บทที่ 248 รวมกันเป็นหนึ่ง

คู่ชะตาบันดาลรัก

เสวียนเฟยจ้องนางเขม็ง

ครั้งแรกที่เขาเห็นแม่นางผู้นี้ ความสนใจของเขาพุ่งตรงไปที่หนิงซิวและหยางชู เพราะคิดว่านางเป็นสายลับของหวงเฉิงซือ

แต่วันนี้ได้พบนางอีกครั้งตอนแรกเขาไม่มั่นใจจนกระทั่งนางแสดงฝีมือในด่านที่สี่ เสวียนเฟยจึงมั่นใจว่านางคือหญิงสาวที่สวมผ้าคลุมใบหน้า ผู้ควบคุมวิญญาณงูในคืนนั้น

มียอดฝีมือเช่นนี้อยู่ในเขตแดนของเมืองหลวง ด้วยชื่อเสียงของเขาหลังจากนี้ ในอนาคตต่อให้เขาเป็นราชครูแต่เมื่ออยู่ต่อหน้านางก็ไม่มีทางต่อกรได้ ช่างน่ากลัวเสียจริง

“ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่” เสวียนเฟยจำไม่ได้ว่าตนถามคำถามนี้ไปกี่ครั้ง แต่ความนัยของเขาก็แตกต่างจากครั้งก่อน

หมิงเวยไม่ตอบคำตาม แต่พูดออกมาช้าๆ ว่า “ราชครูซูสิงเป็นบุคคลที่โดดเด่นที่สุดในยุค เหตุใดเขาถึงทำข้อตกลงกับฮ่องเต้ไท่จู่ เป็นเพราะคาดหวังว่าราชวงศ์นี้จะมั่นคงยืนยาวสามารถรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งได้ หากราชครูกลายเป็นเครื่องมือในการรักษาแผ่นดินเพียงอย่างเดียวแล้วการปกป้องโชคชะตาแผ่นดินจะเริ่มต้นได้อย่างไรล่ะ”

เสวียนเฟยมองนาง “ท่านหมายความว่าอย่างไร”

“ข้าแค่คิดว่า พวกเราต้องทำความเข้าใจให้ตรงกัน”

สายตาสองคู่ประสานกันภายในแววตาอันเงียบสงบของนาง เสวียนเฟยมีท่าทีอ่อนลงหรือบางทีนางอาจไม่มีเจตนาร้ายจริงๆ

นี่เป็นความรู้สึกที่ขัดแย้งกันมาก จากมุมมองของเขานางจงใจหาเรื่องเขาในตอนแรก อยู่ดีๆ ก็พบปัญหาของเขาแล้วบังคับให้เขามอบดอกถานเชิงให้แก่นาง แต่เขามีความรู้สึกว่าเป้าหมายสูงสุดของนางไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว

“หากเป็นตามที่ท่านบอกการปกป้องโชคชะตาแผ่นดินนี้ควรทำอย่างไร”

หมิงเวยยิ้มบางๆ “สิ่งที่ทำให้ใต้หล้าสงบสุขไปอีกนานไงล่ะ” นางหันกลับมาแล้วมองรูปปั้นบูชาตรงทางเดิน “ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงมีสติปัญญาอันเฉียบแหลมและแผนการอันล้ำลึก พระองค์สร้างความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในฐานะผู้บัญชาการทหาร ยุติความวุ่นวายในราชวงศ์ก่อน แต่น่าเสียดายที่พระองค์ไม่สามารถรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งได้ ตอนแรกพระองค์มีความคาดหวังกับซือฮว๋ายไท่จื่อ หวังว่าไท่จื่อจะรับช่วงต่อหลังบิดาสวรรคตไป แต่สุดท้ายก็ทำไม่สำเร็จ อย่างไรก็ตามโศกนาฏกรรมในราชวงศ์ก็เกิดขึ้นทำให้องค์ชายใหญ่สามพระองค์เสียชีวิต ภายในสถานการณ์อันเร่งรีบพระองค์จึงเลือกจ้าวอ๋องขึ้นรับสืบทอดตำแหน่งต่อ และหลังจากนั้นไม่นานพระองค์ก็สวรรคตไป”

นางชะงักไปพักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “โชคดีที่ฝ่าบาททรงมีพระเมตตากรุณา แคว้นฉีเหนือจึงได้เข้าสู่ยุคเฟื่องฟูภายใต้การปกครองของพระองค์ แต่แค่นี้ก็ยังไม่เพียงพอ จากบันทึกประวัติศาสตร์การแบ่งเขตปกครองไม่ใช่กลยุทธ์ระยะยาว พวกเราเป็นชนเผ่าที่หมกมุ่นอยู่กับการรวมกันเป็นหนึ่ง เขตเจียงหนานเจียงเป่ยมีสายเลือดเดียวกัน มีความรู้เหมือนกันไม่สามารถแยกกันนานได้ พวกเราคิดแต่เคลื่อนทัพไปทางใต้ ทางใต้เองก็เคลื่อนทัพไปทางเหนือ แม้พวกเราไม่ทำพวกเขาก็ทำอยู่ดี”

นางหันกลับไปมองเสวียนเฟย “ท่านทราบหรือไม่ว่าแคว้นฉีเหนือในตอนนี้อันตรายมากเพียงใด ราชวงศ์ฉู่ใต้กำลังอ่อนแอ แต่ตระกูลถังมีอำนาจมากในราชสำนักไม่ช้าก็เร็วพวกเขาจะวางแผนการเดินทางขึ้นเหนือ ตอนนี้หูเหรินทางตอนเหนือกำลังต่อสู้กันเอง หากมีวีรบุรุษปรากฏตัวเพื่อรวมชนเผ่าใหญ่ให้เป็นหนึ่งได้ ก็จะทำให้แคว้นฉีเหนือตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกโจมตีจากทั้งสองฝ่าย ก่อนหน้านี้ข้าบอกไปแล้วว่ามีดาวสังหารอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ข้าไม่ได้หลอกพวกเขา การสังเกตดวงดาวครั้งหน้าพวกท่านลองมองให้ดีๆ ก็จะได้รู้ว่าที่ข้าพูดไปนั้นถูกหรือผิด”

เสวียนเฟยคิดอยู่นาน “ท่าน…”

เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไปดี อันที่จริงเขาไม่เคยคิดเลยว่าคนที่มาพูดเรื่องพวกนี้กับเขาจะไม่ใช่ขุนนางชั้นสูง ไม่ใช่ผู้สูงศักดิ์ แต่เป็นหญิงสาวที่ดูอ่อนแอนางหนึ่ง

“เรื่องนี้เกี่ยวกับดาวตี้ชิงที่ซ่อนอยู่งั้นหรือ”

หมิงเวยยิ้ม “ถึงแม้ท่านจะไม่เห็นดาวมาร แต่หลายปีหลังจากนี้ ชะตาแผ่นดินจะเกิดจุดเปลี่ยนเรื่องนี้มองเห็นได้ไม่ยาก”

เสวียนเฟยพยักหน้าช้าๆ

“เช่นนั้นพวกเราจำเป็นต้องเตรียมตัว เมื่อดาวตี้ชิงดวงนี้ร่วงหล่นโชตชะตาแผ่นดินจะตกต่ำลง บางทีดาวตี้ชิงที่ซ่อนอยู่อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำหรับอนาคตที่สดใสก็ได้”

เสวียนเฟยพูด “แต่ท่านควรรู้ว่าหากดาวตี้ชิงสองดวงปรากฏในที่เดียวกันในเวลาเดียวกัน ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร”

“ต้องมีดวงหนึ่งที่ต้องดับ!” หมิงเวยยิ้ม “แต่ดาวตี้ชิงดวงนั้นยังไม่ปรากฏอย่างเป็นทางการมิใช่หรือ แม้แต่แสงสว่างยังไม่มีตอนนี้มันเป็นเพียงดาวมืดและจะไม่ส่งผลกระทบต่อดาวตี้ชิงดวงปัจจุบัน”

เสวียนเฟยยังคงส่ายหัว “นี่มันเสี่ยงเกินไป ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเมื่อไหร่ที่ดาวมืดดวงนี้จะกลายเป็นดาวตี้ชิง ความลับสวรรค์ที่ไม่อาจคาดเดาได้พวกเราไม่สามารถรับประกันอะไรได้เลย”

“เพราะฉะนั้นพวกเราจึงต้องตามหาดาวมืดดวงนั้น” หมิงเวยพูดช้าๆ “ตราบใดที่เราตามหาคนที่สอดคล้องกับมันเจอ พวกเราก็จะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ด้วยมือของเราเอง”

เมื่อได้ยินการตัดสินใจในคำพูดของนาง เสวียนเฟยหัวใจตกไปยังตาตุ่มทันที “ท่าน ท่านต้องการชักจูงราชสำนักด้วยพลังของตนเองเพื่อสร้างอำนาจงั้นหรือ!”

หมิงเวยหัวเราะแล้วพูดเสียงแผ่วเบา “ท่านพูดอะไรน่ะ ข้าเป็นสตรีอ่อนแอคนหนึ่ง ไม่มีตำแหน่งในราชการแล้วยังไม่มีอำนาจจากสามีจะไปสร้างอำนาจอะไรได้”

“….” จิตใจของเสวียนเฟยได้รับผลกระทบอย่างมาก ท่านอาจารย์ปลูกฝังเขาในฐานะผู้สืบทอดมาโดยตลอด ท่านมักเตือนเขาไม่ให้ใช้เคล็ดวิชาควบคุมราชสำนักด้วยความทะเยอทะยาน เสวียนชื่อมีโลกของเสวียนชื่อ สิ่งที่พวกเขาต้องรับมือคือภูติผีปีศาจบนโลกใบนี้ไม่ใช่มีไว้เพื่ออำนาจ

หมิงเวยมองเขาอันที่จริงนางประหลาดใจไปไม่น้อยกว่าเขาเลย

นางพูดเรื่องเหล่านี้ แม้ว่าครึ่งหนึ่งจะพยายามโน้มน้าวเขา แต่อีกครึ่งหนึ่งก็กำลังทดสอบเสวียนเฟยเช่นกัน

อีกสิบปีหลังจากนี้บุรุษผู้สง่างามตรงหน้าจะใช้อำนาจล้มล้างราชสำนัก นางไม่ได้ทำผิดในสิ่งที่พูดไปก่อนหน้านี้ ถ้านางเลือกที่จะปล่อยเขาไปนับว่าต้องแบกรับความเสี่ยงเป็นอย่างมาก แต่จากการทดสอบครั้งนี้พบว่าเมล็ดพันธุ์แห่งอำนาจเมล็ดนั้นดูเหมือนจะไม่ได้เติบโตขึ้นในใจของเขา ระยะเวลาสิบปีต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นกันแน่ถึงทำให้เสวียนเฟยกลายเป็นคนชั่วร้ายขึ้นมาได้

“เรื่องนี้ค่อยคุยกันในภายหลัง” หมิงเวยตอบ “สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือต้องไม่ให้เหล่าอาจารย์ค้นพบดาวตี้ชิง ไม่เช่นนั้นจะเกิดเหตุการณ์นองเลือดขึ้นแน่”

จิตใจของเสวียนเฟยสับสนวุ่นวาย

หมิงเวยพูดเสริมอีกว่า “เรื่องอื่นเราจะไม่พูดถึง หากตอนนี้เกิดภัยพิบัติขึ้น การแต่งตั้งเจ้าสำนักอาจถูกพักไว้ หากท่านไม่วางใจจริงๆ รอให้ได้ตำแหน่งเจ้าสำนัก ได้เป็นราชครูของแผ่นดินแล้วค่อยพูดเรื่องนี้ก็ไม่สาย”

ก็จริงอย่างที่นางว่า…

หากต้องบอกเรื่องดาวตี้ชิงแก่ฮ่องเต้จริงๆ จะต้องพูดคุยแบบเป็นการส่วนตัว มีเรื่องใหญ่ขนาดนี้เกิดขึ้นจำเป็นต้องจัดการให้จบหากไม่พบดาวมารจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นหรือ

เขาครุ่นคิด “สำนักนี้มีค่ายกลหนึ่ง คือการรวบรวมพลังของทุกคนเพื่อเปิดทางเข้าสู่ทะเลแห่งดวงดาว ค่ายกลนี้แต่ละคนจะมีตำแหน่งเป็นของตนเอง ตราบใดที่ตำแหน่งที่สอดคล้องกันถูกทำลายก็จะไม่สามารถมองเห็นดวงดาวแห่งโชคชะตาดวงนั้น”

หมิงเวยปรบมือ “สมกับที่เป็นราชครูของแผ่นดินในอนาคต เป็นความคิดที่ดีเลย เรื่องนี้ต้องรบกวนท่านนักพรตแล้ว การจัดการเรื่องนี้ต้องยุ่งยากแน่ถ้าอย่างนั้นข้าน้อยไม่รบกวนท่านแล้วเจ้าค่ะ”

นางย่อกายทำความเคารพเหมือนคุณหนูในห้องหอคนหนึ่ง “ขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”

เสวียนเฟยเฝ้าดูนางเดินออกไปอย่างสง่างาม ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้ เห็นได้ชัดว่าเป็นแค่ข้อตกลงหนึ่งเท่านั้นแต่ทำไมดูเหมือนพวกเขาจะลงเรือลำเดียวกันแล้วเล่า ก่อนหน้านี้แค่ต้องช่วยกันปกปิดการมีอยู่ของดาวตี้ชิง แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะมีเรื่องใหม่เพิ่มขึ้นมา การค้นหาการมีอยู่ของดาวตี้ชิงที่หลบซ่อนอยู่ หลังจากนี้เขาสามารถถอนตัวออกมาได้หรือไม่

เขาคิดสักพักแล้วตบหัวอย่างเสียใจ เมื่อครู่นางเอาแต่พูดว่าพวกเรา พวกเรา กลายเป็นว่าเขาถูกล้างสมองโดยไม่รู้ตัว!

……………