ตอนที่ 274

เสน่ห์คมดาบ

“เจ้าต้องทำความคุ้นเคยกับร่างกายนี้ก่อน จากนั้นก็จะคุ้นเคยกับลักษณะของร่างกายนี้ จิตวิญญาณของชายผู้นั้นในร่างกายของเจ้าตอนนี้เขาถูกชายชุดขาวพาไป ส่วนผู้ชายผมสีเงินตอนนี้เขาอยู่ในช่องว่างมิติเพราะว่าเขาเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนจิตวิญญาณของพวกเจ้า หากเจ้าพบร่างของตัวเองและเปลี่ยนคืนได้สำเร็จ ชายผมสีเงินคนนั้นก็จะตื่นขึ้นและออกมาจากสถานที่นั้นได้” โพ่เทียนอธิบายอย่างเคร่งขรึม 

 

 

ชีอ้าวชวางเงียบ ใบหน้าของนางสงบจนยากที่จะรู้ว่านางคิดอะไรอยู่ 

 

 

“ร่างกายของข้าถูกพาไปที่ไหน” ชีอ้าวชวางถามประโยคนั้นออกมาแล้วคำพูดสุดท้ายของเหลิ่งหลิงยวิ๋นก็ดังขึ้นในหัวของนาง ‘ถ้าอย่างนั้นอ้าวชวางพวกเรารอเจ้าข้ากับเฟิงอี้เซวียนรอเจ้าอยู่นะ’ ตอนนี้นางเข้าใจความหมายของประโยคนี้แล้ว 

 

 

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เองหรือ 

 

 

ชีอ้าวชวางค่อยๆ กำหมัดจนแน่น 

 

 

“ร่างกายของเจ้าก่อนที่ชายชุดขาวจะไปเขาบอกว่าเขาจะพาร่างของเจ้าไปที่มิติสูญสลายและจะรอเจ้าอยู่ที่สุดปลาย” พอโพ่เทียนพูดถึงมิติสูญสลาย สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย 

 

 

“มิติสูญสลาย? ที่นั่นคือสถานที่อะไรกัน” ชีอ้าวชวางไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนจึงถามพร้อมขมวดคิ้ว 

 

 

“ที่นี่คือโลกแห่งความวุ่นวาย ส่วนมิติสูญสลายก็คือระนาบที่อยู่เหนือระนาบนี้ไปอีกที เรื่องระดับความอันตราย ข้าคิดว่าคงไม่ต้องอธิบายรายละเอียดให้เจ้าฟังหรอกนะ” เสียงของโพ่เทียนมีความกังวลเจืออยู่ 

 

 

ชีอ้าวชวางเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็พูดเบาๆ “ขอบคุณที่ช่วยข้า ขอบคุณเจ้าและอาเป่าที่ทำเพื่อข้า” 

 

 

“ไม่ต้องขอบคุณหรอก ตอนนี้สถานการณ์ของเจ้าไม่ได้อยู่ในทางที่ดี หากจะไปที่มิติสูญสลายนั่นก็มีทางเดียวเท่านั้น นั่นก็คือการผ่านการทดสอบดาวของหอคอยดวงดาว” โพ่เทียนถอนหายใจเบาๆแล้วบอกทุกอย่างกับชีอ้าวชวาง 

 

 

โลกแห่งความวุ่นวายก็มีสำนักต่างๆ มากมายและมีลูกศิษย์แต่ละสำนักจำนวนมากหอคอยดวงดาวจะจัดทดสอบดาวในทุกๆ สิบปี ผู้ที่ผ่านการทดสอบจะเข้าไปฝึกฝนในหอคอยดวงดาวได้หอคอยจะมีทั้งหมดเก้าชั้นและไม่สามารถมองเห็นทั้งหมดได้ในครั้งเดียว ต้องผ่านขั้นสูงสุดเท่านั้นจึงจะเข้าสู่โลกของมิติสูญสลายได้ แต่ว่าการทดสอบของหอคอยดวงดาวจะรับแค่นักเรียนของสถาบันดวงดาวเท่านั้น แถมเงื่อนไขในการรับนักเรียนของสถาบันดวงดาวก็เข้มงวดมาก เพราะจะรับแค่ศิษย์ที่มีการเสนอชื่อจากแต่ละสำนักเท่านั้น 

 

 

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือหากต้องการเข้าสถาบันดวงดาวเพื่อเข้าร่วมการทดสอบดวงดาวแล้วเข้าสู้หอคอยได้ ก็จะต้องเข้าร่วมสำนักใดสำนักหนึ่งให้ได้ก่อนและการเข้าร่วมสำนักก็จะยาวไกลมากเพราะต้องเข้าไปศึกษาในสำนักก่อนจนกว่าจะเป็นผู้โดดเด่นและได้รับการเสนอชื่อเข้าเรียนที่สถาบันดวงดาวแล้วจึงจะมีสิทธิ์เข้าร่วมการทดสอบ 

 

 

หลังจากได้ฟังเรื่องเหล่านี้ชีอ้าวชวางก็เงียบและเดินไปที่เตียงแล้วนั่งลง 

 

 

“หากจะเข้าร่วมสำนักเป็นเรื่องง่ายมาก ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นเลย ข้าจะให้อัลทิสรับเจ้าเข้าในสำนักที่เขาอยู่แล้วจะขอให้เขาแนะนำชื่อเจ้าเข้าร่วมการประเมินของสถาบันดวงดาว แต่ตอนนี้เจ้า…” โพ่เทียนเงียบลงและไม่ได้พูดอะไรต่อ 

 

 

ชีอ้าวชวางเข้าใจดีว่าโพ่เทียนหมายถึงอะไร ตอนนี้นางไม่สามารถใช้เวทไฟและกระจกดอกบัวได้นางจะเข้าร่วมการประเมินของสถาบันดวงดาวได้อย่างไรล่ะ 

 

 

“เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลหรอก ขอบคุณที่ทำสิ่งนี้ให้ข้า ขอบคุณมากๆ” ชีอ้าวชวางมองโพ่เทียนและขอบคุณเขาอย่างจริงใจโพ่เทียนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับนางเลยแต่เขาก็พยายามที่จะช่วยนางอย่างไม่ลดละขนาดนี้ 

 

 

“ไม่หรอก ฮ่าๆ จะว่าไปแล้วคนที่ต้องพูดขอบคุณคือข้าต่างหาก” โพ่เทียนพูดประโยคที่ทำให้ชีอ้าวชวางรู้สึกสับสนออกมา 

 

 

“เหมียวๆ!” แมวล่าสมบัติกระโดดไปบนหัวของชีอ้าวชวางและอุ้งเท้าจับผมของชีอ้าวชวางจากนั้นก็พยายามแสดงท่าทีบางอย่างพร้อมกับส่งเสียงที่ชีอ้าวชวางไม่เข้าใจแต่ชีอ้าวชวางรู้สึกได้ถึงความรู้สึกขอบคุณในเสียงร้องนั้น 

 

 

ชีอ้าวชวางยิ่งงุนงงไปกันใหญ่ ทำไมทั้งโพ่เทียนและอาเป่าถึงขอบคุณนางล่ะ 

 

 

“เพราะอาเป่าติดตามเจ้าไปจึงแก้ไขพลังชั่วร้ายในร่างของมันได้” โพ่เทียนยิ้มและก้าวไปข้างหน้าอุ้มอาเป่าออกจากหัวของชีอ้าวชวาง “พอแล้วอาเป่า หยุดทำได้แล้วเดี๋ยวผมร่วงหมด” 

 

 

“พลังชั่วร้าย?” ชีอ้าวชวางตอบกลับอย่างลังเลทันใดนั้นก็นึกถึงการเปลี่ยนแปลงกะทันหันของอาเป่าในครั้งนั้นได้และยังมีคำอธิบายของคามิลล์อีกนางก็เข้าใจทันที ช่วงที่อาเป่าอยู่ในร่างของนางนั้นนางได้ช่วยอาเป่าแก้พลังชั่วร้ายได้โดยไม่รู้ตัวเลยงั้นหรือ 

 

 

“ใช่ชีวิตของอาเป่านั้นน่าสงสารและน่าสลดใจมาก สิ่งเหล่านั้นทำให้เกิดการสะสมของพลังชั่วร้ายในร่างกาย มันเป็นปัจจัยที่ไม่เสถียรมาโดยตลอด แม้กระทั่งความตาย แต่ต่อมาหลังจากได้พบเจ้า หลังจากที่อยู่กับเจ้า พลังชั่วร้ายนั้นก็ได้รับการแก้ไขจากเจ้าไปทั้งหมด อาเป่าไม่ตกอยู่ในอันตรายอีกต่อไปแล้ว” โพ่เทียนลูบหัวอาเป่าโดยที่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “ข้าไม่รู้จะขอบคุณความเมตตาที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไรเลย” 

 

 

“เหมียว…” อาเป่าเหลือบมองมือของโพ่เทียนด้วยท่าทางพอใจ 

 

 

ชีอ้าวชวางตกใจเล็กน้อยนางเห็นแววตาที่คุ้นเคยในดวงตาของโพ่เทียนนั่นเป็นแววตาในแบบที่เฟิงอี้เซวียนและเหลิ่งหลิงยวิ๋นมองมาที่นาง 

 

 

ถ้าเช่นนั้น โพ่เทียนกับอาเป่าก็… 

 

 

อาเป่าคือทุกสิ่งทุกอย่างของโพ่เทียน ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง… 

 

 

“แม้ว่าตอนนี้เจ้าจะใช้เวทมนตร์แบบก่อนหน้านี้ไม่ได้ แต่เจ้าก็ค่อยๆ ทำความคุ้นเคยกับร่างกายนี้ได้ ข้าเองก็ไม่สามารถเข้าใจศักยภาพของร่างนี้ได้หรอก เวทลมน่าจะใช้งานได้ง่ายนะ จิตของเจ้าแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่น่าจะเป็นปัญหา ส่วนเรื่องพลังที่ซ่อนอยู่ดั้งเดิมของร่างกายนี้ข้าก็ไม่สามารถบอกให้แน่ชัดได้” โพ่เทียนเงยหน้าขึ้นและพูดกับชีอ้าวชวางด้วยน้ำเสียงลึกล้ำ “ตัวตนของร่างนี้ดั้งเดิมเป็นเผ่าปีศาจสินะ” 

 

 

ชีอ้าวชวางเข้าใจดีว่าศักยภาพที่โพ่เทียนพูดถึงคืออะไรนั่นก็คือพลังปีศาจที่เป็นตัวตนแท้จริงของเฟิงอี้เซวียนแต่เฮยหยู่เคยบอกไว้ที่โลกแห่งความวุ่นวายนี้มีอยู่ทุกเผ่าพันธุ์ ดังนั้นตัวตนปีศาจของนางในตอนนี้จึงไม่ได้แปลกอะไร 

 

 

หลังจากนั้นโพ่เทียนก็เล่าให้ฟังคร่าวๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ในโลกแห่งนี้จากนั้นก็เตรียมสิ่งจำเป็นมากมายไว้ให้นางสำหรับกระตุ้นให้นางรีบฝึกฝนชีอ้าวชวางก็เห็นด้วยนางเองก็ตั้งใจไว้แบบนี้เช่นกัน 

 

 

“อีกแค่หนึ่งเดือนก็จะถึงการประเมินของสถาบันดวงดาวแล้ว เจ้ามีเวลาปรับตัวให้เข้ากับร่างกายนี้เพียงหนึ่งเดือนและต้องใช้เวทมนตร์ให้ผ่านการประเมินของสถาบันดวงดาวข้าจะให้อัลทิสเตรียมทุกอย่างให้เจ้า ในเดือนนี้เจ้าก็จัดการได้เลย”โพ่เทียนพาชีอ้าวชวางเข้าไปในห้องลับที่เขาเตรียมไว้และพูด 

 

 

“ขอบคุณ” ชีอ้าวชวางยิ้มแล้วก้าวเข้าไปในห้องลับด้วยสีหน้าสงบ 

 

 

หนึ่งเดือน? 

 

 

เพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้น… 

 

 

แม้ว่าร่างกายนี้จะไม่ใช่ของนางแต่ก็จดจำคำสอนของท่านลมเทียนกังได้ดี 

 

 

การทดสอบดวงดาว… 

 

 

มิติสูญสลาย… 

 

 

อี้เซวียนหลิงยวิ๋นรอข้านะ 

 

 

ข้าจะไปแน่นอน! 

 

 

แววตาของชีอ้าวชวางมีประกายมุ่งมั่นปรากฏขึ้น 

 

 

หนึ่งเดือนผ่านไปการฝึกของชีอ้าวชวางในเดือนนี้ไม่มีใครรู้เลยว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไรโพ่เทียนแนะนำให้อัลทิสรู้จักชีอ้าวชวาง อัลทิสตอบตกลงโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ เลยมิตรภาพระหว่างทั้งสองน่าอัศจรรย์มาก 

 

 

ในเวลาเพียงไม่นานก็ถึงการประเมินเข้าสถาบันดวงดาว 

 

 

แต่ละสำนักในโลกแห่งความวุ่นวายต่างก็ส่งคนที่โดดเด่นของพวกเขามา 

 

 

สำนักของอัลทิสส่งมาทั้งหมดสิบสามคนเดิมทีมีสิบสองคน แต่เพราะว่าอัลทิสเพิ่มอีกหนึ่งคนบอกว่าคนคนนี้เป็นคนที่เขาเพิ่งรับเป็นศิษย์ของสำนัก 

 

 

ชีอ้าวชวางถูกส่งไปที่สถาบันดวงดาวพร้อมกับศิษย์คนอื่นๆ ของสำนักที่เข้าร่วมในการประเมินครั้งนี้สถาบันแห่งนี้ไม่ได้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองแต่อยู่ในเทือกเขาอันเงียบสงบ 

 

 

บนยอดเขามักจะถูกล้อมไปด้วยหมอกสีขาวอยู่เสมอและหอคอยดวงดาวก็อยู่บนยอดเขาที่ไม่สามารถมองเห็นได้ 

 

 

ผู้อาวุโสอัลทิสที่ในแต่ละวันไม่ได้ทำอะไรและไม่มีใครได้เจอเขาเลย แต่กลับมีตำแหน่งสูงในสำนัก คราวนี้จู่ๆ เขาก็รับศิษย์ที่ไม่มีที่มาที่ไปเข้าสำนักแล้วยังเสนอให้เข้าประเมินทันทีอีก ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่จะมีคนจำนวนหนึ่งที่ไม่พอใจ รวมถึงศิษย์คนอื่นๆที่เข้าร่วมการประเมินครั้งนี้ด้วย แม้ว่าทุกคนจะไม่กล้าโต้แย้งแต่ก็คิดอยู่ในใจ… 

 

 

เหล่าศิษย์ของสำนักที่เข้าร่วมการประเมินล้วนไปรวมตัวกันอยู่ที่เชิงเขาของสถาบันดวงดาว พวกเขาตั้งกระโจมอยู่ที่นี่เพื่อรอเข้าร่วมการประเมินจากนั้นจะมีผู้ดูแลการประเมินออกมาประกาศหัวข้อกระโจมของเหล่าศิษย์แต่ละสำนักจะถูกล้อมรอบด้วยวงกลมที่มีขนาดแตกต่างกันไป 

 

 

“คนนั้นเป็นคนที่ผู้อาวุโสแนะนำ หึ! ข้าไม่เห็นว่าจะมีอะไรโดดเด่นตรงไหนเลย หน้าก็ขาวซีด” ศิษย์สิบสองคนของสำนักรวมตัวกันนั่งรอบกองไฟรับประทานอาหารค่ำจากนั้นหนึ่งในศิษยชายที่หน้าตาคมคายดูเย็นชาก็เหลือบมองชีอ้าวชวางที่นั่งอยู่คนเดียวใต้ต้นไม้ไม่ไกลนักแล้วพูดเมื่อคนอื่นๆ ได้ยินดังนั้น ไม่เพียงแต่จะไม่หยุดเขา แต่ทั้งหมดยังดูยินดีและกระตือรือร้นด้วยทุกคนมองชีอ้าวชวางอย่างไม่พอใจคงจะดีหากได้สั่งสอนบทเรียนให้ชายผมแดงคนนี้ได้ 

 

 

เสียงของศิษย์คนนี้ไม่ดังมากแต่ชีอ้าวชวางก็ได้ยิน 

 

 

“เอาน่า! แจ็คลิน ผู้อาวุโสย่อมมีเหตุผลของเขาแหละ” หญิงสาวสวยที่มีดวงตาสดใสพูดหยุดการยั่วยุของคนที่ชื่อแจ็คลิน นางมีชื่อว่าทารีน่าเป็นศิษย์ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มในครั้งนี้ เป็นศิษย์ที่เข้าสำนักเป็นคนแรกและแข็งแกร่งที่สุดศิษย์ทุกคนที่มาด้วยกันจะเรียกนางอย่างเคารพว่าศิษย์พี่ 

 

 

นางเข้าใจความทุกข์ใจของเหล่าศิษย์น้องดี ศิษย์คนนั้นเพิ่งเริ่มจะเข้าสำนักมาไม่เท่าไหร่ ไม่มีแม้แต่การพูดคุยกับพวกเขาสักคำเดียวเลยด้วย มีคนตั้งมากมายที่ใฝ่ฝันที่จะเข้าร่วมการประเมินนี้แต่ผู้อาวุโสก็แทรกคนคนนี้เข้ามาอย่างกะทันหันหลายคนไม่พอใจและอิจฉาริษยา คิดว่าเขาพึ่งวิธีการเลือกที่รักมักที่ชังเพื่อให้ได้เข้าร่วมในการประเมินอันล้ำค่านี้แจ็คลินเองก็เห็นได้ชัดว่าต้องการยั่วยุศิษย์ที่เพิ่งเข้ามาใหม่และอยากถือโอกาสสั่งสอนเขาไปด้วย 

 

 

แต่ที่น่าแปลกใจก็คือชายผมแดงนั่งนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ราวกับว่าเขาไม่ได้ยินการสนทนานี้ เขายังคงนั่งอยู่อย่างสงบที่ตรงนั้นเหมือนเดิม 

 

 

แจ็คลินได้ยินการตำหนิของทารีน่าและเห็นชีอ้าวชวางเมินเขาโดยสิ้นเชิงแบบนั้น เขาก็แสยะริมฝีปากของเขาอย่างไม่พอใจและพูดด้วยเสียงต่ำ“ผู้อาวุโสยอมรับศิษย์ที่ไม่รู้ที่มาที่ไปแบบนี้ หวังว่าสำนักเราจะไม่เสียหน้าในการประเมินหรอกนะถ้าสำนักเราเสียหน้า เช่นนั้นผลที่ตามมาก็คง…หึ!” ทุกคนรู้ความหมายของน้ำเสียงเย็นชาสุดท้ายนั้นดี