ตอนที่71 อับอาย

หวานเจียงนั่งลองอย่างแช่มช้าเจือท่าทีงุนงง บริกรเสิร์ฟแก้วกาแฟลงบนโต๊ะและจากออกไป

หวานเจียงแบ่งสรรแก้วกาแฟให้แต่ละคน และยกแก้วตัวเองขึ้นจิบประเดิมก่อน ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เธอรู้สึกว่าการที่ตนไม่ปริปากพูดอะไรเลยเป็นการดีที่สุด

หวานฮันซูยกแก้วลาเต้ขึ้นดื่มโดยไม่มีท่าทีประหม่าแต่อย่างใด

จ้าวเฉียนเองก็หยิบถ้วยของตนขึ้นมาโดยไม่มีท่าทีเกรงใจเช่นกัน แถมยังกระดกหมดแก้วในคราเดียว หยิบทิชชูขึ้นมาเช็ดปากอย่างสุภาพและเอ่ยขึ้นว่า

“ฉันดื่มกาแฟเสร็จแล้ว ยังมีอะไรจะพูดอีกไหม?”

หวานเจียงส่ายหัวตอบว่า

“ฉันไม่มีอะไรแล้ว พวกนายแหละคุยกันเรียบร้อย?”

“อืม เรียบร้อย ถ้าไม่มีอะไรฉันจะไปส่งเธอที่บ้านเอง นี่มันก็ดึกแล้วกลับไปนอนซะ”

ที่จริงจ้าวเฉียนไม่มีเหตุจำเป็นต้องขับรถไปส่งหวานเจียงกลับบ้านด้วยซ้ำ แต่จะให้เธออยู่กับหวานฮันซูสองต่อสองก็ท่าจะสุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะเวลากลางดึกแบบนี้

หวานเจียงก็ไม่ปฏิเสธเช่นกัน หลังจากรีบดื่มกาแฟจนหมด เธอก็ลุกขึ้นและกล่าวอำลากับหวานฮันซู

ส่วนหวานฮันซูข่มกลั้นอารมณ์แทบไม่อยู่ สองมือกำหมัดแน่นพลางจับจ้องหวานเจียงและจ้าวเฉียนเดินออกไปจากร้าน อย่างไรเสียแววตาคู่นั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความอาฆาต ภายในความคิด เขาจะต้องได้หวานเจียงมาครอบครองในสักวัน!

ขณะที่จ้าวเฉียนและหวานเจียงเดินออกจากสตาร์บัค เธอก็เอ่ยถามขึ้นทันทีว่า

“คุยอะไรกัน? เหมือนจะคุยถูกคอนะ แต่ในความเป็นจริงคงไม่ใช่”

จ้าวเฉียนหันหน้าไปมองหวานเจียงและเอ่ยตอบขึ้นว่า

“นับเป็นช่วงเวลาที่แย่มาก ถ้าฉันรู้จักเขาเร็วกว่านี้คงสั่งให้เธออยู่ห่างๆ ไปนานแล้ว แต่ไม่เข้าใจเธอจริงๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าหมอนั่นวางยา เธอยังกล้ายุ่งกับเขาอีก นี่แกล้งทำตัวเป็นปกติหรือโง่จริงห่ะ? สงสัยไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาใช่ไหม?”

หวานเจียงยกมือทุบหลังของจ้าวเฉียนไปทีหนึ่งเจืออารมณ์หงุดหงิด และด่าสวนกลับไปทันทีว่า

“เจ้าบ้านี่ คิดจะพูดอะไรก็พูดออกมาเลยรึไง? กว่าจะทำให้หมอนั่นไว้ใจฉันอีกครั้ง มันก็ต้องลงทุนลงแรงกันหน่อย พอกลับมาติดต่อกันใหม่ เขาก็บอกว่าอยากพบนาย ฉันก็เลยคิดว่าเป็นการดีที่เปิดโอกาสให้นายคุยกับหมอนั่นกันตามตรง”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะท่าทีขำขัน เอ่ยตอบเจือน้ำเสียงละอายเล็กน้อย

“อ้าวงั้นเหรอ? ฉันขอโทษ ขอโทษที่เข้าใจเธอผิดไป คิดว่าเธอจะโง่แบบนางเอกในหนังอะไรแบบนั้นน่ะ จะว่าไป อยากรู้ไหมว่า ระหว่างที่เธอไปสั่งกาแฟ เจ้านั้นพูดอะไรกับฉันบ้าง?”

หวานเจียงแสยะยิ้มขึ้นบนมุมปาก เอ่ยขึ้นว่า

“ยังจะรออะไรอีก?”

จ้าวเฉียนหยิบมือถือของตนออกมาและเล่นเสียงที่แอบบันทึกไว้ให้ฟัง

“น้องชาย พวกเรามาเปิดอกพูดกันตรง ๆ เลยดีกว่า น้องชายรับเช็คใบนี้ไปแล้วไม่ต้องมายุ่งกับเสี่ยวเจียงได้ไหม?”

หวานเจียนได้ฟังทุกบทสนาระหว่างทั้งสองอย่างชัดเจน เธอยิ่งเดือดจนขาดสติชั่วขณะ คว้ามือถือในมือจ้าวเฉียนและเขวี้ยงอัดพื้นสุดแรงด้วยความหงุดหงิด

จ้าวเฉียนพยายามจะหยุดเธอไว้ก่อนแต่ไม่ทัน เขาอุทานร้องลั่นขึ้นในทันใด

“มือถือฉัน!! นี่เธอทำบ้าอะไร?!”

หวานเจียงที่เริ่มอารมณ์เย็นลงและพึ่งรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป พลันยิ้มเจื่อนให้และรีบขอโทษขอโพยจ้าวเฉียนทันที ทั้งยังกล่าวว่า

“เอาน่า มือถือนายก็เก่ามากแล้ว ก็จะได้เปลี่ยนเครื่องไปเลยไง! เอ่อ…แค่จอแตกแหละ น่าจะยังใช้งานได้อยู่…”

จ้าวเฉียนหยิบมือถือขึ้นมาโดยไม่พูดไม่จาใดๆ พยายามกดเปิดเครื่องยังไงก็ไม่ติด หน้าจอมือถือเครื่องนี้มีรอยร้าวอยู่แล้วในตอนที่เกิดอุบัติเหตุรถชน ในเวลานั้นจ้าวเฉียนก็ยังตัดสินใจที่จะเก็บมือถือเครื่องนี้ไว้ใช้งานต่อ มันเปรียบเสมือนเครื่องเตือนใจตัวเองตลอดเวลา ว่าจะไม่กลับไปเป็นอย่างในอดีต และจะไม่มีวันเอ่ยปากคำว่า ‘พ่อของกูคือจ้าวฝู’ ออกมาอีกตลอดไปนับจากนี้

เมื่อเห็นจ้าวเฉียเสียใจเป็นอย่างมาก หวานเจียงก็รีบยกมือขอโทษด้วยความจริงใจอีกคราขึ้นทันที

“ฉันขอโทษ… มือถือเครื่องนี้คงมีคุณค่าสำหรับนายมากใช่ไหม? เวลาฉันหัวเสียมักจะคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยอยู่ ฉันขอโทษ…”

จ้าวเฉียนนิ่งไปชั่วครู่ค่อยถอนหายใจเฮือกใหญ่และพูดว่า

“ช่างเถอะ ฉันควรละทิ้งสิ่งต่างๆ ในอดีตและเดินหน้าต่อไป นี่ก็ดึกแล้วเดี๋ยวฉันไปส่ง”

ยิ่งหวานเจียงได้ยินแบบนั้นเธอก็ยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่ มือถือเครื่องนี้คงมีคุณค่าทางจิตใจสำหรับเขามากจริงๆ แต่อย่างไร เธอได้แต่กล่าวว่า เธอจะซื้อมือถือเครื่องใหม่คืนเขาเอง

จ้าวเฉียนส่ายหัว

“ไม่เป็นไร ฉันซื้อเองได้ กลับกันเถอะ”

หวานเจียงได้ยินแบบนั้นก็ไม่พูดพล่ามทำเพลงอะไรอีกต่อไป เธอตรงเข้าไปกอดแขนจ้าวเฉียนและพยายามลากเขาให้เข้าไปร้านมือถือบริเวณใกล้เคียงแทน

หวานฮันซูที่เดินออกจากสตาร์บัคในเวลานั้นพอดี ก็บังเอิญเห็นภาพฉากที่ทั้งสองกอดแขนกันอย่างแนบแน่นดูสนิทสนมกันดีเหลือเกิน ทำให้เขาทั้งโกรธทั้งอิจฉา

“หวานเจียง เธอเป็นของฉันคนเดียวเท่านั้น! และไม่มีใครสามารถแย่งเธอไปจากฉันได้! ถึงครั้งนี้ฉันจะทำพลาดไป แต่ยังไงเธอก็ต้องหันกลับมาเลือกฉัน! ส่วนคุณจ้าวเฉียน…ฮิฮิ ค่อยดูไปเถอะ…”

ใจจริงหวานฮันซูอยากวิ่งไปกระชากทั้งคู่ให้แยกออกจากกันเดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำ ความฝันของเขาคือการได้แต่งงานกับหวานเจียง และหลังจากนี้อีกสักสิบหรือยี่สิบปี ฮวาหยิน กรุ๊ปก็จะตกเป็นของเขา!

แต่จู่ๆ จ้าวเฉียนก็โผล่ออกมาจากรูไหนไม่ทราบ เข้าขัดขวางแผนการทั้งหมดจนพังไม่เป็นท่า ไม่ว่ายังไงเขาต้องหาวิธีกำจัดเสี่ยนหนามนี้ออกไปให้ได้

หวานเจียงลากจ้าวเฉียนเข้าไปในร้านมือถือได้สำเร็จ และขอให้เขาเลือกมาสักเครื่องตามใจ ไม่ว่าแพงแค่ไหนเธอก็จะจ่ายให้ด้วยความเต็มใจ

จ้าวเฉียนไม่ได้อยากได้รุ่นไหนเป็นพิเศษ ดังนั้นเขาจึงเลือกรุ่นที่ถูกที่สุด แต่อย่างไรหวานเจียงรู้สึกว่า เครื่องที่เขาเลือกมามันถูกจนน่าเกลียดเกินไป จึงขอให้เขาไปเลือกเครื่องอื่น

จ้าวเฉียนวางมือถือลงตรงหน้าและพูดว่า

“ฉันไม่ได้ต้องการอะไรเป็นพิเศษ แค่มีฟังก์ชั่นพื้นฐาน ติดต่อกับคนอื่นได้ก็พอแล้ว”

พอได้ยินแบบนั้น หวานเจียงก็อดฉุนไม่ได้ รีบหยิบมือถือที่แพงที่สุดในร้านขึ้นมาพร้อมจ่ายเงินเสร็จสรรพ ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังจงใจเลือกเคสลายน่าน่ารักสีสันหวานแหววมาใส่ให้มือถือเครื่องนั้น และมอบแก่จ้าวเฉียน

จ้าวเฉียนที่เห็นเคสมือถือสีสันหวานแหววขนาดนี้ เขาก็ทำท่าทีราวกับจะถอดออกโดยเร็ว แต่หวานเจียงจับมือเขาไว้ก่อนและขู่ขึ้นว่า

“นายลองถอดมันออกมาดูสิ ฉันโกรธจริงๆ นะ”

“ไม่ใช่ว่าฉันไม่ชอบนะ….แต่ฉันเป็นผู้ชาย จะให้มาใช้เคสแบบนี้มันก็…ฉันจะหยิบขึ้นมาต่อหน้าคนอื่นไหมเนี่ย?”

หวานเจียงเม้มปากสีแดงสวยของเธอแน่นและพูดว่า

“ถ้าอย่างนั้นนายจะใช้อะไรก็ใช้ไปเถอะ ฉันไม่สนแล้ว! ในเมื่อนายกล้าขัดใจฉัน ฉันก็ทำได้เหมือนกัน ข้อตกลงระหว่างเราถือว่าสิ้นสุดแต่เพียงเท่านี้ หวังว่าฉันจะไม่เห็นหน้านายอีกในอนาคต ถือว่าเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้ว!”

จ้าวเฉียนก็ยังยืนงงอยู่แบบนั้น ดูท่าเขาจะไม่เข้าใจหมายความที่แท้จริงที่เธอพยายามสื่อออกมาเลยสักนิด เขากล่าวตอบไปทันทีว่า

“ฉันใช้ก็ได้! นี่เธอเอาข้อตกลงระหว่างเรามาขู่งั้นเหรอ?”

หวานเจียงรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก เรียวคิ้วขมวดแทบชนกัน เอ่ยถามพร้อมท่าทีสุดแสนจะหัวเสีย

“ชอบด่าฉันโง่ นี่เองก็โง่เหมือนกันนั้นแหละ! ไม่เข้าใจความรู้สึกผู้หญิงเลยแม้แต่นิดเดียว! ฉันกลับเองได้ ลาก่อน!”

ทันทีที่สิ้นเสียง หวานเจียงก็เดินสะบัดหน้าจากออกไปโดยตรง ด้วยความเป็นห่วง จ้าวเฉียนรีบไล่ตามเธอมาอย่างใกล้ชิด และอาสาขับรถไปส่งเธอกลับบ้าน

เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่จ้าวเฉียนกำลังนอนอยู่ จู่ๆ จางหยวงก็โทรมาหา

“นี่จ้าวเฉียน ทัศนคติของคุณต่อที่ทำงานมันแย่ขนาดนี้จริงๆ ใช่ไหม? ขณะที่เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ต้องตื่นแต่เช้ามาทำงาน แต่คุณกลับนอนฝันหวานนี่นะ? มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ?”

เพราะเห็นแก่หน้าฟางนี่ จ้าวเฉียนก็พยายามมองข้ามไม่เก็บมาใส่ใจ และเอ่ยตอบจางหยางอย่างเฉยชาไปว่า

“ไม่ครับ ผมชินแล้ว นอนต่ออีกสักงีบเดี๋ยวลุกไปทำงานแล้วครับ”

จากนั้นจ้าวเฉียนก็ตัดสายไปและนอนต่ออีกสักพักใหญ่ ก่อนจะลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัว แต่ทันทีที่มาถึงออฟฟิศ ก็สัมผัสได้ทันทีว่าบรรยายกาศมันไม่ถูกต้องเลยสักนิด ทุกคนต่างมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ ราวกับว่าพวกเขากำลังมองตัวประหลาด

“ทำไมทุกคนถึงมองฉันแบบนั้? มีอะไรติดหน้างั้นเหรอ?”

ทันทีท่าสุ้มเสียงจ้าวเฉียนเอ่ยดังขึ้น เจวียงหยวนก็เดินเข้าไปตบไหล่

“จ้าวเฉียน ประธานฟางกลับมาแล้ว แถมยังพาสามีมาด้วย ประธานฟางประกาศแต่งตั้งสามีของเธอขึ้นเป็นผู้จัดการอย่างเป็นทางการ ก็อย่าที่เขาว่าแหละนะ ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอนจริงไหม? เพิ่งขึ้นเป็นผู้จัดการได้ไม่นาน นายก็ถูกเขี่ยตกกระป๋อง กลับมาเป็นพนักงานตัวเล็กๆ อีกครั้ง หวังว่านายจะไม่อึดอัดนะ?”

เมื่อเห็นสีหน้าอันแสนเหยียดหยามของเจวียงหยวน จ้าวเฉียนก็รู้สึกโกรธอย่างมาก ไอ้เจ้านี่เพิ่งโดนสั่งสอนไปแท้ๆ แต่กลับไม่เข็ดหลาบ ยังแวะเวียนมาสร้างปัญหาให้เขาอีกไม่หยุดหย่อน

แต่ถึงอย่างไร สิ่งที่ทำให้เขาโมโหที่สุดคือ ท่าทีของฟางนี่ในตอนนี้ เขาไม่สนว่าตนจะขึ้นเป็นผู้จัดการหรือไม่ แต่การตัดสินใจอันไร้เหตุผลของเธอมันงี่เง่าเกินไป

จ้าวเฉียนหมุนตัวกลับเดินเข้าไปในห้องทำงานของฟางนี่ทันที

เขาสังหรณ์ใจไม่ดีเท่าไหร่นัก ราวกับกำลังมีบางสิ่งอย่างเกิดขึ้น แต่แทนที่เขาจะรอให้ฟางนี่เข้ามาหา เขาสู้ตรงเข้าไปถามโดยตรงเลยดีกว่า