า “จะสังหารโจวหมินก็ดี หรือสังหารเจ้าของร้านขายเนื้อสุนัขก็ช่าง ล้วนแต่ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคฉีที่อยู่ทางเมืองหลวง ศัตรูที่แท้จริงของเราอยู่ที่อวิ๋นโจว ในเมื่อเป็นแบบนี้ คดีนี้ก็มีความเป็นไปได้สองอย่างแล้ว หนึ่ง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นกลยุทธ์ทำร้ายตัวเองของหยางชวนหนาน สอง ยังมีคนซ่อนอยู่เบื้องหลัง แล้วเตรียมผลักหยางชวนหนานออกไปเป็นแพะรับบาป ตอนที่จดหมายลับส่งกลับมายังเมืองหลวง แผนการก็เริ่มดำเนินไปแล้ว พวกเขาสังหารโจวหมิน ตามหาหลักฐานที่ถูกซ่อนไว้ และพยายามทำให้หยางชวนหนานเป็นแพะรับบาป หากสมุดบัญชีเป็นของจริง เช่นนั้นความเป็นไปได้ที่จะเป็นแบบแรกก็มีไม่มาก เพราะมันจะเท่ากับว่าเขาเป็นคนยื่นมีดใส่มือของพวกเราเอง และถ้าสมุดบัญชีเป็นของปลอม เช่นนั้นก็ไม่ต้องเดาแล้ว หยางชวนหนานทั้งไม่หลุดพ้นจากการเป็นผู้ต้องสงสัย แต่ก็ไม่ได้รับโทษโดยตรง การที่เหลียงโหย่วผิงมอบสมุดบัญชีให้เราเองกลับเป็นการกระตุ้นให้สงสัยมากกว่า และนับว่าเป็นการให้ความช่วยเหลือแก่หยางชวนหนานแบบอ้อมๆ”
หลี่เมี่ยวเจินจับช่องโหว่ได้อย่างว่องไว “ก็หมายความว่า สมุดบัญชีจะต้องเป็นของจริง จากการคาดเดาของเจ้า หากสมุดบัญชีเป็นของจริงและมีผู้อยู่เบื้องหลัง คิดจะให้หยางชวนหนานออกมาเป็นโล่อยู่ข้างหน้า เช่นนั้นการกระทำที่เหลียงโหย่วผิงผู้นั้นสังหารเจ้าของร้านเนื้อสุนัขตายและมอบสมุดบัญชีให้พวกเจ้าด้วยตัวเอง ก็ไม่สมเหตุสมผลสิ”
ใช่แล้ว ภายใต้สมมติฐานว่าสมุดบัญชีเป็นของจริง มือมืดที่อยู่เบื้องหลังก็แค่ต้องรอให้คณะผู้ตรวจการหามันให้พบ จากนั้นหยางชวนหนานก็หมดคำจะเถียงแล้ว
ดังนั้นการกระทำของเหลียงโหย่วผิงจึงเป็นเรื่องเกินจำเป็นยิ่งนัก
ผู้ตรวจการจางเอ่ยเสียงเรียบ “บางทีสมุดบัญชีอาจมีปัญหา สมุดบัญชีนั้นอาจเป็นของจริง แต่มันมีปัญหาบางอย่างอยู่ และปัญหานี้จะทำให้เราหันหัวหอกไปยังมือมืดที่อยู่เบื้องหลังได้ถูกต้อง ดังนั้นพวกเขาจึงต้องขูดรีดสมองเพื่อตามหามันแล้วทำลายเบาะแสที่อยู่ในนั้น จากนั้นจึงปลอมตัวเป็นเจ้าของร้านขายเนื้อสุนัขแล้วรอให้พวกเราไปหาถึงประตูแล้วค่อยมอบสมุดบัญชีให้เรา”
เจียงลวี่จงพยักหน้าก่อน แต่ต่อมาก็ส่ายหน้า “เหตุใดพวกเขาจึงรู้ล่ะว่าสมุดบัญชีมีปัญหา สมุดบัญชีเล่มนี้ไม่ใช่สิ่งที่โจวหมินจัดทำขึ้นมาหรอกหรือ”
ผู้ตรวจการจางยิ้มบางๆ “สาเหตุที่โจวหมินตามหาหลักฐานพบก็เพราะเขาเป็นเสมียนของกองบัญชาการทหาร มีหน้าที่ดูแลคลังและการรับส่งของ อาวุธยุทโธปกรณ์แต่ละอย่างล้วนเคยผ่านมือเขาทั้งนั้น ส่วนเหลียงโหย่วผิงผู้นั้น เขาก็เป็นเสมียนคนหนึ่งเช่นกัน”
จู่ๆ สวี่ชีอันก็โพล่งขึ้น “มีเรื่องหนึ่งที่ข้าคิดไม่ออก”
“หืม?” หลี่เมี่ยวเจินหันไปมอง
“เหตุใดผู้ทำหน้าที่มอบสมุดบัญชีให้เราถึงต้องเป็นเหลียงโหย่วผิง” สวี่ชีอันกวาดสายตามองคนทั้งสาม “พวกท่านไม่รู้สึกว่าประหลาดเลยหรือ เหลียงโหย่วผิงเผยตัวออกมาแล้ว พอเราจับกุมหยางชวนหนานแล้วสอบปากคำเขา เพื่อความบริสุทธิ์ของตัวเอง เขาจะต้องสารภาพและจะต้องบอกเรื่องทั้งหมดที่รู้ออกมาแน่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้ ขอแค่เราเทียบกับภาพเหมือนของเหลียงโหย่วผิง…ก็เกิดการประชุมเช่นนี้ขึ้นได้แล้ว”
หลี่เมี่ยวเจินขมวดคิ้ว “เพราะมีเพียงเหลียงโหย่วผิงที่พบปัญหาที่อยู่ในสมุดบัญชีอย่างนั้นหรือ”
เจียงลวี่จงเหลือบมองนาง “พวกเขามีเวลาเหลือเฟือที่จะตามหาปัญหาที่ซ่อนอยู่ในสมุดบัญชี พอถึงเวลานั้นก็แค่เปลี่ยนคนก็พอ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้เหลียงโหย่วผิงคอยอยู่ที่นั่นตลอดเลยสักนิด ถ้าหากไม่ใช่เพราะหนิงเยี่ยนได้เห็นภาพเหมือนของเขา เขาก็คงไม่รู้ตัวหรอกว่าเจ้าของร้านเนื้อสุนัขเป็นตัวปลอม
“ก็หมายความว่า ขอแค่คนผู้นั้นไม่ใช่เหลียงโหย่วผิง พวกเราก็คงไม่รู้เรื่องว่าเป็นเจ้าของร้านตัวปลอม เหมือนกับเขาเปิดเผยเบาะแสออกมาเอง”
และด้วยสายตาของพวกสวี่ชีอัน หากได้สัมผัสใกล้ชิดก็ย่อมมองออกได้ง่ายๆ ว่าปลอมตัวมา
…
จูกว่างเสี้ยวตื่นขึ้นจากนิทราเพราะรู้สึกว่ากระเพาะปัสสาวะขยายตัว จึงลุกไปเข้าห้องน้ำตอนกลางดึก
เมื่อออกจากห้องและเดินไปตามทางเดิน จู่ๆ เขาก็มองเห็นสตรีในชุดกระโปรงสีขาวกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะในห้องโถง
นางมีเส้นผมดำขลับเงางาม จากมุมนี้ จูกว่างเสี้ยวมองเห็นเพียงใบหน้าด้านข้างของสตรีชุดขาวเท่านั้น แค่ใบหน้าด้านข้างก็พบว่าอีกฝ่ายงดงามเหมือนกับเทพธิดาเดินดิน ช่างทำให้ผู้คนจิตใจสั่นไหวนัก
‘มะ แม่นางซูซู…ไม่สิ เป็นปีศาจสาว!’
สองตาของจูกว่างเสี้ยวแทบจะถลนออกมา
…………………………………………………………….