ตอนที่ 235 ทำลายวาสนา

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหมุนกายกลับมา ผ่านกระจกช่องหน้าต่าง ได้เห็นภาพที่โจวเสาจิ่นกำลังร่ำลาปี้อวี้อยู่พอดี

มองใบหน้างดงามและรอยยิ้มอันอ่อนโยนของเด็กสาวแล้ว ทันใดนั้นนางก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา

ต่อให้เป่าติ้งจะดีเพียงใด ก็เทียบกับจินหลิงไม่ได้!

ต่อให้ความสัมพันธ์ต่อกันจะดีเพียงใด แต่การใช้ชีวิตอยู่ในเงื้อมมือของมารดาเลี้ยงก็ไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากนี้อีกหนึ่งปีเด็กสาวก็จะอายุครบสิบสี่ปี ถึงวัยต้องพิจารณาเรื่องแต่งงานแล้ว การแต่งงานของสตรีเสมือนกับการเกิดใหม่เป็นครั้งที่สอง เรื่องสำคัญขนาดนี้ กลับถูกควบคุมดูแลอยู่ในเงื้อมมือของคนที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดและก็ไม่มีความรู้สึกอะไรต่อกันมาก เด็กสาวก็มิใช่คนโง่ จะรู้สึกสงบและสบายใจจริงๆ อย่างที่แสดงออกมาเช่นนั้นได้อย่างไร

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวลอบถอนหายใจเบาๆ อย่างห้ามไม่อยู่ กระทั่งเงาร่างของโจวเสาจิ่นค่อยๆ หายลับไปแล้ว ถึงได้ให้สาวใช้เด็กไปเรียกปี้อวี้เข้ามา เอ่ยถามขึ้นว่า “เสาจิ่นพูดอะไรกับพวกเจ้าหรือ”

“ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษเจ้าค่ะ!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ใช่คนประเภทที่ชอบยุ่งไปเสียหมดทุกเรื่อง จู่ๆ มาถามอย่างกะทันหันเช่นนี้ ปี้อวี้รู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย ช่วยอธิบายแทนโจวเสาจิ่นว่า “คุณหนูรองกล่าวว่า นางกลับบ้านครั้งนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้กลับมา ก่อนหน้านี้มาคัดพระธรรมที่เรือนหานปี้ซานอยู่ช่วงหนึ่ง ได้รับการดูแลจากพวกข้าไม่น้อย นางไม่มีสิ่งของอย่างอื่นมาขอบคุณพวกข้า จึงทำขนมเค้กข้าวด้วยตัวเองนำมาให้พวกข้าลองชิมดู บอกว่าเวลาอยู่เวรยามแล้วหิว นำไปนึ่งในห้องน้ำชาสักหน่อยก็รับประทานได้แล้ว สะดวกยิ่งนักเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้า ให้นางกลับออกไปได้

ปี้อวี้ไม่ค่อยสบายใจนัก กลัวว่าตัวเองจะกล่าวอะไรผิดไปแล้วเป็นเหตุให้โจวเสาจิ่นต้องลำบาก

คิดไม่ถึงว่าตกบ่าย ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับให้นางไปเชิญฮูหยินผู้เฒ่ากวนมาคุยด้วย

นางไปเรือนเจียซู่ด้วยความไม่สบายใจ

โจวเสาจิ่นสองพี่น้องเก็บข้าวของอยู่ที่เรือนเจียซู่ นางจึงไม่ได้เจอพวกนาง

ปี้อวี้จำต้องเก็บความคิดเหล่านี้เอาไว้ในใจ ยิ้มพลางเดินเข้าไปพบฮูหยินผู้เฒ่ากวน

ถึงแม้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจะคิดไม่ตกว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวมีเรื่องอะไรถึงต้องการพบนาง แต่ก็รีบสวมอาภรณ์ให้เรียบร้อย แล้วเดินไปเรือนหานปี้ซานโดยมีซื่อเอ๋อร์ช่วยประคอง

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวออกมาต้อนรับนางที่ประตูด้วยตัวเอง ทั้งสองนั่งลงตามลำดับ รอให้สาวใช้นำน้ำชามาขึ้นโต๊ะและปิดประตูเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถึงได้กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “คุณหนูใหญ่ของพวกเจ้าก็ใกล้จะออกเรือนแล้ว คุณหนูรองจะอยู่หรือไป บุตรเขยของพวกเจ้าได้แจ้งอะไรมาบ้างแล้วหรือยัง”

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนทราบเรื่องที่โจวเสาจิ่นนำเสื้อแขนกุดมามอบให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว ยังคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวมีเรื่องต้องการพูดกับนาง เลยหยิบเรื่องนี้มาเป็นกล่าวเป็นอารัมภบทก่อน จึงรีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “ที่บ้านกำลังวุ่นอยู่กับเรื่องงานแต่งของชูจิ่นและเก้าเกอเอ๋อร์ เรื่องของเสาจิ่นจึงยังไม่ได้ตกลงกันเลยเจ้าค่ะ”

“เด็กคนนี้เป็นคนละเอียดอ่อน” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าว “ตอนที่พวกเจ้าหารือเรื่องงานแต่งของชูจิ่นก็ควรจะตกลงเรื่องของเด็กคนนี้ให้เรียบร้อยด้วยถึงจะถูก”

ได้ยินว่าฮูหยินใหญ่เหมี่ยนของจวนสี่เป็นคนถี่ถ้วนเหมาะสมผู้หนึ่ง แต่เหตุใดเรื่องนี้ถึงกระทำอย่างหยาบๆ เช่นนี้ได้

จากคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่ากัว ฮูหยินผู้เฒ่ากวนฟังออกว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ค่อยพอใจนัก จึงรีบกล่าวอธิบายแผนการของพวกนางให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟัง “ตามปกติแล้วก็ปฏิบัติกับนางเสมือนเป็นหลานสาวแท้ๆ ที่ผ่านมาก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะส่งนางไปอยู่เป่าติ้ง คิดกันว่ารอให้จัดการเรื่องงานแต่งของชูจิ่นและของเก้าเกอเอ๋อร์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะไปคุยกับบุตรเขยเรื่องดองกันเพื่อกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ให้เสาจิ่นหมั้นหมายกับอี้เกอเอ๋อร์เจ้าค่ะ…”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้สึกประหลาดใจอย่างห้ามไม่อยู่

อี้เกอเอ๋อร์?

คุณชายรองของจวนสี่!

แม้แต่เรื่องที่ว่าเขามีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรนางก็จำไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าเด็กคนนี้ธรรมดาสามัญยิ่งนัก

จวนสี่กล้าเอาเปรียบโจวเสาจิ่นเช่นนี้ได้อย่างไร

นี่มิใช่ว่าเป็นดังดอกไม้ที่ปักอยู่บนกองขี้วัวหรอกหรือ

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวนึกถึงท่าทางเงียบขรึมเก็บอาการของโจวเสาจิ่นตอนที่ตนได้เจอโจวเสาจิ่นเป็นครั้งแรกแล้ว ก็อดปวดใจไม่ได้

เช่นนั้นที่นางให้เด็กคนนี้มาช่วยคัดพระธรรมให้นางนั้นจะมีความหมายอะไร

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าว “แสดงว่าที่ผ่านมาพวกเจ้าล้วนไม่มีความคิดจะให้เสาจิ่นออกไปใช่หรือไม่”

“ใช่แล้วเจ้าค่ะ!” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนไม่ทราบความคิดของฮูหยินผู้เฒ่ากัว กล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “ถึงแม้ข้ากับนางจะไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่จะดีจะร้ายก็เลี้ยงดูนางมาด้วยตัวเอง เห็นนางใกล้จะถึงคราวต้องเจรจาเรื่องแต่งงานแล้ว จะให้นางแต่งออกไปให้ผู้อื่นได้อย่างไรกันเจ้าคะ!”

แต่ให้อยู่กับเจ้าก็ทำให้ผู้อื่นไม่วางใจเหมือนกันนี่นา!

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวลอบครุ่นคิดอยู่ในใจ ความคิดตบตีกันอยู่นานครู่หนึ่ง ถึงได้เผยท่าทีเสียดายออกมา กล่าวขึ้นว่า “เดิมทีข้าหมายจะถามดูว่าพวกเจ้ามีแผนการอะไรให้เสาจิ่นบ้าง ดูทีแล้วพวกเจ้าได้วางแผนจะรั้งนางเอาไว้ที่บ้านตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว ข้าคิดว่าอย่างไรเสียเด็กคนนี้ก็เคยรับใช้ข้ามาช่วงหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องเอาใจใส่เรื่องงานแต่งของนางสักหน่อย…” ขณะที่กล่าว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็เผยรอยยิ้มออกมา กล่าวต่อว่า “อย่างไรก็ตามเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ทุกคนต่างก็เป็นคนกันเอง รู้จักกันเป็นอย่างดี การแต่งงานของผู้หญิงเรา โดยมากก็เพียงขอให้มีความมั่นคงและสงบสุข”

ที่แท้ก็เพราะต้องการแนะนำคู่ครองให้เสาจิ่นนี่เอง!

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนพลันเกิดการโต้เถียงภายในใจขึ้นมาเล็กน้อย

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวช่วยออกหน้า เช่นนั้นย่อมเป็นคนที่น่าเคารพนับถือ เป็นที่นับหน้าถือตา ประพฤติตนดีงาม ไม่แน่ว่ายังเป็นคนที่ร่ำรวยมากอีกด้วย…ส่วนนิสัยของหลานชายตัวเองเป็นอย่างไรนั้น นางย่อมรู้ดีแก่ใจเป็นที่สุด แน่นอนว่าย่อมเทียบไม่ได้กับคนที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวแนะนำให้อย่างแน่นอน…แต่หากปล่อยให้เสาจิ่นแต่งออกไปเช่นนี้ เช่นนั้นอี้เกอเอ๋อร์จะทำอย่างไร เสาจิ่นไม่เพียงมีรูปร่างหน้าตางดงาม อุปนิสัยก็ดีงาม ทั้งยังเก่งเรื่องเย็บปักและทำอาหาร เป็นเด็กที่ดูแลบ้านช่องได้เป็นอย่างดีผู้หนึ่ง…นอกจากนี้ที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพูดมาก็ถูก การแต่งงานของผู้หญิงเรา มิใช่ขอให้มี ‘ความมั่นคงและสงบสุข’ หรอกหรือ อย่างอื่นนางไม่กล้ารับประกัน แต่คำว่า ‘ความมั่นคงและสงบสุข’ สองคำนี้นางกล้ารับประกัน!

เวลานี้ คนซื่อตรงอย่างฮูหยินผู้เฒ่ากวนก็ไม่อาจกระทำตัวอย่างเที่ยงธรรมได้แล้วเหมือนกัน

นางสนทนากับฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างยิ้มแย้ม

ความผิดหวังที่พูดออกมาไม่ได้ของฮูหยินผู้เฒ่ากัว มีความปวดใจปนอยู่ด้วย

เสาจิ่นเด็กคนนี้ ช่างเหมาะกับคำกล่าวที่ว่าหญิงงามผู้ทนทุกข์กับชะตากรรมอันไร้สุขประโยคนี้จริงๆ!

นางส่งฮูหยินผู้เฒ่ากวนกลับออกไปด้วยจิตใจอันหดหู่ จนถึงตอนเย็นที่เฉิงฉือเข้ามารับมื้อเย็นด้วย อารมณ์ของนางก็ยังคงซึมเซายิ่งนัก

เฉิงฉือมองปี้อวี้ที่ปรนนิบัติอยู่ข้างๆ ครั้งหนึ่ง

ปี้อวี้หาโอกาสตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ได้สนใจกระซิบกล่าวกับเฉิงฉือว่า “วันนี้คุณหนูรองนำเสื้อแขนกุดมามอบให้ฮูหยินผู้เฒ่า จากนั้นฮูหยินผู้เฒ่าก็เชิญนายหญิงผู้เฒ่ากวนมาคุยด้วย จากนั้นก็เป็นเช่นนี้มาจนถึงตอนนี้เจ้าค่ะ!”

โจวเสาจิ่น!

นางเป็นอะไรอีกแล้ว!

เฉิงฉือขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่ค่อยพบเห็นบ่อยนัก

หลายวันก่อนเขาสั่งการไว้แล้วว่าไม่ให้คนเข้าไปรบกวนได้ตามอำเภอใจ จากนั้นจึงไม่ได้เห็นโจวเสาจิ่นอีก

หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนาง?

เฉิงฉือนึกถึงวันที่พบโจวเสาจิ่นในวันนั้น เห็นๆ อยู่ว่านางเข้ามาวุ่นวายถึงห้องหนังสือของเขาอย่างสบายอกสบายใจทว่านางกลับเล่นลิ้นกล่าวว่านางผ่านมาโดยบังเอิญ บางทีนางอาจมีเรื่องอะไรตั้งแต่ตอนนั้นแล้วแต่พอมาหาตนแล้วกลับไม่กล้าเอ่ยปาก ก็เลยกล่าววาจาเลื่อนเปื้อนเช่นนั้นออกมา?

เขารู้สึกอยู่ไม่สุขขึ้นมาเล็กน้อย ถามฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “ท่านแม่ วันนี้ท่านเป็นอะไรไปหรือขอรับ ท่าทางไม่มีความสุขยิ่งนัก เช่นนั้นข้ากลับเรือนหลีอินก่อนดีหรือไม่ รอท่านอารมณ์ดีขึ้นแล้วข้าค่อยมาใหม่”

ถึงแม้เฉิงฉือจะหลอกล่อฮูหยินผู้เฒ่ากัวเช่นนี้ แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ยังไม่ดีขึ้น เพียงส่ายศีรษะ หลังจากรับมื้อเย็นกับเฉิงฉือเรียบร้อยแล้วก็ไปคุยกันที่ห้องนั่งเล่น เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้บุตรชายฟัง “…ข้าไม่มีคนที่เหมาะสมอยู่ในมือจริงๆ ไม่อย่างนั้นข้าก็คงเอ่ยปากกล่าวต่อหน้าอาสะใภ้สี่ของเจ้าไปแล้ว มาถึงตอนนี้แล้ว ข้าก็ไม่อาจเอ่ยปากกล่าวอะไรได้แล้ว” ยังต่อว่าเฉิงฉืออีกว่า “ข้าบอกว่าให้เจ้าช่วยดูให้ข้าสักหน่อยมิใช่หรือ เจ้าก็ไม่ใส่ใจ ปล่อยให้ข้าต้องทนมองเด็กผู้นี้แต่งให้คนอื่นไปเช่นนี้!”

เฉิงฉือปกปิดความประหลาดใจเอาไว้ไม่อยู่ และก็ไม่ทันได้โต้แย้งให้ตัวเองด้วย กล่าวขึ้นว่า “ข้าจะไปทราบได้อย่างไรว่าจวนสี่จะกำหนดเรื่องหมั้นหมายเร็วถึงเพียงนี้ ปีนี้นางเพิ่งจะอายุสิบสามปีอยู่เลยมิใช่หรือขอรับ”

“ใช่!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวทอดถอนหายใจกล่าว “ตอนแรกข้าเพียงคิดว่าจะสอบถามเกี่ยวกับเรื่องจะอยู่หรือจะไปของเด็กผู้นี้ดูสักหน่อยเท่านั้น ใครจะรู้ว่าอาสะใภ้สี่ของเจ้าจะให้คำตอบเช่นนี้กับข้า! เดิมทีข้าคิดว่าไม่ว่าอย่างไรอาสะใภ้สี่ของเจ้าก็ต้องรั้งเด็กคนนี้ไว้จนถึงวัยปักปิ่นก่อน อย่างไรก็ตาม เมื่อข้ามาคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วก็พอจะเข้าใจ เด็กคนนี้ไม่มีมารดา มารดาเลี้ยงก็มาจากตระกูลพ่อค้า หากกำหนดเรื่องหมั้นหมายให้เรียบร้อยเร็วขึ้นสักหน่อย เมื่อนางไปอยู่เป่าติ้งแล้ว มารดาเลี้ยงของนางก็ไม่อาจทำอะไรนางได้ ก็นับเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง เพียงแต่ว่าอี้เกอเอ๋อร์นั้น…เจ้าพอจะมีภาพจำอะไรเกี่ยวกับเขาบ้างหรือไม่”

เฉิงฉือส่ายศีรษะ

ทั้งซอยจิ่วหรูนี้เขาจำได้แค่เฉิงสือ เฉิงรั่ง แล้วก็เฉิงสวี่เท่านั้น

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงกล่าวขึ้นว่า “เจ้าดู แล้วจะให้เสาจิ่นแต่งให้กับคนเช่นนี้ได้อย่างไร”

ในห้วงความคิดของเฉิงฉือปรากฎภาพของโจวเสาจิ่นยามดื้อดึงขึ้นมา ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายแวววาว เปล่งแสงสว่างสุกใสดุจดวงดาราบนท้องนภา ภาคภูมิใจประหนึ่งลูกแมวน้อยที่ขโมยปลาไปกินได้สำเร็จ

แต่งให้เฉิงอี้…ก็ออกจะน่าเสียดายไปจริงๆ!

เขากล่าวปลอบโยนมารดาว่า “นี่ยังไม่ได้ตกลงกันเลยมิใช่หรือ ท่านก็อย่าเพิ่งกังวลเป็นฟืนเป็นไฟไปก่อนเลยขอรับ ปีใหม่แล้ว หากท่านไม่สบายใจพวกข้าก็ไม่อาจเฉลิมฉลองปีใหม่ตามท่านไปด้วย หรือไม่ ท่านดูว่าเอาเช่นนี้ดีหรือไม่ รอให้ผ่านวันที่หกแล้วท่านลองไปเยี่ยมเยียนแต่ละตระกูลดู ส่วนข้าก็จะไปเยี่ยมเยียนแต่ละตระกูลดูด้วย ท่านก็ขอให้ญาติพี่น้องของท่านช่วยดูให้ด้วย หากหาคนที่เหมาะสมได้แล้ว ก็ไม่ต้องไปแจ้งอาสะใภ้สี่หรือมารดาเลี้ยงของนาง ไปพูดกับพี่ชายใหญ่ ให้พี่ชายใหญ่ไปสู่ขอกับใต้เท้าโจวผู้นั้นโดยตรงเลย หากใต้เท้าโจวตอบตกลง อาสะใภ้สี่ก็ทำได้เพียงเก็บความคิดนี้ไว้ในใจแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยกำชับกับพี่ชายใหญ่อีกครั้ง หากเขาไม่พูด ท่านไม่พูด ข้าไม่พูดแล้ว จะมีใครรู้เรื่องนี้ได้ และก็ไม่ต้องหมางใจกับอาสะใภ้สี่ด้วย”

“ดึงฟืนออกจากการต้มน้ำ” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นด้วย กล่าวต่อว่า “ความคิดนี้ของเจ้าดี ต่อให้เรื่องหาคนนี้จะยากไปสักหน่อย แต่เจ้าก็ต้องดูให้ดี อย่าให้เป็นการผลักเสาจิ่นลงไปในกองไฟเป็นอันขาด”

สองแม่ลูกต่างไม่คิดถึงเรื่องที่ว่าควรจะไปดูเฉิงอี้หรือไปทำความรู้จักเฉิงอี้สักหน่อยว่าเป็นคนเช่นไรก่อนแล้วค่อยตัดสินใจหรือไม่!

เฉิงฉือกล่าว “ต่อให้เป็นคนดียังไงก็ต้องขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิตของนางด้วย ข้าทำได้เพียงหาคนมีการศึกษาและหน้าตาโดดเด่นให้เท่านั้น ส่วนเรื่องในภายภาคหน้า ก็ต้องดูว่านางจะมีวาสนาดีหรือไม่”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้า

ปี้อวี้ที่อยู่นอกฉากกั้นได้ยินแล้วก็ตกใจจนเหงื่อเย็นท่วมไปทั้งร่าง

นี่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับนายท่านสี่…กำลังทำอะไรกัน

มีคำกล่าวหนึ่งกล่าวไว้ว่า ทำลายวัดวาอารามไปสิบแห่งยังไม่สู้ทำลายวาสนาในการครองคู่ของผู้อื่นเพียงครั้งเดียว

ถึงแม้ว่าคุณชายรองอี้ของจวนสี่จะเทียบไม่ได้กับคุณชายใหญ่สวี่ของจวนหลักของพวกเขา แต่คุณชายรองอี้กับคุณหนูรองรักใคร่ปรองดองและเติบโตมาพร้อมกันตั้งแต่เด็ก นายหญิงผู้เฒ่ากวนและฮูหยินใหญ่เหมี่ยนก็ปฏิบัติกับคุณหนูรองประหนึ่งเป็นบุตรหลานแท้ๆ ของตัวเอง นอกจากนี้ซอยจิ่วหรูยังร่ำรวยเป็นอย่างมาก ไม่ว่าอย่างไรคุณชายรองอี้กับคุณหนูรองก็ไม่ขาดค่าใช้จ่ายประจำวันอยู่แล้ว และก็อย่างที่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนได้กล่าวเอาไว้ นอกจากขอให้มี ‘ความมั่นคงและสงบสุข’ แล้ว ยังจะมีอะไรที่สำคัญไปกว่านี้อีกหรือ

หากแต่งให้ผู้อื่น ต่อให้เป็นคนมีการศึกษาและหน้าตาโดดเด่นเพียงใด ในบ้านนอกบ้านก็มีภรรยาน้อยอีกเป็นโขยง แม้แต่ขุนนางใหญ่ในราชสำนักก็ยังทำให้คนโมโหจนตายได้ เช่นนั้นไม่สู้แต่งให้คนที่ใช้ชีวิตอย่างปกติสุขด้วยไม่ดีกว่าหรือ!

ฮูหยินผู้เฒ่าก็เหมือนกัน ทั้งๆ ที่รักใคร่คุณหนูรองถึงเพียงนี้ แต่เหตุใดกลับไม่ลองถามความเห็นของคุณหนูรองดูก่อน ไม่แน่ว่าคุณหนูรองอาจอยากจะแต่งให้คุณชายรองอี้ก็เป็นได้!

ปี้อวี้กระวนกระวายใจยิ่งนัก แสร้งทำเป็นปวดท้อง ให้เจินจูช่วยอยู่เวรแทนนาง แล้วหมุนกายมุ่งหน้าไปยังเรือนหว่านเซียง

เนื่องจากหลังจากออกจากจวนในครั้งนี้แล้วโจวชูจิ่นจะไม่ได้กลับมาอีก ของทุกชิ้นในบ้านที่อยู่มาสิบแปดปีล้วนเต็มไปด้วยความทรงจำ ไม่ว่าของชิ้นไหนก็อยากเอาไปด้วยทุกชิ้น ดังนั้นหีบสำหรับจัดเก็บสัมภาระจึงมีมากยิ่งนัก ทั้งสองคนวุ่นอยู่กับการจัดเก็บทั้งวัน ข้าวของที่ต้องจัดเก็บจึงเหลือไม่มากแล้ว

…………………………………….