ตอนที่ 1 ฝันที่เปลี่ยนแปลงโชคชะตา

Perfect Superstar

ตอนที่ 1 ฝันที่เปลี่ยนแปลงโชคชะตา

ลู่เฉินฝัน เป็นฝันที่ยาวนานมากครั้งหนึ่ง

โลกในความฝันทั้งคุ้นเคยและแปลกตา ตัวละครไม่ซ้ำกันแสดงบทบาทยอดเยี่ยมที่แตกต่างกันไป เขาประสบเหตุการณ์บนโลกแห่งนี้ถึงสามช่วงชีวิตที่ต่างกัน!

ช่วงชีวิตแรกเป็นของนักร้องคนหนึ่งที่ชื่อสวีป๋อ มีนิสัยโอ้อวดไม่อยู่นิ่ง ชื่นชอบในดนตรีอย่างบ้าคลั่ง แม้จะมีเชาว์ปัญญาเหนือคนทั่วไป แต่ไม่มีทางโด่งดังได้เลย ใช้ชีวิตเหมือนจอกแหนที่ล่องลอยอย่างไร้ทิศทาง

ในช่วงชีวิตที่สองเขามีชื่อว่าโม่หราน เป็นนักแสดง รูปลักษณ์ไม่โดดเด่นนิสัยสุขุมเก็บงำความรู้สึก เคยแสดงทั้งละครโทรทัศน์และภาพยนตร์มากมายในบทบาทที่ไม่ซ้ำกัน แต่เป็นเพียงตัวประกอบตลอด ถึงแม้มีเทคนิคการแสดงที่โดดเด่น กลับมักช่วยให้คนอื่นเจิดจรัสมากขึ้นแทน

และช่วงชีวิตสุดท้ายเป็นของฟางหมิงอี้ผู้เป็นนักเขียนอิสระ โปรดปรานดนตรี ภาพยนตร์ การท่องเที่ยว และอาหารเลิศรส เขามักสะพายเป้ออกผจญภัย อาศัยการถ่ายทอดตัวอักษรตามอารมณ์ที่โลดแล่นลงในอินเทอร์เน็ตเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ

โชคชะตาช่างน่าอัศจรรย์ การพบปะสังสรรค์สบายๆ ครั้งหนึ่งทำให้สวีป๋อ โม่หราน และฟางหมิงอี้ได้รู้จักกัน ถึงแม้นิสัยของพวกเขาไม่เหมือนกันเลย แต่ก็ยังมีหัวข้อสนทนาร่วมกันมากมาย ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นเพื่อนสนิทอย่างแท้จริง

ต่อมาทั้งสามคนออกเดินทางท่องเที่ยวร่วมกัน จู่ๆ ก็เจอเหตุการณ์โคลนถล่มบนถนนภูเขาคดเคี้ยวที่มุ่งหน้าสู่ภูเขาน้ำแข็งอวี้หลง…

ขณะที่หินภูเขาปะปนดินโคลนนับไม่ถ้วนซัดใส่หน้าต่างรถและทะลักเข้ามาด้านใน ความหวาดกลัวอันท่วมท้นและความรู้สึกหายใจไม่ออกทำให้ลู่เฉินตกใจตื่น ดีดตัวขึ้นนั่งบนเตียงโดยพลัน!

เขาหอบหายใจรุนแรง เหงื่อผุดบนหน้าผากเต็มไปหมด ดวงตาไร้แววราวกับไม่มีวิญญาณ

ผ่านไปนาน ลู่เฉินถึงค่อยบังคับตัวเองให้ดึงสติกลับมา

สายตาค่อยๆ เพ่งจ้อง ภาพห้องพักซอมซ่อที่คุ้นเคยเป็นที่สุดสะท้อนเข้ามาในม่านตา แสงสลัวจากโคมไฟอันเล็กพอถูไถส่องสว่างให้ห้องแคบๆ ขนาดไม่ถึงสิบตารางเมตร นอกจากที่นอนซึ่งเขานอนอยู่กับโต๊ะเก้าอี้เก่าชุดหนึ่งและตู้เสื้อผ้าแล้วก็ไม่มีเครื่องเรือนชิ้นอื่นอีก

แต่เขายังแยกไม่ค่อยออกว่าตัวเองคือสวีป๋อ โม่หราน หรือฟางหมิงอี้กันแน่ ความทรงจำของคนทั้งสามช่างสดใหม่ชัดเจน ประทับลึกลงไปในดวงจิตของเขาอย่างไม่มีทางแยกออกได้

ลู่เฉินใส่เสื้อคลุมอย่างลวกๆ เดินโซเซเข้าไปในห้องน้ำขนาดเล็ก บิดเปิดก๊อกน้ำอย่างรวดเร็ว ก่อนใช้มือทั้งสองรองน้ำขึ้นมาสาดใส่ใบหน้า

แรงกระตุ้นดีเยี่ยมจากความเย็นของน้ำท่อประปา ทำให้เขาที่กำลังมึนงงตื่นเต็มตาทันที

ใบหน้าที่ปรากฏอยู่บนกระจกเป็นดวงหน้าที่อ่อนเยาว์

รูปหน้าตรง สัดส่วนเหลี่ยมมุมบนใบหน้าหล่อเหลาเอาการ คิ้วตรงเป็นกระบี่ดวงตาลึกล้ำ สันจมูกโด่งตรงและริมฝีปากบางมีความดื้อรั้นบางๆ มีเพียงกลางหว่างคิ้วที่แฝงความหม่นหมองและทรุดโทรมอย่างบอกไม่ถูก แสดงให้เห็นถึงความผิดหวังและความมืดมนที่มีต่อชีวิต

ในที่สุดลู่เฉินก็แน่ใจ เขาก็ยังเป็นตัวเขา ยังเป็นหนุ่มอายุ 22 ที่เรียนมหาวิทยาลัยไม่จบ และร่อนเร่ไปในเมืองหลวงเป็นเวลาเกือบปีแล้ว

ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด!

โทรศัพท์มือถือบนหัวเตียงพลันส่งเสียงดัง

ลู่เฉินออกแรงสะบัดหัว บังคับให้ตัวเองลืมความคิดสับสนที่วนเวียนในหัวไปก่อน เขารีบล้างหน้าแปรงฟัน จากนั้นออกจากห้องพักรูหนูชั้นใต้ดินไปทำงาน

ที่พักของเขาอยู่ในเขตชุมชนจิ่งหมิงบริเวณถนนวงแหวนหมายเลขสามเกือบถึงหมายเลขสี่ เป็นหนึ่งในหลายสิบห้องที่แบ่งให้เช่าตรงชั้นใต้ดินของอาคารเก่า

ห้องหนึ่งมีพื้นที่ไม่ถึงสิบตารางเมตร ค่าเช่ากลับสูงถึง 1200 หยวน[1] แต่มีข้อดีที่มีห้องน้ำส่วนตัว และอยู่ห่างจากที่ทำงานตอนกลางวันของลู่เฉินไม่ไกล สถานีรถไฟใต้ดินที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไปไม่ถึงห้านาที

ในเมืองหลวงที่มีประชากรมากเกินสามสิบล้านคน ผู้มาจากต่างถิ่นอย่างลู่เฉินมีมากมาย มีทั้งมาทำงานหาเลี้ยงชีพ หรือไม่ก็วิ่งไล่ตามความฝัน

พวกเขามักจะถูกเรียกว่า ‘คนหลงกรุง’ หรือ ‘มดงาน’ บางคนก็เยาะเย้ยตัวเองว่าเป็น ‘มดหลงกรุง’

ในฐานะ ‘มดหลงกรุง’ คนหนึ่ง ลู่เฉินวิ่งออกมาจากชุมชนที่พักไปถึงทางเท้า เขาฝ่าสายหมอกยามเช้าตรู่ วิ่งไปทางสถานที่ทำงาน

ทั้งหมดเหมือนวันปกติ แต่ทั้งหมดก็เหมือนกำลังเปลี่ยนไปจากเดิมเช่นกัน

เมื่อฟ้าเหลืองตอนพระอาทิตย์กำลังตก ลู่เฉินลากร่างกายที่อ่อนล้ากลับไปห้องพักรูหนูอันมืดสลัว

เขาทิ้งตัวลงบนที่นอนเตียงเดี่ยวอย่างแรง หลับตาพักผ่อนครู่หนึ่ง ปลุกชีวิตชีวาใหม่แล้วลุกขึ้นนั่ง จากนั้นคว้ากีตาร์ที่อยู่หน้าเตียงขึ้นมา

กีตาร์ไม้วีเนียร์ตัวนี้เป็นของล้ำค่าที่สุดที่ลู่เฉินมีอยู่ตอนนี้ ไม้ส่วนหน้าของกีตาร์ทำจากไม้สนขาว ด้านหลังทำจากไม้โรสวูดสามแผ่นต่อกัน ไม้สนขาวเป็นไม้ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในวัสดุที่ดีที่สุดในการนำมาทำกีตาร์ คุณภาพเสียงที่ได้ดีมาก ทั้งมั่นคงและทรงพลัง อีกทั้งเมื่อเล่นไปสักพัก ความไวต่อเสียงยิ่งมากขึ้นด้วย

ต่อให้เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด ลู่เฉินก็ไม่คิดจะขายกีตาร์ตัวนี้ทิ้ง เพราะมันเป็นสิ่งที่ลู่เสวี่ยมอบให้ลู่เฉินเป็นของขวัญวันเกิดอายุครบสิบแปดปี

ลู่เสวี่ยคือน้องสาวของลู่เฉิน การซื้อกีตาร์ตัวนี้ให้เขาเธอต้องใช้เงินเหรียญที่เก็บสะสมไว้จนหมด!

อีกสามชั่วโมงต่อมา ลู่เฉินต้องใช้กีตาร์ตัวนี้ไปหาเงินในอาชีพที่สองของเขา

ตอนกลางวันลู่เฉินทำงานพาร์ทไทม์ร้านเคเอฟซี พอตกกลางคืนเขาทำงานเป็นทั้งบริกรและนักร้องที่บาร์แห่งหนึ่งตรงทะเลสาบโฮ่วไห่ เมื่อทำสองงานพร้อมกัน ทำให้ทุกวันเขาทำงานมากกว่า 15 ชั่วโมง

ลู่เฉินก็ไม่ได้อยากกัดฟันสู้ แต่ภาระหนี้สินอันหนักหน่วงของครอบครัวทำให้เขาไม่สู้ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นแล้วน้องสาวของเขาจะต้องเลิกเรียนหนังสือ เจ้าหนี้ทั้งหลายจะมาตามทวงหนี้ถึงบ้าน

ลู่เฉินยังมีพี่สาวอีกคนซึ่งกำลังปากกัดตีนถีบเหมือนกับเขา เขาเป็นผู้ชายคนเดียวในบ้าน ยังมีเหตุผลอื่นจะหลบหนีจากภาระหนี้ของตัวเองได้หรือ

ลู่เฉินกอดกีตาร์ไว้ ดีดเบาๆ ลงบนสาย เสียงระรื่นหูดังสายน้ำไหลดังออกมาจากตัวกีตาร์ ดังก้องไปทั่วห้องพักเล็กๆ

ไม่รู้ทำไม เขารู้สึกว่าวันนี้ตัวเองเล่นได้สบายเป็นพิเศษ จากปกติที่นิ้วติดขัดกลายเป็นลื่นไหลคล่องแคล่วราวกับเคยฝึกซ้อมมาแล้วเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง เล่นไปได้ถึงระดับตามที่ใจอยากให้เป็น

ลู่เฉินใจสั่นวูบหนึ่ง ยืดหลังตรง เริ่มเล่นเพลงอย่างตั้งอกตั้งใจ

เขาเล่นและร้องเพลงพิราบโบยบิน

เพลงพิราบโบยบินคือเพลงซึ่งเป็นที่นิยมเมื่อสิบกว่าปีก่อนของนักร้องดังถานหง ท่วงทำนองไพเราะ ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในเพลงพื้นเมืองที่เหมาะกับการเล่นกีตาร์ที่สุด แต่การเล่นกีตาร์และการร้องต้องใช้ความสามารถสูงพอควร

ลู่เฉินไม่ได้เรียนด้านดนตรีมา เป็นเพียงผู้มีดนตรีเป็นงานอดิเรก เขาหัดเล่นกีตาร์มาหลายปีแล้ว เล่นเองร้องเองก็ยังสามารถทำให้สาวน้อยหลายคนหลงใหล

ว่าตามจริงก็คือ ตอนนั้นลู่เฉินที่ฐานะทางบ้านร่ำรวยใช้การเล่นกีตาร์เป็นเครื่องมือโอ้อวดตัวเองเท่านั้น

แต่พอจะนำมาใช้เลี้ยงชีพอย่างแท้จริง ความเป็นมือสมัครเล่นทำให้เขาเป็นได้แค่นักร้องในบาร์ ต้องมีคนขอถึงจะได้ร้องเพลง ถ้าไม่มีคนขอเพลงเขาก็เป็นได้อย่างมากสุดแค่ตัวประกอบฉาก เป็นชั้นล่างสุดในหมู่นักดนตรีที่บาร์

ลู่เฉินเคยร้องและเล่นเพลงพิราบโบยบินมาแล้ว แต่ความสามารถยังไม่ถึง นิ้วมือไม่อาจเล่นได้แม่นยำ อีกทั้งร้องไม่เข้าถึงอารมณ์ของเนื้อเพลง มีแต่ทำให้ผู้ฟังหัวเราะเยาะ

แต่ตอนนี้ที่ร้องเพลงพิราบโบยบินอยู่ เขาพบว่านิ้วที่ดีดกีตาร์ไม่มีความยากลำบากเลย เมื่อเปล่งเสียงขับกล่อม เสียงเพลงไพเราะก้องอยู่ในห้อง มีเสน่ห์ดึงดูดไปอีกแบบ

“ในความฝัน ฉันกลายเป็นพิราบโบยบินอยู่กลางฟ้าคราม ลาลาลา…”

ร้องจบแล้ว นิ้วมือของเขากดอยู่บนสายกีตาร์ ชะงักนิ่งไป

ทำไมเป็นแบบนี้

นี่เป็นเพลงที่เขาร้องและเล่นออกมาเองจริงๆ หรือ

ก๊อก! ก๊อก!

ทันใดนั้นมีคนมาเคาะประตูห้อง

ลู่เฉินดึงสติกลับมา วางกีตาร์ลงแล้วพูดว่า “เข้ามาเลย ประตูไม่ได้ล็อก!”

บานประตูถูกดันเปิดอย่างรวดเร็ว ชายผอมสูงใส่แว่นเดินเข้ามา ใบหน้ายิ้มแย้มด้วยความชื่นชม พุ่งเข้ามายกนิ้วโป้งให้ลู่เฉิน “ซุป’ตาร์ เยี่ยมยอดมาก!”

ลู่เฉินยิ้มตอบ “ถ้าอย่างนั้นนายต้องรีบตบรางวัลแล้ว เงินรางวัลนิดหน่อยไม่กี่พันกี่หมื่นก็พอ!”

“ถ้าอยากได้เงินฉันไม่มี มีแต่ชีวิตนี้ชีวิตเดียว!”

ชายหนุ่มสวมแว่นร้องเสียงดัง ทำท่าทางฆ่าได้หยามไม่ได้ เห็นแล้วชวนให้อยากเตะขาเขาทีหนึ่งแทบทนไม่ไหว

ชายหนุ่มสวมแว่นคนนี้เป็นเพื่อนบ้านของลู่เฉิน มีชื่อว่าหลี่เฟยอวี่ เป็นคนเมืองเซียงหนาน เข้ามาอยู่ในปักกิ่งได้สามปีแล้ว ตอนนี้เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายในร้านขายรถยนต์ 4S[2] แห่งหนึ่ง

ห้องชั้นใต้ดินปิดทึบ ทั้งยังกั้นด้วยผนังทำจากวัสดุกันไฟ คุณสมบัติเก็บเสียงแย่มาก ดังนั้นเมื่อลู่เฉินซ้อมร้องเพลงเล่นกีตาร์ เพื่อนบ้านรอบข้างล้วนได้ยินกันชัดเจน

นักร้องดังคือฉายาที่หลี่เฟยอวี่ตั้งให้ลู่เฉิน ถือเป็นการล้อเลียนด้วยความปรารถนาดี เพราะทั้งสองคนอายุไล่เลี่ยกัน นิสัยไม่เลวทั้งคู่ จึงกลายเป็นเพื่อนกัน เวลาว่างหลี่เฟยอวี่มักจะมาหาเขาที่ห้องเสมอ

หลี่เฟยอวี่ชอบร้องเพลงเช่นกัน แต่เสียงของเขาไม่ดี เวลาร้องเพลงเหมือนผีกำลังร้องไห้คร่ำครวญก็ว่าได้ เขาเองก็ชื่นชอบเพลงยอดนิยม เมื่อครู่ได้ยินลู่เฉินร้องเพลง ‘พิราบโบยบิน’ แล้วยังตกตะลึงเลย

“แต่พูดจริงๆ นะ เพื่อน…”

ล้อเล่นจบแล้ว หลี่เฟยอวี่เอ่ยอย่างจริงจังมากว่า “นายร้องเพลงนี้ได้ดีจริงๆ สไตล์อาจจะไม่ค่อยเหมือนกับถานหงเสียทีเดียว แต่เข้าถึงอารมณ์เพลงได้ดีมากเหมือนกัน ดีกว่าเพลงที่นายร้องเล่นทั่วไปเมื่อก่อนอย่างน้อยสิบเท่า!”

เขายกสิบนิ้วให้ อยากจะยกเท้าทั้งสองข้างขึ้นมาเพิ่มอีกด้วยซ้ำ

ลู่เฉินหัวเราะตอบ “ขอบใจ!”

เขารู้ว่าเมื่อก่อนตัวเองร้องเพลงไม่เอาไหนจริงๆ

“น่าแปลกจังเลย…”

หลี่เฟยอวี่ทำสีหน้าลึกลับ เขาคาดคะเนดูครู่หนึ่งแล้วกระซิบถามว่า “นี่เพื่อน นายคงไม่ได้ถูกเทพแห่งดนตรีเข้าสิงหรอกนะ หนุ่มน้อยไร้อนาคตได้รับวาสนาเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว จากนี้ไปก้าวเข้าสู่จุดสูงสุดของชีวิต ได้แต่งงานกับสาวสวยสุดเพอร์เฟกต์ ขับร้องบทเพลงทุกค่ำคืน…”

หลี่เฟยอวี่ยังมีงานอดิเรกอีกอย่างหนึ่งคืออ่านนิยายออนไลน์ จินตนาการจึงโลดแล่นเป็นพิเศษ

“ไปตายไป!”

ลู่เฉินใช้เท้าถีบไปอย่างไม่รู้จะยิ้มหรือร้องไห้ดี เพื่อตัดบทสนทนาไร้สาระของอีกฝ่าย

ทว่าความทรงจำของนักร้องชื่อดังสวีป๋อในความฝันปรากฏขึ้นในใจเขาชั่วพริบตาหนึ่ง…สวีป๋อไม่เพียงเป็นนักร้องที่โดดเด่นมาก ยังเก่งเรื่องการเล่นกีตาร์อีกด้วย ไม่ว่าจะเพลงบัลลาด (เพลงพื้นบ้าน) หรือเพลงโบราณก็สามารถเล่นออกมาได้ดีเยี่ยม

“ฉันหลบได้เว้ย!”

หลี่เฟยอวี่กระโดดหลบไปที่ประตูอย่างคล่องแคล่ว หัวเราะตอบว่า “นักร้องดัง ถ้านายได้ออกงานเพลง แล้วนายร้องและเล่นได้อย่างตอนนี้อีก ฉันกล้ารับประกันเลยว่านายจะต้องโด่งดัง!”

จะต้องโด่งดัง?

ลู่เฉินยิ้มขมขื่นพลางส่ายหัว ลุกขึ้นเดินไปปิดประตูห้อง

เมืองหลวงเป็นศูนย์รวมของคนเก่งมีฝีมือ และเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมแห่งชาติ ในบรรดาคนหลงกรุงเป็นพันเป็นหมื่นคน มีนักร้องนักดนตรีมากพรสวรรค์ไม่รู้ตั้งเท่าไร คนที่โด่งดังได้จริงๆ จะมีสักกี่คน?

อยากดังต้องมีพรสวรรค์ ความสามารถ เส้นสาย แล้วก็โชคช่วย ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้!

เขาลู่เฉินมีอะไรบ้าง?

อีกอย่าง การออกผลงานเพลงเป็นเรื่องง่ายเสียที่ไหน…

ทันใดนั้นเอง ในสมองของลู่เฉินคล้ายมีแสงสว่างแวบผ่าน จุดประกายความคิดของเขาทันที

ผลงาน? ใช่แล้ว ผลงานเพลง!

เขาพุ่งตัวไปที่โต๊ะหนังสือตัวเล็กเบื้องหน้า รีบเปิดโน้ตบุ๊กเครื่องเก่าของตนอย่างไม่รีรอ

ใช้เวลาเปิดเครื่องทั้งหมด 50 วินาทีเต็ม จากเดิมที่เคยชินแล้ว ตอนนี้กลับรู้สึกว่าแต่ละวินาทียาวนานเป็นปีกว่าจะเข้าถึงหน้าจอหลักได้ ลู่เฉินรีบเลื่อนเม้าส์ ออกแรงคลิกไปที่รูปโปรแกรมหนึ่งที่ไม่ได้เปิดมานานมากแล้ว

ราวกับว่านี่เป็นการเปิดประตูที่จะเปลี่ยนโชคชะตาของเขา!

…………………………………………………………………………

[1] 1 หยวนเท่ากับประมาณ 5 บาท

[2] ร้านขายรถยนต์ 4S เป็นตัวแทนขายรถยนต์ที่ให้บริการครบวงจรที่มีชื่อเสียงในจีน 4S ประกอบไปด้วย Sales, Spare Parts, Services และ Survey