บทที่ 818 โรคบ้าที่รักษาไม่หาย Ink Stone_Fantasy
ณ ฐานทัพฟอลคอนที่ 2
เวลานี้ ในห้องทำงานที่กว้างขวางซึ่งอยู่ชั้นบนสุดของอาคาร มีชายสองคนกำลังยืนอยู่
หนึ่งในนั้นยืนอยู่หน้าบานกระจกติดพื้น ด้านหน้าของเขา ผืนธงรูปเหยี่ยวสีแดงกำลังโบกสะบัดไปตามแรงลมอยู่บนเสาธง ดวงตาแดงก่ำที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยซึ่งเกิดจากการอดนอนของเขาฉายแววเย็นชา ราวกับกำลังจ้องตากับเหยี่ยวตัวนั้น
ส่วนชายอีกคนยืนอยู่ด้านหลังเขา และกำลังอ่านรายงานในมือให้ชายคนแรกฟัง “ทางฐานทัพที่ 1 ได้รวบรวมจำนวนเครื่องบินที่เรามีอยู่ในตอนนี้ รวมถึงจำนวนเครื่องบินขับไล่ที่ไม่ได้ใช้งานก็ถูกพวกเขานับรวมเข้าไปแล้ว นอกจากนี้ พวกเขาก็ยังเริ่มตรวจสอบประวัติของสมาชิกในค่ายเรา เรื่องนี้ฉันได้ถ่วงเวลาจนถึงที่สุดแล้ว…ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” จู่ๆ ชายคนนี้ก็เงยหน้า และพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ชายคนที่ยืนอยู่หน้าบานกระจกยกมือขึ้นโบก บอกว่า “เรื่องพวกนี้ไว้ว่ากันอีกที…จางอวี่ สถานการณ์ฝั่งน้องเขยฉันเป็นยังไงบ้าง?”
“เฮ้อ…เจสันได้ส่งข่าวกลับมาโดยใช้สัญญาณลับแล้ว บอกว่าเขาส่งทุกคนไปยังที่หมายอย่างปลอดภัยเรียบร้อย ตอนนี้ให้พักอยู่ที่คลังน้ำมัน แต่อวี่เหวินซวน พวกเราต้องฝากความหวังไว้กับหลิงม่อจริงๆ หรอ? นายก็รู้ ว่าเขาไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของฟอลคอนได้…” จางอวี่พูดเสียงเบาอย่างจนใจ
อวี่เหวินซวนหันขวับกลับมาทันที และพูดด้วยน้ำเสียงบ้าคลั่งเล็กน้อย “ฟอลคอนเองก็ไม่มีทางส่งคนมาทั้งค่ายอยู่แล้ว! พวกเขาเตรียมกำลังพลได้มากน้อยแค่ไหน ฉันรู้ดีแก่ใจ…ระยะทางก็คือแนวกันภัยแรกของเรา! ถ้าไม่อย่างนั้น พวกนั้นคงไม่มีทางเลือกที่จะประนีประนอมตั้งแต่แรกแล้ว ตอนนี้พวกนั้นไม่อยากประนีประนอมอีกต่อไปแล้ว คงคิดจะทดสอบความอดทนของฉัน และบีบบังคับให้ฉันยอมมอบอำนาจในมือให้ตัวเอง…สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ของของฉันคนเดียว อย่างน้อยกองทัพอากาศก็ไม่ใช่ของฉัน”
จู่ๆ เขาก็กระตุกมุมปากเผยรอยยิ้มประหลาด และพูดเสียงแปลกไปเล็กน้อย “ของที่ฟอลคอนต้องการจะแย่งไม่ใช่แค่ของฉัน แต่ยังมีของเขาด้วย เรื่องนี้แม้แต่ฉันยังทนไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ้าน้องเขยผู้ไม่เคยยอมเสียเปรียบผู้นั้นของฉันเลย นายคอยดูเถอะ เขาจะต้องเอาคืนฟอลคอนแบบทบต้นทบดอกอย่างแน่นอน พวกเราต้องการเขา และเรื่องนี้ก็จำเป็นต้องมีเขาเข้ามาเกี่ยวด้วย”
จางอวี่นิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถอนหายใจ เขาแกว่งรายงานในมือไปมา บอกว่า “เวลาที่พวกเขาเหลือให้เรา น้อยลงเรื่อยๆ แล้ว…นาย…รีบตัดสินใจแล้วกัน”
“ไม่…” อวี่เหวินซวนกลับส่ายหน้า “เป็นพวกเขาต่างหาก ที่เหลือเวลาน้อยเต็มทีแล้ว” จากนั้นเขาก็อ้าปากหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “อุวะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…”
จางอวี่มองอวี่เหวินซวนปากอ้าตาค้าง แล้วพูดเสียงเบา “โรคบ้านี่คงรักษาไม่หายแล้ว แต่ว่า” พูดถึงตรงนี้ สายตาเขาก็เปล่งประกายขึ้นมาเล็กน้อย “บางทีอาจจะตั้งความหวังได้จริงๆ…”
………..
“ตกลงพวกเขามีท่าทียังไงกันแน่ ฉันอยากรู้จะตายแล้ว…”
ในห้องทำงานอีกห้อง ชายหนุ่มอายุสี่สิบกว่าปีคนหนึ่งกำลังพูดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
เขาสวมชุดสูทเรียบตรง ตัดผมสั้นอย่างเป็นระเบียบ บนเส้นผมที่ชี้ตั้งขึ้นถูกพ่นด้วยสเปรย์จำนวนมาก ขณะที่พูด เขากำลังนั่งพิงอยู่บนโซฟาตัวหนึ่ง และลูบไล้ที่พักมือซึ่งเป็นหนังแท้อย่างพึงพอใจ “ที่นี่ไม่เลวเลยจริงๆ ถึงจะตั้งอยู่ในสถานที่ที่กันดารไปหน่อย แต่สิ่งอำนวยความสะดวกกลับครบถ้วน ใช้ชีวิตได้อย่างสบายเลยทีเดียว”
“ใช่สิ ฉันได้ยินมาว่าเจ้าแซ่หลิงนั่นเคยอยู่ที่นี่ด้วย ใช่ไหม?” จู่ๆ เขาก็โน้มตัวไปข้างหน้า แล้วถามขึ้น
ผู้ตอบเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง เธอวางเครื่องประดับชิ้นหนึ่งในมือลงทะนุถนอม แล้วตอบว่า “ได้ยินมาว่าอย่างนั้นค่ะ ตอนแรกที่ฉันบอกว่าจะพักที่นี่ ยังถูกเจ้าคนที่ชื่อโทมัสนั่นปฏิเสธด้วยล่ะ ถ้าหากไม่ใช่ว่าคุณรั้นจะเข้ามาให้ได้ แล้วอ้างว่าจะมาทำความเข้าใจเขา ฉันก็คงจะพาคุณเข้ามาลำบาก”
“ทำไมถึงจะเขามาไม่ได้?” ชายหนุ่มยิ้มเย็นชา บอกว่า “เขาเป็นแค่คนนอกคนหนึ่ง ทำไมต้องได้รับอภิสิทธิ์ด้วย? อวี่เหวินซวนให้อภิสิทธิ์เขา แล้วดูสิตอนนี้เขาตกอยู่ในสภาพไหน? แล้วยังมีซูเชี่ยนโหรวอีกคน ตอนนี้เธอเองก็เอาตัวรอดลำบากเหมือนกัน…ไม่แน่ อีกหน่อยห้องนี้อาจเป็นของฉันก็ได้…” เขากวาดมองรอบๆ จากนั้นก็ยืนขึ้นอย่างพึงพอใจ “ไปกันเถอะ เข้ามาครั้งหน้า ฉันก็จะกลายเป็นเจ้าของห้องนี้แล้ว แต่ก่อนหน้านั้น ฉันหวังว่าเขาจะกลับมาที่นี่ซักครั้ง”
หญิงสาวอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายกลับเลือกที่จะเงียบ เธอเพียงเดินออกไปพลางกวาดมองรอบห้องไปด้วย ในวินาทีที่ปิดประตู เธอยังอดคิดในใจไม่ได้ว่า “ถึงคนคนนั้นจะกลับมา เขาก็คงไม่อาจเดินเข้าที่นี่ได้ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่หรอก…แต่ถ้าเขารู้สถานการณ์ในตอนนี้ ก็คงไม่กล้ากลับมาอีกแล้วล่ะมั้ง? เฮ้อ…”
………..
หลังจากกินข้าวในห้องพักเสร็จ หลิงม่อก็หันไปสนใจโซน B ของคลังน้ำมันแห่งนี้อีกครั้ง หรือพูดให้ถูกก็คือ หันไปสนใจเหล่าสัตว์กลายพันธุ์ที่มากินอาหารพวกนั้น…แต่เรื่องนี้เขาไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยตัวเอง มีอวี๋ซือหรานกับเสี่ยวป๋ายอยู่ พวกเธอย่อมสามารถหาวิธีล่อสัตว์กลายพันธุ์เหล่านั้นออกมา จากนั้นก็จัดการสังหารได้อยู่แล้ว
แต่เพื่อความปลอดภัยเป็นหลัก หลิงม่อจึงให้พวกเย่เลี่ยนตามไปสมทบ และเขาก็สังเกตสถานการณ์ฝั่งนั้นผ่านสายสัมพันธ์ทางจิตอย่างไม่คลาดสายตา
ในที่สุด สามสาวซอมบี้ก็มีโอกาส “ปลดปล่อย” ซักที พวกเธอแทบจะตีตัวออกห่างไปจากคนกลุ่มนี้ และหายตัวไปบนเส้นทางสู่โซน B ทันทีอย่างอดใจไม่ไหว และนั่นทำให้หลิงม่อจนใจ ดูเหมือนไม่ว่ายังไงพวกเธอก็ยังคงไม่ชอบอยู่กับมนุษย์ ความปรารถนาที่มีต่อการต่อสู้และการเข่นฆ่าตามสัญชาตญาณ ก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลยซักนิด
เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดดังมากจากทิศทางคลังน้ำมันเป็นพักๆ บางครั้งก็มีเสียง “แบ๊ะ” ของเสี่ยวป๋ายดังผสมขึ้นมาด้วย ทว่ารายละเอียดเล็กๆ เหล่านี้มีเพียงหลิงม่อเท่านั้นที่ฟังออก คนอื่นๆ ต่างพากันตื่นตระหนกเพราะเสียงกรีดร้องเท่านั้น
“น่าเสียดายที่เฮยซือไม่ยอมบอกฉันว่าเมื้อกี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไม่รู้ว่าพวกเธอเจออะไรในป่าหรือเปล่า…” หลิงม่อคิดอย่างระอา
ในตอนนั้นเอง อยู่ๆ ม่านตาเขาก็หดตัวลง เขาหันขวับไปมอง จากนั้นก็ถอนหายใจ บอกว่า “เธอเองหรอ…”
“อื่ม…” ใครคนหนึ่งเดินออกมาจากเงามืดข้างกำแพง เธอเดินเข้ามายืนข้างหลิงม่อ แล้วยกมือวางบนรั้วกั้นข้างหน้า จากนั้นก็มองตามสายตาของเขาออกไปไกล “นายดูอะไรอยู่?”
“ดูไปเรื่อยแหละ” หลิงม่อตอบ
สวี่ซูหานเงียบ สีหน้าของเธอถูกบดบังไว้ใต้หน้ากาก แต่ในมุมที่หลิงม่อยืนอยู่ เขากลับสามารถมองเห็นเธอกำลังเม้มปากอยู่
ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็กระตุกมุมปากขึ้นแล้วบอกว่า “ฉันไม่เชื่อ ฉันรู้ว่าพวกเธออยู่ที่นั่นกันหมด ฉัน…ได้กลิ่นเลือด นายรู้ไหม ว่าลมมันพัดมาทางนี้?”
พอเห็นหลิงม่อไม่ตอบ สวี่ซูหานก็พ่นลมออกมาเบาๆ บอกว่า “ได้กลิ่นแล้ว ร่างกายของฉันก็อยากตามไปเหมือนกัน แต่สมองของฉันกลับหวาดกลัว ฉันรู้ว่าตอนฉันเป็นคนฉันคิดยังไง แต่พอถึงตอนนี้ ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองในตอนนั้นอาจตัดสินใจผิดก็ได้…แต่พอคิดดูดีๆ อีกครั้ง อย่างน้อยฉันก็ยังรู้ว่าอะไรคือความกลัว ดังนั้นฉันก็เลยต่างจากซอมบี้ตัวอื่น…” เธอชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็พูดเสียงเบา “ขอโทษที ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น…”
“ไม่เป็นไร…สำหรับฉัน พวกเธอก็ต่างจากซอมบี้ตัวอื่นเหมือนกัน เธอก็เหมือนกัน” หลิงม่อยิ้ม และพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ
สวี่ซูหานรู้สึกซาบซึ้งใจเล็กน้อย เธอครุ่นคิด แล้วบอกว่า “นายเองก็ไม่ค่อยเหมือนมนุษย์คนอื่นเหมือนกัน…ฉันหมายถึง ท่าทีที่นายแสดงต่อซอมบี้”
“ฉันจะถือว่าเธอชมฉันแล้วกัน” หลิงม่อบอก
เขาอดมองสวี่ซูหานครู่หนึ่งไม่ได้ ถึงผู้ประกาศข่าวสาวคนนี้จะกลายเป็นซอมบี้ไปแล้ว แต่ในบางคำพูดและการกระทำของเธอก็ยังหลงเหลือเงาของเธอในอดีตอยู่ เพียงแต่เวลาที่เธอต้องเผชิญหน้ากับมนุษย์และซอมบี้ตัวอื่น เงาในอดีตเหล่านี้กลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของความกลัว และถูกตัวเธอเองมองข้ามไปอย่างไม่รู้ตัว
“หลิงม่อ ฉันกำลังคิดว่า…” สวี่ซูหานพูดขึ้นอีกครั้ง “ต่อไปฉันจะสามารถพูดคุยกับคนอื่นได้อย่างสงบสุข เหมือนเวลาที่คุยกับนายไหม? ไม่ต้องคอยใส่หน้ากากปิดบังใบหน้า แต่พูดคุยกับคนอื่นแบบมองหน้ากันตรงๆ?” พูดไป จู่ๆ เธอก็ยกมือขึ้น แล้วดึงหน้ากากลงเบาๆ
ในเสี้ยววินาทีที่ดวงตาสีแดงเลือดคู่นั้นปรากฏ หลิงม่อเหมือนเห็นน้ำรื้นอยู่ในนั้นรางๆ ทว่าไม่นาน ดวงตาคู่นั้นก็หายไปจากสายตาเขา สิ่งที่เขามาแทนที่กลับเป็นกลิ่นหอมที่จมูกสัมผัสได้…
สวี่ซูหานวางศีรษะไว้บนไหล่เขา สองมือของเธอโอบกอดเขาไว้เบาๆ แล้วบอกว่า “อย่าขยับ ขอฉันดมดูดีๆ หน่อย ตอนนี้นายเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวที่จะให้ฉันดมได้อย่างนี้ ความจริงฉันกลัวมากจริงๆ นะ ฉันกลัวว่าต่อไปฉันจะไม่ได้กลิ่นนี้อีก และกลัวว่าหากฉันอยากได้กลิ่นนี้อีกครั้ง ฉันอาจจะอยากกัดจนห้ามใจไม่ไหว…”
“เธอ…”
หลิงม่อเพิ่งจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้ แต่ในตอนที่เขากำลังจะถาม กลับถูกสวี่ซูหานพูดแทรกก่อน “แล้วก็ไม่ต้องถามด้วย ถ้านายอยากพูดอะไร ก็ช่วยเล่าเรื่องของพวกนายให้ฟังหน่อยแล้วกัน ฉันสัมผัสได้ ว่านายชอบพวกเธอมาก ใช่ไหม? วางใจเถอะ ฉันไม่อัดเสียงเรื่องพวกนี้หรอก แต่ถึงจะอัด ฉันก็จะอัดมันไว้ในสมองของฉันเท่านั้น”
พูดถึงตรงนี้ เธอเหมือนหัวเราะออกมาเบาๆ ขณะเดียวกันก็เหมือนเธอออกแรงเพิ่มที่แขนเบาๆ
หลิงม่อเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า “ได้ ถ้างั้นเริ่มจาก…วันที่ฉันรู้จักเย่เลี่ยนก็แล้วกัน…”
ใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน หลิงม่อกับสวี่ซูหานยืนอยู่บนทางเดินชั้นบนสุดของอาคารอย่างเงียบงัน แต่บนลานกว้างข้างล่าง ยังมีเงาร่างของใครคนหนึ่งกำลังเงยหน้ามองพวกเขาอยู่
หวังหลิ่นถลึงตาจ้องพวกเขาอย่างไม่พอใจสุดขีด จากนั้นก็แค่นเสียงแรงๆ “คนเจ้าเล่ห์! คนหลายใจ! พวกนายสองคนรอฉันก่อนเถอะ!”
หลิงม่อมองลงไปข้างล่างเหมือนรับรู้ได้รางๆ แต่กลับไม่พบอะไร ลานกว้างภายใต้แสงจันทร์โล่งเปล่าไร้เงาคน รอบข้างมีเพียงเสียงตะโกนของเหล่าหลันที่ดังออกมาจากห้องใดห้องหนึ่งในอาคารเป็นระยะ ไม่นานเสียงคำรามของของมู่เฉินก็ดังตามมาติดๆ ครูฝึกท่านนี้เป็นคนอารมณ์ร้าย แต่เขากลับพยายามตะโกนเสียงเบามาก “ชิท! ตาเฒ่าโรคจิต ช่วยเงียบหน่อยได้ไหม!…เฮ้ย ยัยหนูเธอหยิบปืนขึ้นมาทำไม!…ไอ้ตาขาว แกมองหาอะไรวะ? ไสหัวกลับไปเขียนของแกต่อไป…”
“ฮ่าฮ่า…” จู่ๆ สวี่ซูหานก็หัวเราะขึ้นมา หัวเราะไปหัวเราะมา แขนของเธอก็ยิ่งโอบรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ…
—————————————————————————–