“ท่านพี่ ข้าอยากจะรู้ว่าใครความคิดสร้างสรรค์ถึงขนาดวางแกนใจกลางเรือนไว้ตรงนี้” หลิวหลีมองขวดที่ใช้บรรจุยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ที่ดูปกติธรรมดา น่าสนใจ ควรจะต้องเป็นตำหนักขนาดย่อส่วนไม่ใช่หรือ ทำไมถึงเป็นขวด
“อืม อาจเป็นเพราะคงจะมีผู้อาวุโสบางคนคิดว่าเจ้าชอบเช่นนี้หรือเปล่า”หนานกงเวิ่นเทียนพูดอย่างไม่แน่ใจ
“อาเฉิน เจ้าว่าเด็กสองคนนั้นจะหาแกนใจกลางเรือนเจอหรือไม่” หลงเฟยหยางพูดอย่างไม่มั่นใจ
“จะหาไม่เจอได้อย่างไร พวกเขาเป็นถึงผู้ถูกเลือก” หนานกงเฉินมั่นใจเปี่ยมล้น
“แต่อาหยาง เจ้าทำเช่นนั้นจะดีหรือ” หนานกงเฉินถาม ดึงดันที่จะเปลี่ยนตำหนักเป็นขวดหยกที่ไว้ใส่ยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ไม่มีใครเป็นแบบนี้อีกแล้ว
“ไม่ดีตรงไหน” หลงเฟยหยางไม่คิดเช่นนั้น สิ่งที่คาดคิดไม่ถึงจึงจะเรียกว่าความประหลาดใจไม่ใช่หรือ
เมื่อหลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนตรวจสอบดูอีกครั้งก็พบว่านี่คือแกนใจกลางเรือนจริงๆ ก็พูดไม่ออก
“น้องหญิง ถึงแม้จะดูไม่งดงาม แต่ภายนอกก็ถือว่าไม่เลว” หนานกงเวิ่นเทียนพูดปลอบหลิวหลีที่กำลังจะระเบิดออกมา
“ท่านพี่ นี่ท่านกำลังปลอบข้าอยู่หรือ ข้าไม่ได้โมโห จริงๆนะ อย่างไรเสียก็เป็นน้ำใจจากท่านผู้อาวุโส พวกเรามาหลอมรวมกันก่อนเถอะ” หลิวหลีไม่โมโห นั่นถือเป็นเรื่องโกหก หลิวหลีกำลังคิดอยู่ว่าจะใช้เพลิงเซียนชนิดไหนเผาเรือนของตาแก่พิสดารทั้งสองคนนั้นดี
“ได้” ตอนนี้หนานกงเวิ่นเทียนกับหลิวหลีใจเชื่อมกัน เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่านังหนูโกหก
ทั้งสองแบ่งประสาทเซียนออกมาหนึ่งดวงใส่เข้าไปในแกนใจกลางเรือน จากนั้นทั้งสองก็เริ่มหลอมรวม เพราะเป็นของที่ยังไม่มีเจ้าของและบวกกับเป็นของที่ทำขึ้นมาใหม่ ทำให้ทั้งสองไม่ต้องใช้พลังมากมายนัก ก็สามารถหลอมรวมแกนใจกลางเรือนได้สำเร็จ และในธารประสาทสัมผัสของพวกเขาก็มีตำหนักขนาดเล็กเพิ่มเข้ามา และจิตใจของหลิวหลีถึงนิ่งลง
ต่อจากนั้นหนานกงเวิ่นเทียนรู้สึกว่าหลิวหลีควบคุมแกนใจกลางเรือนผนึกตำหนักไว้ ยังไม่ทันได้คิดอะไรก็ถูกนางกดเข้ากำแพงเสียแล้ว
“น้องสาว ตอนนี้แม้แต่แมลงวันก็บินเข้ามาไม่ได้ เจ้าก็ยอมพี่เสียดีๆเถอะ พี่จะทะนุถนอมเจ้าเป็นอย่างดี” หลิวหลีกลับกลายมาเป็นคนเจ้าเล่ห์อีกครั้ง
“นังหนู เจ้าทำแบบนี้ไม่ดีนะ” นังหนูของเขาทำไมใจร้อนเช่นนี้
“เมื่อท้องอิ่มแล้วก็มักจะเกิดความต้องการ สาวงามอยู่ข้างหน้า หากข้าไม่ทำอะไร ก็คงต้องรู้สึกผิดต่อบรรยากาศที่ดีเช่นนี้แน่” หลิวหลีพบว่าตอนนี้ตนเองช่างหน้าไม่อายจริงๆ
“นังหนู ทำตัวเป็นทรราชแบบนี้ไม่ดีนะ” หนานกงเวิ่นเทียนเตือน ถึงแม้สุดท้ายตัวเองต้องโอนอ่อนไปกับนางแน่ แต่ก็อดที่จะกล่าวเตือนไม่ได้
“รักชาติบ้านเมือง แต่รักสาวงามยิ่งกว่า” หลิวหลีบอกว่าตนเองรักหญิงงามมากกว่า รักหญิงงามนามหนานกงเวิ่นเทียนผู้นี้
“นังหนู พวกเราไปที่ห้องนอนดีไหม” หนานกงเวิ่นเทียนเลิกล้มความคิดจะขัดขืน ไปที่ห้องนอนน่าจะดีกว่า อยู่ที่ห้องปรุงยาดูให้ความรู้สึกแปลกๆอย่างไรบอกไม่ถูก
“ไม่เอา ข้าอยากจะเจิมห้องปรุงยาข้าพอดี ตอนนี้เลยก็แล้วกัน” หลิวหลีพูดจบ ก็ผลักหนานกงเวิ่นเทียนลงบนพื้น ประกบริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากของหนานกงเวิ่นเทียนที่กำลังจะอ้าปากพูด ส่วนมือทั้งสองก็ซุกซน ไม่นานทั้งสองคนก็ได้เป็นหนึ่งเดียวกัน ในหัวของหนานกงเวิ่นเทียนคิดขึ้นอย่างเลือนลางว่าเจิมห้องปรุงยาแบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ
หลิวหลีผละออกจากริมฝีปากของหนานกงเวิ่นเทียน แต่สองมือยังคงซุกซน หาจุดที่ไวต่อความรู้สึกแล้วลงมือ หนานกงเวิ่นเทียนหน้าแดงน้อยๆ นังหนูคนนี้ ทำไมเข้าใจเขาดีขนาดนี้
“ท่านพี่ พี่ต้องจำเอาไว้ ท่านเป็นของข้าได้แค่คนเดียว” น้ำเสียงของหลิวหลี แฝงไปด้วยความอันตรายและเย้ายวน สายตาของหนานกงเวิ่นเทียนเลือนลาง เหมือนไม่รับรู้ถึงอันตรายที่แฝงอยู่ในคำพูดของนาง พลิกตัวอีกฝ่ายลงอยู่เบื้องล่างร่างกายตน
“ชาตินี้ข้าเป็นของเจ้า ต่อจากนี้ทุกชาติไปก็จะเป็นของเจ้า และเฉกเช่นเดียวกันนังหนู ชาตินี้เจ้าเป็นของข้า ทุกชาติหลังจากนี้เจ้าก็ต้องเป็นของข้า”หนานกงเวิ่นเทียนพูดจบ ก็เปลี่ยนจะบทรับเป็นรุกแทน
หลังจากเสร็จกิจ ทั้งสองนอนอยู่บนเตียง แต่บรรยากาศยังไม่จางหายไป
“นังหนู เจ้าจะกินข้าเข้าไปเลยหรือ” หนานกงเวิ่นเทียนบีบจมูกหลิวหลีเบาๆ แต่ในใจก่นด่าไม่หยุด หลังจากแยกกันเขาจะไปฝึกฝนร่างกาย คุณสมบัติร่างกายเป็นจุดอ่อนของเขา ตอนเริ่มยังพอจะเป็นคนคุมเกมได้อยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็ต้องปล่อยให้นังหนูทำตามอำเภอใจ ช่างสั่นคลอนศักดิ์ศรีลูกผู้ชายของเขาเหลือเกิน
“ใช่แล้ว ข้าจะให้ท่านอยู่ข้างกายข้า ข้าถึงจะวางใจ” ต้องมีคนแอบมองท่านพี่ที่ขาวนวลเนียนของนางไม่น้อยแน่ หากมีคนอยากจะนับพี่นับน้องกับนางขึ้นมาจะทำอย่างไร โดยเฉพาะดินแดนนภาธารา ได้ยินมาว่าเจ้าตำหนักทั้งเก้าคนล้วนเป็นผู้หญิงทั้งสิ้น หากเขาได้เห็นสตรีที่นุ่มนวลราวสายน้ำไปนานๆ แล้วเกิดไม่ต้องการนางขึ้นมาจะทำอย่างไร ไม่ได้การ นางเริ่มรู้สึกได้ถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ทำไมนางถึงไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรธาตุวารีนะ ครุ่นคิดไปสักพัก นางก็ขบเข้าที่ลำคอหนานกงเวิ่นเทียนจนแดงเป็นจ้ำๆด้วยความหงุดหงิด
“ห้ามใช้พลังเซียนลบออก ข้าจะให้ทุกคนได้รู้ เจ้า หนานกงเวิ่นเทียนมีเจ้าของแล้ว” หลิวหลีประกาศกร้าว
“เหมือนกัน นังหนู เจ้าก็ห้ามใช้พลังเซียนลบออกเช่นกัน ข้าก็จะประกาศสิทธิ์ในตัวเจ้า” หนานกงเวิ่นเทียนก็เนรมิตรอยแดงบนลำคอของนางเช่นกัน
สุดท้ายทั้งสองต่างหัวเราะออกมา ที่แท้พวกเขาก็รักกันและกันขนาดนี้นี่เอง
“พวกเราออกไปดูข้างนอกกันเถอะ เรายังไม่เห็นทะเลเพลิงกับภูเขาน้ำแข็งเลย” หลิวหลีเสนอ
เมื่อจัดการตัวเองเรียบร้อย หนานกงเวิ่นเทียนก็คลายการควบคุมแกนใจกลางเรือน เมื่อออกมาด้านนอกเขาก็สะบัดมือครั้งหนึ่งแล้วตำหนักเซียนก็ย่อขนาดลงีขนาดเล็กจิ๋วกลับเข้าไปอยู่ในธารประสาทสัมผัส
หลังจากที่ทั้งสองคนออกมาแล้วพวกเขาก็เห็นภาพของไฟและน้ำแข็งเคียงคู่กัน
“พวกเราแยกกันไปดูดีไหม ทะเลเพลิงน่าจะเตรียมไว้ให้ข้า และภูเขาน้ำแข็งคงจะเตรียมไว้ให้เจ้า เข้ากับเคล็ดวิชาของพวกเราได้เป็นอย่างดี” หลิวหลีเสนอขึ้น ไม่จำเป็นต้องให้เสี่ยวเทียนไปที่ทะเลเพลิงกับนาง เสี่ยวเทียนอาจจะไม่สามารถปรับตัวได้
“ก็ดีเหมือนกัน” หนานกงเวิ่นเทียนพยักหน้า
หลิวหลีก้าวเข้าไปในทะเลเพลิง พลังเพลิงเซียนเข้มข้นปะทะเข้าที่ใบหน้า หลิวหลีสูดหายใจเข้าลึก พยายามกดให้เพลิงดาราทมิฬที่เคลื่อนไหวอย่างรุนแรงสงบลง ปู่ทวดชักจะใจกว้างเกินไปแล้ว
หลิวหลีหาสถานที่เหมาะๆแล้วนั่งขัดสมาธิลงกับพื้น เริ่มบำเพ็ญเพียร
หนานกงเวิ่นเทียนเดินเข้าไปในภูเขาน้ำแข็งอย่างพอใจอย่างมาก หาที่นั่งลงและเริ่มบำเพ็ญเพียร
เมื่อมีพลังเพลิงเซียนที่ไม่จำกัด ทำให้หลิวหลีสามารถดูดซึมเพื่อใช้บำเพ็ญเพียรได้อย่างไร้ขีดจำกัดเช่นกัน อาจเพราะได้แรงช่วยเหลือที่ดี เพลิงดาราทมิฬจึงกลายเป็นเพลิงเซียนอย่างรวดเร็ว
เกิดปรากฏการณ์ขึ้นบนท้องฟ้า เพลิงเซียนชนิดใหม่ได้อุบัติขึ้น
“เพลิงเซียนดาราทมิฬ ช่วงนี้มีเพลิงเซียนปรากฏขึ้นบ่อยจริงๆ” จักรพรรดินภาเพลิงมองดูเพลิงเซียนที่อุบัติขึ้น แล้วพึมพำกับตัวเอง
“นักปรุงยาเจียง นี่คือเพลิงอัคคีของนายท่านใช่หรือไม่” อวิ๋นเฟยถามเจียงหรูชวนข้างๆที่ทำหน้าภาคภูมิใจ
“ใช่แล้ว เพลิงอัคคีของนังหนูบรรลุขั้นเป็นเพลิงเซียนแล้ว” เจียงหรูชวนพอใจอย่างมาก มีลูกศิษย์ที่น่าภูมิใจก็ชวนให้เขาภูมิใจในตัวเอง เพราะก่อนที่หลิวหลีจะไป นางได้สั่งเอาไว้ว่าให้ยกเพลิงเซียนที่นางจะได้ทุกปีให้กับเจียงหรูชวนทั้งหมด ส่วนเขานั้นใช้เวลาสองปีในการดูดซึมเพลิงเซียนได้เพียงหนึ่งดวงเท่านั้น เท่านี้ก็ถือว่ามีพัฒนาการมากแล้ว ตอนนี้เขาสามารถปรุงยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ได้ คนในตำหนักเวิ่นเทียนจึงเรียกเขาว่านักปรุงยาเจียงด้วยความเคารพ โดยเขาแบ่งประสาทเซียนออกเป็น 10 ดวงตามที่ศิษย์บอกทำให้สามารถปรุงยาเซียนขั้นพื้นฐานได้แล้ว
“นายท่านมีกำลังเสริมเพิ่มขึ้น คิดว่าคงจะมีโอกาสชนะเพิ่มมากขึ้น” ชิงหลิ่วพูดอย่างดีใจ นายท่านของพวกเขามักจะสร้างความประหลาดใจให้คนอื่นอยู่เสมอ
ณ ดินแดนอสูรเทพ หลงเฟยหยางกับเอ๋าเฟิงรวมตัวกันอยู่ด้วยกัน
“ข้านึกว่าในสายตาของนังหนูจะมีแต่ผู้ชาย จนไม่บำเพ็ญเพียรแล้วเสียอีก” หลงเฟยหยางบ่นหลานสาวของตัวเองที่สายตามีแต่สามีเท่านั้น
“อายุจะพันปีแล้ว จะไม่รู้ขอบเขตได้อย่างไร” เอ๋าเฟิงกล่าว ตอนนี้นังหนูมีเพลิงเซียนสามชนิดอยู่ในตัว คนทั่วไปไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนังหนูและเพลิงเซียนชนิดนี้ น่าจะเน้นการโจมตีเป็นหลัก
“ยังเป็นเด็กอยู่เลย” หลงเฟวินหยางทอดถอนใจ อายุพันปี สำหรับตาแก่อายุหลายแสนปีอย่างพวกเขาก็ถือว่านางเป็นเด็กอยู่จริงๆ
“เอาเถอะ อีกไม่นาน ลูกของหลานเจ้าก็จะได้ออกมาลืมตาดูโลกแล้ว เผ่ามังกรของข้ายังเด็กๆกันอยู่เลย ยังแต่งงานไม่ได้” เอ๋าเฟิงกลอกตา หลงเฟยหยาง นี่คือการโอ้อวด หรือการโอ้อวดนะ
“แหะ แหะ” หลงเฟยหยางลูบท้ายทอยเบาๆ ก็ได้ เขากำลังโอ้อวด ใครให้เด็กๆในดินแดนอสูรเทพโตช้าขนาดนั้น
หลิวหลีมองเส้นชีพจรในร่างกายที่กลับมาเป็นสีดำอีกครั้ง ดีจริงๆ ตอนนี้นางจึงมั่นใจมากขึ้น การประลองระหว่างตำหนักน่าจะไม่เป็นปัญหา หลิวหลีไม่รู้ว่า ในบรรดา 9 ตำหนัก มีเพียงแต่เหลยจ้านจากตำหนักเหลยถิง และไป๋อี้จากตำหนักเหอสู้เท่านั้นที่มีพลังบำเพ็ญเพียรอยู่ในขั้นเซียนสุวรรณนภา แถมยังบำเพ็ญเพียรอยู่นานเสียด้วย ตอนนี้ดูแค่พลังบำเพ็ญเพียร นางก็ถือว่าอยู่ในสามอันดับแรกแล้ว
หลังจากที่ได้เพลิงเซียนดาราทมิฬแล้ว นางก็รู้สึกว่าทะเลเพลิงนี้จะสามารถใช้กับเพลิงอัคคีอีกเพียงหนึ่งชนิดเท่านั้น และจากนั้นก็จะใช้ไม่ได้อีกแล้ว แต่มีเพลิงเซียน 3 ชนิดก็ทำให้นางรู้สึกดีไม่น้อย หนานกงเวิ่นเทียนที่กำลังบำเพ็ญเพียรอยู่ก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของหลิวหลี นังหนูพัฒนาไปอีกแล้ว เขาก็จะไม่ยอมแพ้ รอกลับไปที่ดินแดนนภาธาราก่อนเถอะ เขาจะหาเคล็ดวิชาที่ไว้ใช้ฝึกฝนร่างกาย ฝึกฝนให้ร่างกายแข็งแกร่ง มีพละกำลัง จึงจะสามารถเป็นคนคุมเกมได้
หลังจากที่หลิวหลีทำให้เพลิงดาราทมิฬบรรลุขั้นเป็นเพลิงเซียนได้สำเร็จ ก็ไม่คิดจะเข้าฌานต่อ นางเดินไปทั่วทั้งทะเลเพลิงแล้ว แต่ยังไม่เคยไปที่อื่นเลย มิสู้ทำความคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้เสียหน่อย ไม่แน่ว่าอาจมีที่ให้นางได้ปิกนิกกับเพื่อนๆ อืม ดูเหมือนว่าการทำกิจกรรมอะไรๆกลางแจ้งก็ไม่เลวเหมือนกัน อยู่ๆหนานกงเวิ่นเทียนที่กำลังบำเพ็ญเพียรอยู่ก็รู้สึกหนาวขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ