*เคร้ง**เคร้ง**เคร้ง* เสียงของแข็งปะทะกันดังขึ้น 3 ครั้งเมื่อโล่ทั้ง 3 ถูกกระบองหนามปัดกระเด็นออกไป อนิจจา หลางเซี่ยพลันตัวแข็งทื่อไปอีกครั้ง และครั้งนี้เขาก็ไม่อาจหลบหรือปัดป้องโล่ 2 ชิ้นสุดท้ายได้ พริบตาเดียวก็มีเสียงบางอย่างหล่นดังตุ๊บ แขนขวาซึ่งถือกระบองหนามถูกฟันขาดจากไหล่ด้วยโล่ชิ้นหนึ่ง ส่วนโล่อีกชิ้นก็กระแทกเข้าที่ส่วนท้องของเขาอย่างโหดเหี้ยม แม้ว่าเขาจะมีเกราะพลังปราณสวรรค์ที่ทรงพลังแผ่ออกมาจากร่าง แต่ระดับพลังปราณของหลินเทียนอ้าวก็ยังถือว่าเท่ากันหรือสูงกว่าเขาเล็กน้อย ส่วนคมของโล่ชิ้นนั้นจึงเกือบจะหั่นร่างเขาออกเป็นสองส่วนทันที
โล่ทั้ง 5 ลอยกลับมารวมกันกลายเป็นโล่หอคอยขนาดใหญ่อีกครั้ง หลินเทียนอ้าวเปิดใช้ทักษะโจมตี พุ่งกระแทกหลางเซี่ยที่ได้รับบาดเจ็บหนักให้ลอยกระเด็นกลับไปด้วยแรงปะทะ
ฉับพลันนั้นเอง ลูกธนูดอกหนึ่งพลันพุ่งเข้าใส่ร่างที่ลอยหวืออยู่กลางอากาศ ปักลึกลงไปกลางท้องของหลางเซี่ยที่บาดเจ็บพร้อมกับระเบิดออกมาอย่างรุนแรง ในที่สุดร่างที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสของหลางเซี่ยก็ถูกแยกออกเป็นสองส่วนจากแรงระเบิดครั้งนั้น และเขาก็ตกลงไปด้านล่างเวทีด้วยสภาพร่อแร่ใกล้ตาย
เมื่อหลางเซี่ยหล่นลงกระแทกพื้นพร้อมเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น ทั่วทั้งจตุรัสก็ตกอยู่ในความเงียบทันที
ตั้งแต่เริ่มงานประลองยังไม่มีผู้เสียชีวิตเลยแม้แต่รายเดียว ทว่าในวันที่มีการประลองอันตื่นเต้นเร้าใจนี้กลับมีคนตาย 3 คนติดต่อกันแล้ว อีกทั้งทุกคนยังตายด้วยวิธีการที่สยดสยองมาก นี่แทบจะเป็นบันทึกหน้าใหม่ในประวัติศาสตร์งานประลองมณีสวรรค์เลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประลองในลักษณะที่อีกฝั่งไล่ต้อนสังหารคู่ต่อสู้อยู่ฝ่ายเดียว
ครั้งนี้การตายของหลางเซี่ยก็เกิดจากการโจมตีสุดท้ายจากโจวเหว่ยชิงเช่นกัน ขณะที่หลินเทียนอ้าวกำลังระดมโจมตีอีกฝ่ายอย่างโหดเหี้ยม จู่ๆ โจวเหว่ยชิงก็ยกมือซ้ายขึ้นมาและแสงสีเขียวก็พุ่งตรงเข้าหาหลางเซี่ยทันที แน่นอนว่าผลของทักษะนั้นทำให้หลางเซี่ยต้องหยุดชะงักไปชั่วขณะ
มันคือทักษะโซ่ตรวนวายุของโจวเหว่ยชิงนั่นเอง ด้วยระดับพลังปราณของเขา แน่นอนว่าทักษะนี้ย่อมไม่อาจควบคุมหรือกักขังหลางเซี่ยได้ ทว่าสิ่งที่มันทำได้กลับเป็นเพียงการทำให้เขาขยับช้าลงในเสี้ยววินาที แต่นั่นก็คือช่วงเวลาที่ตัดสินความเป็นความตายของหลางเซี่ย แน่นอนว่าการระเบิดครั้งสุดท้ายก็เป็นผลมาจากลูกศรธนูราชันย์เช่นกัน…
คราวนี้สมาชิกที่เหลือของกลุ่มนักรบป่ายต้าไม่หลงเหลือปฏิกิริยาใดๆ อีกเพราะพวกเขาทั้งหมดกำลังอยู่ในภาวะตกละลึงสุดขีด ไม่มีใครคาดคิดว่าหัวหน้าและรองหัวหน้าของพวกเขาจะตายบนเวที ในขณะนั้นจิตวิญญาณการต่อสู้ของพวกเขาจึงแทบจะแหลกสลายไปในพริบตา
หลินเทียนอ้าวเก็บโล่ประสานศาสตรามณียุทธ์ของเขาแล้วเดินไปหาโจวเหว่ยชิง เขาตบไหล่อีกฝ่ายแล้วพูดด้วยแสงวาววับในดวงตา “ทำได้ดีมาก”
โจวเหว่ยชิงพยักหน้าให้อีกฝ่ายเงียบๆ แน่นอนว่าเขาไม่ได้รู้สึกดีเวลาสังหารผู้อื่น แต่นี่เป็นเรื่องบาดหมางของศัตรูคู่แค้นระหว่าง 2 อาณาจักร หากเขาไม่ลงมือก็ถูกอีกฝ่ายฆ่าตายอยู่ดี ในเวลานั้นเขายังได้กรุ่นคิดถึงความจริงที่ถังเซียนบอกกับเขาเมื่อหลายปีก่อนอีกครั้ง ในการต่อสู้ใดก็ตาม ทักษะควบคุมมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในการต่อสู้เป็นกลุ่ม!
เมื่อเขาและหลินเทียนอ้าวรวมพลังและความแข็งแกร่งเข้าด้วยกัน เห็นได้ชัดว่าพลังพวกเขาด้อยกว่าหลางเซี่ยและชิงเฉียน ไม่ว่าชิงเฉียนจะถูกสูบพลังออกไปก่อนหน้านี้มากแค่ไหนก็ตาม ทว่าเป็นเพราะทักษะควบคุมที่ทรงพลังของโจวเหว่ยชิงที่ส่งผลให้เขาสามารถควบคุมจังหวะและทิศทางของการต่อสู้ทั้งหมดเอาไว้ในมือ ทำให้พวกเขาสามารถคว้าชัยชนะมาได้แบบท่วมท้น
มู่เอินเคยบอกกับโจวเหว่ยชิงว่า สิ่งที่น่ากลัวที่สุดเกี่ยวกับคนผู้หนึ่งไม่ใช่พลังปราณสวรรค์ ทักษะ ความแข็งแกร่งทางกายภาพ หรือแม้แต่รังสีสังหารของเขา แต่เป็นสติปัญญาต่างหาก แม้แต่มนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีพลังใดๆ ก็สามารถสังหารจ้าวมณีสวรรค์ได้หากใช้แผนการที่ชาญฉลาด แม้ว่าสิ่งนั้นอาจจะดูเป็นไปไม่ได้เลยก็ตาม
แน่นอนว่านี่ต้องเป็นการแข่งขันที่ตื่นเต้นที่สุดตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ ทว่าไม่มีผู้ชมคนใดส่งเสียงโห่ร้องให้กำลังใจเลย ถึงอย่างไรพวกเขาเป็นพลเมืองธรรมดาและไม่มีใครเคยเห็นคนตายต่อหน้าต่อตาตัวเองมาก่อน แม้ว่าพวกเขาจะยืนอยู่ห่างจากเวทีพอสมควร แต่ทุกคนก็ยังสัมผัสถึงบรรยากาศน่าขนลุกบนเวทีได้
ในที่สุดก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นทำลายความเงียบ เป็นผู้ตัดสินที่ประกาศชัยชนะของกลุ่มนักรบเฟยหลี่นั่นเอง “การแข่งขัน 2 ต่อ 2 ชัยชนะเป็นของกลุ่มนักรบเฟยหลี่…”
ทั้งหลินเทียนอ้าวและโจวเหว่ยชิงกระโดดลงมาข้างล่างโดยมีอ้อมกอดอันอบอุ่นของเพื่อนร่วมกลุ่มคอยต้อนรับอย่างตื่นเต้น
ขี้เมาเป่าหัวเราะออกมาเสียงดัง “หัวหน้า เหว่ยชิง จากนี้ไปพวกท่านคือวีรบุรุษของอาณาจักร! นี่มันยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว! สามารถฆ่าได้แม้กระทั่งหลางเซี่ย…ฮ่าๆๆๆๆ!”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดผู้ตัดสินก็กล่าวอย่างเคร่งขรึม “นัดที่ 4 การต่อสู้แบบ 1 ต่อ 1 ทั้งสองฝ่ายโปรดส่งตัวแทนออกมา คะแนนปัจจุบันคือ 2 ต่อ 1 โดยมีกลุ่มนักรบเฟยหลี่เป็นผู้นำ” สถานการณ์เป็นไปตามแผนของโจวเหว่ยชิง ในขณะนี้พวกเขาเหลืออีกแต้มเดียวก็จะชนะ
กลุ่มเฟยหลี่ทั้งหมดมองไปที่โจวเหว่ยชิงอีกครั้ง และโจวเหว่ยชิงก็พยักหน้าให้พวกเขาอย่างมั่นใจก่อนจะก้าวขึ้นไปบนเวทีอีกครั้ง
แท้จริงแล้วเมื่อสักครู่โจวเหว่ยชิงได้ใช้พลังปราณสวรรค์ไปเป็นจำนวนมหาศาล แต่หากใครจะดูถูกเขาเพราะสิ่งนั้นย่อมเป็นความผิดพลาดร้ายแรงอย่างยิ่ง เพราะท้ายที่สุดแล้วไม่มีใครรู้ว่าอัตราการฟื้นฟูพลังปราณสวรรค์ของเขาเร็วแค่ไหน ภายใต้พลังดูดกลืนอย่างเต็มรูปแบบของหลุมดำพลังปราณทั้ง 13 ณ จุดตายต่างๆของเขา ใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง โจวเหว่ยชิงก็สามารถฟื้นฟูพลังปราณทั้งหมดให้กลับมาเต็มได้อีกครั้งแล้ว อันที่จริงนั่นอาจเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดเกี่ยวกับสมรรถภาพในการต่อสู้ของเขา ในสนามรบขนาดใหญ่ จ้าวมณีสวรรค์ที่มีอัตราการฟื้นตัวเช่นเขาอาจจะน่ากลัวกว่าจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 6 ชุดด้วยซ้ำ!
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาวิชาเทพอมตะสร้างเจ็บปวดและทรมานให้กับโจวเหว่ยชิงมาก แต่เมื่อเขาเข้าสู่วิชาส่วนที่ 2 และเหนือขึ้นไปกว่านั้น ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็เข้าใจความหมายของคำว่า “ความสำเร็จย่อมแลกมาด้วยความเจ็บปวด” อันที่จริงสิ่งที่มาพร้อมกับความทุกข์ทรมานและประสบการณ์ใกล้ตายก็คือประโยชน์อันน่าประทับใจเช่นนี้นั่นเอง
เมื่อเห็นโจวเหว่ยชิงขึ้นไปบนเวทีอีกครั้ง ดวงตาของกลุ่มนักรบป่ายต้าทั้งหมดก็กลายเป็นสีแดงก่ำ เมื่อปราศจากผู้นำคอยยับยั้งพวกเขา ทุกคนต่างก็โต้เถียงและพยายามที่จะเป็นตัวแทนขึ้นไปต่อสู้เพื่อสังหารโจวเหว่ยชิง
ทว่าในเวลานั้นหลางเซี่ยกลับยกมือขึ้น เขาถูกนำตัวไปที่เรือนพักของพวกเขาก่อนหน้านี้แล้ว ในขณะที่กำลังหอบหายใจเฮือกสุดท้าย เขาก็คว้าแขนเสื้อของสมาชิกคนหนึ่งเอาไว้
แม้ว่าร่างของเขาจะถูกตัดออกเป็นสองท่อนและไม่มีทางช่วยเหลือเขาได้แล้ว แต่ด้วยความแข็งแกร่งของเขา เขาจึงยังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกเป็นเวลาช่วงสั้นๆ
“หัวหน้า…ท่าน…” สมาชิกจากอาณาจักรป่ายต้าคนอื่นๆ เพ่งมองไปยังหลางเซี่ยที่กำลังใกล้ตาย ร่างกายของพวกเขาพลันสั่นสะท้าน
ในที่สุดหลางเซี่ยก็เค้นคำพูดออกมา เสียงของเขาแหบต่ำในขณะที่พูดอย่างอ่อนแรงทว่าหนักแน่น “ยอมแพ้ ข้าสั่งให้พวกเจ้ายอมแพ้ พวกเราจะสูญเสียไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว เราต้องแก้แค้นแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ อย่าตกหลุมพรางของพวกมัน…ข้าไม่ต้องการให้พวกเจ้าตาย พวกเจ้าคือยอดคน เป็นผู้ที่มีความสามารถมากที่สุดในอาณาจักรของเราในรุ่นนี้ วันหนึ่เจ้าจะต้องไปยืนอยู่ในสนามรบและแก้แค้นให้พวกเรา…”
เมื่อเขาอ้าปากพูดคำสุดท้าย สัญญาณชีวิตก็ขาดหายไปในที่สุด ศีรษะห้อยของเขาลงขณะที่ปลดปล่อยลมหายใจเฮือกสุดท้ายออกมา
แม้ทุกคนจะยังคงฮึดฮัดไม่เห็นด้วย แต่สมาชิกกลุ่มนักรบป่ายต้าก็ไม่มีใครฝ่าฝืนคำสั่งสุดท้ายของหลางเซี่ย ในที่สุดพวกเขาก็กล่าวยอมแพ้ไป อย่างไรก็ตาม โจวเหว่ยชิงที่ยืนอยู่บนเวทีก็ยังสามารถมองเห็นความเกลียดชังจากดวงตาแดงก่ำของพวกเขาได้อย่างชัดเจน กลุ่มนักรบป่ายต้าเดินออกจากจตุรัสพร้อมกับซากศพของสหายที่ร่วงโรยไปแล้วทั้ง 3 อย่างช้าๆ
ดวงตาของโจวเหว่ยชิงนิ่งสงบ เขาไม่ได้พึงพอใจกับความตายตรงหน้าและไม่เคยจะชินกับมัน อย่างไรก็ตาม เขารู้ว่าความเกลียดชังระหว่างอาณาจักรนั้นไม่สามารถแก้ไขได้ง่ายๆ ทุกอย่างก็ไม่มีใครถูกหรือผิด มีเพียงการต่อสู้ระหว่างสองฝ่ายเท่านั้น
ชัยชนะในครั้งนี้เกือบจะรับประกันได้ว่าอาณาจักรเฟยหลี่จะอยู่ใน 8 อันดับแรก แน่นอนว่าพวกเขายังคงมีการต่อสู้รออยู่ข้างหน้าอีก แต่หากไม่นับรวมกลุ่มตัวเต็งในสาย กลุ่มนักรบป่ายต้าก็เป็นคู่ต่อสู้ที่จัดการยากได้สุดในสายการประลองที่ 3 ของพวกเขาแล้ว ตอนแรกอาณาจักรอื่นๆ บางแห่งยังคงตั้งความหวังว่าทั้ง 2 อาณาจักรใหญ่จะมุ่งมั่นโค่นล้มซึ่งกันและกันจนพินาศย่อยยับกันไปทั้งคู่ เปิดโอกาสให้พวกเขาสามารถขโมยตำแหน่งที่ 2 ในสายไปได้อย่างโชคดี อนิจจา ความหวังเล็กๆ นี้กลับถูกทำลายลงด้วยชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของกลุ่มนักรบเฟยหลี่
การประลองยังคงดำเนินต่อไป แต่หลังจากผ่านการต่อสู้นองเลือดครั้งนั้น การต่อสู้ที่เหลือก็ดูเหมือนจะจืดชืดไร้สีสันไปในทันที
นอกจากนี้ ความประทับใจที่ผู้คนมีต่อกลุ่มนักรบเฟยหลี่ก็เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก และแม้แต่คนที่ไม่ได้มองพวกเขาในฐานะคู่แข่งที่น่าจับตาก็ต้องกลับไปพิจารณากันใหม่อีกครั้ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโจวเหว่ยชิงได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของเขาตลอดการต่อสู้ครั้งนี้ เช่นเดียวกับหลินเทียนอ้าว หากไม่มีความแข็งแกร่งและความหนักแน่นของเขา ในฐานะหินก้อนใหญ่ที่ตั้งขวางกระแสน้ำไหลเชี่ยวกราก ไม่ว่าแผนการและทักษะควบคุมของโจวเหว่ยชิงจะโดดเด่นมากเพียงไหน พวกเขาก็ย่อมไม่สามารถเอาชนะหลางเซี่ยและชิงเฉียนไปได้แน่นอน นับประสาอะไรกับการฆ่าพวกเขาได้เช่นนี้
กลุ่มนักรบเฟยหลี่ยังคงรวมตัวกันอยู่ในเรือนพักขณะที่กลุ่มอื่นๆทยอยออกไปรับประทานอาหารกลางวันกันช้าๆ พวกเขายังคงตื่นเต้นกันอยู่ ทั้งหมดจึงนั่งพูดคุยกันไม่ยอมหยุดปาก และเย่เป่าเปาก็ชกเข้าที่ไหล่โจวเหว่ยชิงไปหนึ่งที “ทำได้ดีมาก เจ้าช่วยข้าแก้แค้นได้ดีจริงๆ ข้าไม่กลัวที่จะถูกคนอื่นด่าว่าทีหลังแล้ว! ฮ่าๆ! สิ่งเดียวที่ข้ากังวลตอนนี้คือ…ผู้ชมที่ได้เห็นฉากนองเลือดแบบนี้ พวกเขาจะยังกินอาหารกลางวันกันได้อยู่หรือไม่?”
หลินเทียนอ้าวยิ้มแล้วพูดอย่างจริงจัง “เอาล่ะทุกคน ข้ามีเรื่องจะคุยกับพวกเจ้าหลังจากการต่อสู้ในวันนี้ ในแง่ของการบังคับบัญชา ข้าอาจจะเป็นผู้นำที่มั่นคงและหนักแน่น แต่บางทีก็อาจจะเถรตรงมากเกินไป แผนการของเหว่ยชิงนั้นมีความสร้างสรรค์มาก เป็นรูปแบบที่ทรงพลังและไร้ข้อจำกัดราวกับม้าสวรรค์พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ข้าจึงอยากจะให้เหว่ยชิงเป็นผู้สั่งการการต่อสู้ในอนาคต มีใครจะคัดค้านหรือไม่?”
คำสั่ง แผนการ การตัดสินใจ และแม้กระทั่งพลังของโจวเหว่ยชิงกลายเป็นที่ยอมรับของสหายทุกคนเรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะหลังจากการแข่งขันแบบ 2 ต่อ 2 ในครั้งนี้ แม้แต่จ้าวมณีสวรรค์ระดับ 5 ชุดอย่างเซียวเอี๋ยนและขี้เมาเป่าก็ยังขยาดโจวเหว่ยชิงไปเล็กน้อยหลังจากที่ได้เห็นการต่อสู้ของเขา พวกเขารู้ดีว่าหากตนเป็นหลางเซี่ยหรือชิงเฉียน พวกเขาก็อาจทำได้ไม่ดีไปกว่าทั้งสองคนนั้นแน่!
ทั้งกลุ่มเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของหลินเทียนอ้าว จากนั้นสถานะของโจวเหว่ยชิงในกลุ่มก็สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยที่เขาเป็นจะเป็นรองเพียงหลินเทียนอ้าวเท่านั้น
โจวเหว่ยชิงยืดตัวอย่างเกียจคร้าน หลังจากได้พักผ่อนในช่วงเวลาที่ผ่านมา พลังปราณสวรรค์ของเขาก็ฟื้นตัวเกือบเต็มที่แล้ว “กลับกันเถอะ ไม่มีอะไรให้เราดูอีกแล้ว คู่ต่อสู้คนต่อไปของเราอย่างกลุ่มนักรบเค่อโอวนั้นจัดการค่อนข้างง่าย ดังนั้นเราควรใช้เวลา 2-3 วันนี้พักผ่อนและฟื้นฟูร่างกายให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุดเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ครั้งต่อๆไป”
ขณะที่ทุกคนกำลังลุกขึ้นยืน ขี้เมาเป่าก็พูดขึ้นว่า “เหว่ยชิง เจ้าเป็นสหายที่บ้าบิ่นที่สุดที่ข้าเคยเห็นมา แต่กลับไม่ได้โง่เขลาเลยแม้แต่น้อย หัวหน้าพูดถูกจริงๆ กลยุทธ์ที่สร้างสรรค์และไร้ข้อจำกัดของเจ้านั้นน่าตกตะลึงสำหรับพวกเราและศัตรูของเรามาก ข้าจึงเห็นด้วยอย่างยิ่งกับหัวหน้า แต่ก็มีสิ่งสำคัญที่ข้าจะต้องพูด…เจ้าควรจะให้ข้าออกไปสู้ในรอบต่อไปบ้าง ดูสิ ข้าก็อยากจะขึ้นเวทีบ้างนะเฟ้ย!”
โจวเหว่ยชิงหัวเราะและพูดว่า “ฮ่าฮ่า แม้ว่าท่านจะไม่อยาก ข้าก็จะเป็นคนผลักท่านขึ้นไปเอง ท่านและเซียวเอี๋ยนเป็นถึงอาวุธลับของกลุ่มเราเชียวนะ!” เรื่องนี้เขาไม่ได้พูดเกินจริง ทั้งขี้เมาเป่าและเซียวเอี๋ยนเป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 5 ชุด แต่พวกเขายังไม่เคยขึ้นไปบนเวทีเลยสักครั้ง ในกลุ่มอื่นๆ พวกเขาอาจได้เป็นนักรบลำดับต้นๆ หรือหัวหน้ากลุ่มเลยด้วยซ้ำ! แม้ว่าความแข็งแกร่งในด้านการต่อสู้ของพวกเขาจะอ่อนแอกว่าหลินเทียนอ้าวเล็กน้อย แต่ทั้งคู่ก็ยังเป็นอัจฉริยะผู้โดดเด่นอย่างไม่ต้องสงสัย เห็นได้ชัดจากการที่พลังปราณพวกเขาสามารถมาถึงระดับดังกล่าวได้ด้วยอายุเพียงเท่านี้ ขี้เมาเป่าอายุเพียง 27 ปี ส่วนเซียวเอี๋ยนนั้นอายุน้อยกว่า เพราะเขาอายุ 26 เท่านั้น! และทั้งคู่ก็อายุน้อยกว่าหลินเทียนอ้าวด้วย!
เมื่อกลุ่มนักรบเฟยหลี่กลับไปที่โรงเตี๊ยมของพวกเขา โจวเหว่ยชิงก็รับประทานอาหารมื้อใหญ่ รวบรวมน้ำแล้วมุ่งหน้ากลับไปที่ห้องของเขาเพื่อเตรียมพร้อมที่จะเริ่มการฝึกอัดทักษะอีกครั้ง ขณะที่เขากำลังจะปิดประตู จู่ๆ หลินเทียนอ้าวก็เดินเข้ามาหาเขาก่อน
“เหว่ยชิง ข้าต้องคุยกับเจ้า…” หลินเทียนอ้าวพูดอย่างลังเล
โจวเหว่ยชิงจึงรีบเชิญเขาเข้ามา แม้หลินเทียนอ้าวจะแพ้พนันและเป็นผู้ติดตามของเขา แต่โจวเหว่ยชิงก็ยังยอมรับในตัวหลินเทียนอ้าวและให้ความเคารพอีกฝ่ายมาก
…………………………………………………………