บทที่ 249 สิบวิชาเก้าจิต (1)
พริบตาเดียวผ่านไปสิบกว่าวัน
ในเมืองกระดิ่งขาว
ถนนที่แออัดวุ่นวายทอดยาวจากประตูเมืองไปถึงส่วนลึกเหมือนแม่น้ำสีแดงอ่อนสายหนึ่ง
ร้านรวงสองฟากบนถนนส่วนใหญ่แขวนโคมไฟแดง เพื่อเฉลิมฉลองที่ปีนี้ค้าขายได้กำไรงาม
“ผลหลี (เชอร์รี่) ห้าลูก อยากได้ผลหลีห้าลูก ท่านย่า ข้าอยากได้”
บนถนน ข้างกายหญิงชราคนหนึ่ง เด็กชายมัดผมแกละร้องคะยั้นคะยอ ทั้งสองยืนอยู่ด้านหน้าแผงขายผลไม้เคลือบน้ำตาล เด็กชายมัดผมแกละเป็นตายไม่ยอมเดินไปไหน
หญิงชราอับจนปัญญา คล้ายไม่อยากซื้อ แต่ว่าถูกหลานชายฉุดไว้ไม่ให้ไปไหน
“ผลหลีเคลือบน้ำาตาลไม้หนึ่ง มีสิบผลเท่ากับหนึ่งแท่งเงิน สิบแท่งเงินเท่ากับสองตำลึง” บนเหลาสุราด้านข้าง เฉินเฉวียนซงละสายตากลับมา ส่ายหน้าน้อยๆ “ตอนนี้ของราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้นพวกเราคงกินผลหลีได้แค่สองผล”
ลู่เซิ่งนั่งตรงข้ามเขา เพิ่งกลับมาจากงานชุมนุมไม่นาน เขาก็ได้รับข่าวของตระกูลซั่งหยาง ให้มาติดต่อกับเฉินเฉวียนซงคนรับผิดชอบในเมืองกระดิ่งขาว
ลู่เซิ่งเข้าใจดีว่า เป็นเพราะผลงานในงานชุมนุมของเขาทำให้ซั่งหยางจิ่วหลี่ตกใจ
ในฐานะผู้จัดการของเมืองกระดิ่งขาว เฉินเฉวียนซงพอใจในตัวลู่เซิ่งยิ่ง อีกฝ่ายอยู่นี่มานาน ไม่ได้มีความคิดแย่งอำนาจและผลประโยชน์กับเขา ตั้งใจฝึกฝนเพียงอย่างเดียว
นี่ทำให้เขาทำตัวสนิทสนมกับลู่เซิ่งมาโดยตลอด เมื่อไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ การคบหากับคนมีความสามารถก็เป็นสัญชาตญาณของคนแบบพวกเขา
“สหายเฉินรู้หรือไม่ว่าใต้เท้าจิ่วหลี่เรียกข้ามาในครั้งนี้เพราะอะไร” ลู่เซิ่งถามอย่างสงสัย
“ความจริงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่บอกว่าไม่สำคัญเลยก็ไม่ใช่ นี่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาในภายหลังของสหายลู่ ดังนั้นใต้เท้าจิ่วหลี่จึงให้ข้าแจ้งต่อสหายลู่ก่อน เพื่อให้ท่านเตรียมตัว ถึงเวลาจะได้รับมือได้”
“อ้อ?” ลู่เซิ่งสัมผัสได้อย่างเลือนรางว่ามีใครกำลังแอบมองตนอยู่ในที่ลับ แต่ฉุกใจได้ว่าที่นี่เป็นอาณาเขตของเฉินเฉวียนซง บางทีอาจเป็นองครักษ์ซึ่งเป็นบริวารของเขาก็ได้ จึงไม่ได้สนใจ
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ สหายเฉินเปิดเผยได้หรือไม่”
“เป็นเรื่องอะไรยังบอกไม่ได้ เพราะว่ายังไม่มีคำสั่ง แต่ข้าเชื่อว่าด้วยเงื่อนไขของสหายลู่ สมควรไม่มีปัญหาอะไร” เฉินเฉวียนซงกล่าวพลางยิ้มแฉ่ง
“สหายเฉินชมเกินไปแล้ว” ลู่เซิ่งเอียนกับการบอกใบ้เหมือนทิ้งปริศนาไว้ให้คิดประเภทนี้อยู่บ้าง จึงคร้านจะสนใจ หันเหหัวข้อว่า “ไม่ทราบสหายเฉินรู้เรื่องการลอบโจมตีที่เกิดขึ้นหลังงานชุนุมหรือไม่”
“นี่…เป็นการกระทำของตระกูลหลิน แม้คนทั่วไปจะไม่รู้ ทว่าเพราะเป็นหนึ่งในเก้าตระกูล ตระกูลซั่งหยางของพวกเราจึงมีช่องทางหาข่าวของตัวเอง เลยทราบเรื่องด้านนี้ สหายลู่อย่าได้บอกใคร” เฉินเฉวียนซงถอนใจเบาๆ “ช่วงนี้ใต้เท้าเฟยกับใต้เท้าจิ่วหลี่วิ่งวุ่นเพราะเรื่องนี้ ตระกูลหลินเคลื่อนไหวโจ่งแจ้งเกินไป แตะต้องความอดทนของสำนัก สำนักเหล่านี้เบื้องหลังไม่อาจล่วงเกินได้…” เขาเพียงพูดแตะถึงก็หยุดลง ไม่ได้เอ่ยต่อ
ลู่เซิ่งคิดซักถามต่อ แต่เฉินเฉวียนซงก็เปลี่ยนเรื่องทันที
“จริงสิ ช่วงนี้ข้าเตรียมเปิดศาลาพักม้าแห่งหนึ่งใกล้ๆ เมืองกระดิ่งขาว ไม่ทราบสหายลู่อยากเข้าร่วมด้วยหรือไม่” เฉินเฉวียนซงถามด้วยรอยยิ้ม
“ศาลาพักม้าหรือ ย่อมได้” ลู่เซิ่งยิ้ม “ข้ามีรากฐานส่วนหนึ่งในแดนเหนือพอดี เส้นทางแดนเหนือจะได้สะดวกสบายขึ้น” ปัจจุบันศาลาพักม้าเป็นกิจการที่หากำไรได้ดีที่สุดในกลียุค ภูตผีปีศาจออกอาละวาด วิธีการเดินทางเพียงหนึ่งเดียวของคนธรรมดาคือหาศาลาพักม้ากับขบวนรถม้าซึ่งมีขุมกำลังยิ่งใหญ่พึ่งพาได้ จากนั้นเลือกเส้นทางที่ถูกบุกเบิกจนหมดแล้วสักเส้นทางหนึ่ง ไม่อย่างนั้นหากเดินทางกลางแจ้ง เดินทางได้ไม่นานก็เจออันตรายอันน่ากลัวสารพัดอย่างได้แล้ว
“ข้าเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน” เฉินเฉวียนซงหัวเราะลั่น “จะว่าไป” ก๊อกๆๆ
ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูถี่รัวก็ตัดบทคำพูดของเขา
“ใต้เท้า เรื่องนายน้อยเฉวียนอวี้มีเบาะแสแล้ว ที่ว่าการต้องการให้ท่านรีบไป” องครักษ์ด้านนอกกล่าวอย่างเร่งร้อน คล้ายกับวิตกกังวลอยู่บ้าง
รอยยิ้มบนใบหน้าเฉินเฉวียนซงหายไป “ข้าจะไปทันที” เขาเค้นรอยยิ้มกล่าวกับลู่เซิ่ง “ขออภัยด้วยสหายลู่ ผู้น้องมีปัญหากำลังจัดการอยู่ ครั้งนี้ร่ำสุราสนทนากับท่านไม่ได้แล้ว น่าเสียดายจริงๆ ดูเหมือนได้แต่เป็นครั้งหน้าแล้ว”
“ไม่เป็นไรๆ ต่างฝ่ายต่างมีเรื่องสำคัญ สหายเฉินไม่ต้องกังวล” ลู่เซิ่งอยากให้เขาไปโดยเร็ว ถ้าไม่มีอะไรก็อย่ามารบกวนเวลาฝึกฝนของเขา
“ขออภัย” เฉินเฉวียนซงจนปัญญา ลุกขึ้นประสานมือค้อมตัวให้ลู่เซิ่ง ค่อยผลุนผลันจากไป
ลู่เซิ่งนั่งบนที่นั่ง ไม่นานที่ด้านล่างเหลาสุรา ก็เห็นเฉินเฉวียนซงรีบร้อนนั่งรถม้าจากไป
‘ดูเหมือนในฐานะผู้จัดการเมืองกระดิ่งขาวของตระกูลซั่งหยาง ก็มีความยุ่งยากไม่น้อยที่ต้องจัดการเหมือนกัน…’ ลู่เซิ่งสะท้อนใจอยู่บ้าง
ตระกูลซั่งหยางแข็งแกร่งมากพอกระมัง เป็นถึงหนึ่งในเก้าตระกูลจงหยวน ต้าซ่งทั้งหมดมีเก้าตระกูลปกครอง ตระกูลหวงความจริงเป็นราชวงศ์ตัวจริงที่อยู่หลังฉาก
แต่ว่าพวกตระกูลที่แข็งแกร่งเหล่านี้ก็มีปัญหาที่น่าเป็นห่วงอยู่เหมือนกัน อย่างไรก็เป็นเก้าตระกูล ไม่ใช่ตระกูลเดียว
ลู่เซิ่งยกจอกสุราขึ้นดื่มหมดในรวดเดียว
“เสี่ยวเอ้อร์ คิดเงิน”
เสี่ยวเอ้อร์ที่เฝ้าอยู่นอกประตูรีบเข้ามา
“ท่านลูกค้า นายท่านคนนั้นจ่ายให้แล้ว ยังมี นายท่านคนนั้นให้ข้าบอกกับท่านว่า ขออภัย ครั้งหน้าขอเชิญมาดื่มสุราขอโทษด้วย”
“ขอโทษหรือ” ลู่เซิ่งประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อครู่เฉินเฉวียนซงขอโทษไปแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงขอโทษอีกรอบ
พูดถึงพลังเปลือกนอก เขาแข็งแกร่งกว่าอีกฝ่ายเล็กน้อย แน่นอนตอนนี้เป็นหลังจากงานชุมนุม จึงแข็งแกร่งกว่าเดิมส่วนหนึ่ง ทว่ายังไม่ถึงขั้นทำให้อีกฝ่ายเคารพขนาดนี้
ถึงอย่างไรพูดถึงตำแหน่ง พวกเขาสองคนก็เป็นขุนพลในสังกัดซั่งหยางจิ่วหลี่เหมือนกัน
คนหนึ่งรับผิดชอบเมืองกระดิ่งขาว คนหนึ่งรับผิดชอบแดนเหนือ สถานะวาจาสิทธิ์เท่าเทียมกัน เฉินเฉวียนซงไม่จำเป็นต้องประจบประแจงแบบนี้
เมื่อนึกหาสาเหตุไม่ออก ลู่เซิ่งก็คร้านจะคิดมาก
‘ช่างเถอะ กลับดีกว่า ยังมีพลังอาวรณ์ที่ยังไม่ได้ดูดซับ ถ้าหากบอกว่าคนที่ลอบโจมตีขบวนรถเป็นตระกูลหลิน อย่างนั้นเทพสัญจรก่อนหน้านี้ก็น่าจะเป็นตระกูลหลินเหมือนกัน’ จิตใจเขาร้อนรนอยู่บ้าง
ตระกูลซั่งหยางเทียบกับตระกูลหลิน ความจริงด้อยกว่า หากดูจากพลังโดยรวม ตระกูลหวงเป็นอันดันหนึ่ง ทว่าลูกหลานไร้ความสามารถ รองลงมาคือตระกูลหลิน แล้วเป็นตระกูลซั่งหยาง
นี่เป็นสภาพการณ์ที่ลู่เซิ่งสรุปออกมาหลังจากรวบรวมและทำความเข้าใจข่าวสารมานาน
ถ้าหากเป็นฝีมือของตระกูลหลินจริงๆ หลังเสียยอดฝีมือไปมากมายขนาดนี้ พวกเขาจะต้องอับอายกลายเป็นโทสะ ให้ความสนใจมากกว่าเดิม
ตระกูลซั่งหยางไม่มีทางยอมประจันหน้ากับตระกูลหลินที่ใหญ่โตเพราะบริวารธรรมดาเพียงคนเดียวอย่างเขา อย่างมากสุดหลังจากโอนถ่ายผลประโยชน์ส่วนหนึ่งแล้ว ค่อยละทิ้งเขาทีหลัง
ดังนั้นลู่เซิ่งจึงรู้ว่า เกิดตัวเองความแตก ก็ได้แต่พึ่งพาตัวเองเท่านั้น
‘ก่อนหน้านี้ตอนใช้ข่ายกระเรียนหยินควบคุมจ่านหงเซิงเหมือนจะมีประสิทธิผลไม่เลว ระดับการควบคุมล้ำลึกกว่าเดิม หากดึงพลังคืน พอปราณภายในผสมกับปราณมาร อานุภาพก็จะแข็งแกร่งกว่าเดิมด้วย สำหรับผู้ครอบครองสายเลือด ขอแค่เป็นคนที่ระดับไม่เหนือกว่าเรา ก็ถือว่าปลอดภัย หนำซ้ำสิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องซ่อนไว้ให้ดี ตอนนี้หมดห่วงชั่วคราว ทว่าสุดท้ายก็ต้องมีวิธีที่ปลอดภัยโดยสมบูรณ์สักวิธี’ ลู่เซิ่งเดินออกจากเหลาสุราพลางพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่จะใช้ข่ายกระเรียนหยินพัฒนาวิธีการในอนาคต
ทว่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็หลีกเลี่ยงผลลัพธ์หลังจากที่ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าค้นพบข่ายกระเรียนหยินไม่ได้
หลังออกจากเมือง ลู่เซิ่งก็ค่อยๆ เพิ่มความเร็ว กระทืบเท้า พื้นดินแตกออก ฝุ่นผงมากมายลอยว่อน พริบตาเดียวพุ่งออกไปไกลมากกว่าร้อยหมี่ ยังเร็วยิ่งกว่าม้าเร็วอีก
ไม่นานนักก็ไปถึงถ้ำขนาดใหญ่กลางหน้าผา อันเป็นหน่วยหลักของสำนักมารกำเนิด
ที่ปากถ้ำมีคนสองคนเฝ้าอยู่ เป็นบุรุษวัยเยาว์ที่แต่งกายด้วยชุดทะมัดทะแมงสีดำ
พอเห็นลู่เซิ่ง ทั้งสองก็รีบเข้ามาทำความเคารพ
“คารวะศิษย์พี่รอง”
“ลำบากแล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้า เร่งฝีเท้าเข้าไปในถ้ำ
ช่วงนี้เพราะการเลื่อนอันดับในงานชุมนุม สำนักมารกำเนิดดึงดูดคนหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อยให้มาเข้าร่วมได้ การเข้าร่วมของคนจากตระกูลขุนนางที่ทรุดโทรมจำนวนมากทำให้จำนวนคนของสำนักมารกำเนิดมีการยกระดับไม่น้อย
จากศิษย์สองคน เพิ่มเป็นสิบกว่าคน
ลิ่วซานจื่อจึงจัดคนมาเฝ้าประตู ไว้ต้อนรับแขกและทดสอบ
ครั้นเข้าถ้ำแล้ว ลู่เซิ่งก็ไม่ได้ไปยังถ้ำที่อยู่ของอาจารย์ หากไปยังป่าศิลาที่อยู่ส่วนลึกของธารหมอกพิษซึ่งปกติตนเอาไว้ใช้ฝึกวิชา
มาถึงข้างป่าศิลาอย่างคุ้นทาง ร่องรอยที่เขาทิ้งไว้ตอนฝึกวิชายังหลงเหลืออยู่ที่ปากถ้ำเล็กๆ บนผนังถ้ำ
ที่นี่เป็นส่วนที่อยู่ลึกที่สุดของถ้ำในสำนักมารกำเนิด นอกจากเสียงสายน้ำไหลเอื่อยของธารหมอกพิษแล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นๆ แล้ว
ลู่เซิ่งผ่อนหายใจยาว ค่อยๆ หยิบกล่องหยกออกมาจากอกเสื้อ แล้ววางลงบนพื้น
ที่มาที่นี่เป็นเพราะหัวใจจิตมารของเขากำลังจะฟักแล้ว สองสามวันมานี้เขาฟักหัวใจจิตมารสามดวงติดกัน บวกกับสามดวงก่อนหน้า ก็เท่ากับหกดวง หัวใจเก้าดวงยังเหลืออีกสามก็จะฟักโดยสมบูรณ์
‘ใกล้แล้ว…ใกล้แล้ว รอสำเร็จวิถีหทัยมาร ไม่รู้ว่ากายเนื้อของเราจะไปถึงขั้นไหน ต้านทานพลังปฐมได้หรือไม่…’ เขามองกล่องหยก เหมือนกับมองสัตว์ร้ายบางชนิด
สิ่งที่อยู่ในกล่องหยกเป็นผงสีขาวอันเป็นร่องรอยที่อาวุธเทพเหลือไว้ซึ่งเขาขูดมาก่อนหน้านี้ กล่องหยกหยุดการสูญเสียพลังงานของผงได้อย่างทรงประสิทธิภาพ แต่ไม่อาจตัดขาดได้โดยสมบูรณ์
วางกล่องหยกบนโต๊ะศิลาตัวเล็กด้านข้าง โต๊ะตัวนี้เป็นเขาตัดหินออกมาทำขึ้นเอง
จากนั้นลู่เซิ่งก็หยิบแหวนที่ได้จากการฆ่าปีศาจงูออกมา
นั่นเป็นแหวนอัญมณีสีฟ้าวงหนึ่ง เป็นไพลินทรงไข่ ฝังอยู่บนโลหะสีเงินที่มีลวดลายเป็นงู เป็นแหวนของสตรี
มองดูคร่าวๆ คล้ายไม่มีความพิเศษตรงไหน แต่ลู่เซิ่งยกมันขึ้นมาด้านหน้า แล้วแบ่งปราณมารบนร่างออกมาปล่อยใส่แหวนสายหนึ่ง
วิ้ง…
ไพลินบนตัวแหวนพลันปรากฏลวดลายซับซ้อนที่ละเอียดประณีตกลุ่มหนึ่ง มันกลายเป็นห่วงวงกลมวงหนึ่ง ก่อนจะเริ่มหมุนวนและส่องแสงบนอัญมณี
รัศมีแสงขับใบหน้าลู่เซิ่งจนเป็นสีฟ้า
‘ดูดซับพลังอาวรณ์ก่อนค่อยว่ากัน’ ลู่เซิ่งยื่นมือออกมาบีบอัญมณี
ซู่…
ทันใดนั้นพลังอาวรณ์อันเข้มข้นสายหนึ่งก็ทะลักเข้าสู่มือของเขาอย่างเย็นเยียบ
ถึงวันนี้เขาไม่ต้องกรีดร่างกายให้เลือดไหลเพื่อดูดซับอีกแล้ว เพียงแค่ตั้งสมาธิสัมผัสทีละนิด ก็จะดูดซับพลังอาวรณ์ด้านในได้เอง ถ้ามีปริมาณมาก สุดท้ายก็จะเกิดปรากฏการณ์ประหลาดอยู่ดี
เหมือนอย่างตอนนี้ ไอสีดำหลายสายกระจายออกจากมือลู่เซิ่ง ในนี้ส่องแสงสีน้ำเงิน เดี๋ยวหายเดี๋ยวปรากฏ
ปรากฏการณ์นี้คงอยู่หลายอึดใจ ก็ค่อยๆ หยุดลง
‘หกสิบกว่าหน่วย’ ลู่เซิ่งลืมตาขึ้น ทิ้งแหวนลง แหวนไพลินที่มีความสามารถลี้ลับบางอย่างในตอนแรก ตอนนี้เปลี่ยนจากใหม่เอี่ยมกลายเป็นเก่าคร่ำคร่า
จากนั้นก็เก็บแหวน แล้วนั่งขัดสมาธิ เริ่มตรวจสอบสภาพของหัวใจจิตมารในร่างกาย
หัวใจจิตมารหกดวงที่ตื่นขึ้นก่อนหน้านี้แบ่งเป็น
อสรพิษริษยา สามารถรบกวนจิตใจ
ราชสีห์โทสะ มีความสามารถด้านอัคคีพิษ และช่วยในการต่อสู้
เงาคลุ้มคลั่ง เร่งความสามารถการฟื้นฟูสมานตัวของร่างกาย
กวางระแวง สามารถเร่งความเร็วการเคลื่อนที่ เพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่การกระโดดเคลื่อนย้ายในบริเวณเล็กๆ
สุนัขระวังภัย เพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ประสาทการดมกลิ่น ประสาทสัมผัสที่เหลือยกระดับขึ้นเล็กน้อย
แกะเดียวดาย สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่การดูดซับของร่างกายและยกระดับความสามารถด้านการต้านพิษ เช่นดูดซับน้ำในธารหมอกพิษได้เร็วกว่าเดิม รวมถึงตอนเจอพิษ ก็จะมีภูมิต้านทานมากขึ้นกว่าเดิมด้วย
ความสามารถที่หัวใจจิตมารหกดวงนี้สร้างขึ้น แม้จะไม่แข็งแกร่งมาก กระนั้นก็ยังคงยกระดับลู่เซิ่งไม่น้อย
โดยเฉพาะในด้านการปรับตัวให้เข้ากับการต่อสู้ในทุกสภาพแวดล้อม และการต่อสู้ต่อเนื่อง มีการเลื่อนระดับอย่างชัดเจน
อัคคีพิษกับการรบกวนจิตใจเป็นการยกระดับให้แก่ความสามารถด้านการสู้ตะลุมบอน การฟื้นฟู การเคลื่อนที่ การดูดซับ รวมถึงการต้านพิษของร่างกาย เป็นการยกระดับความสามารถในการต่อสู้ต่อเนื่อง ส่วนการเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ประสาทการดมกลิ่นและประสาทสัมผัสทั้งห้า เป็นการยกระดับความสามารถด้านการไล่ล่า
สำหรับลู่เซิ่งแล้ว กล่าวได้ว่าแม้ความสามารถเหล่านี้จะไม่ได้ยกระดับพลังโดยตรง แต่ก็ทำให้เขามีความสามารถครอบคลุมมากกว่าเดิม
……………………………………….