บทที่ 277 จิตใจที่เปลี่ยนแปลง
“ปู่ซุน ข้ากลับมาแล้ว”
เฉินเฉียงที่ตกอยู่ในสภาพมีชีวิตชีวาอย่างที่สุด แต่เสียงของเขานั้นกลับค่อยจนแทบไม่ได้ยิน
ต่อให้เขาต้องถูกข้ามเวลาไปอีกพันปีข้างหน้า เขาก็จะทักทายปู่ซุนของเขาด้วยท่าทางที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ท่าทางของเขาในตอนนี้นั้น เป็นท่าทางของช่วงครึ่งปีก่อน ตอนที่เขาได้ออกจากเขตแดนจักรพรรดิ และได้พบเจอราชาสวรรค์อีกครา
ในวันนั้น หลังจากที่เขาไปที่เกาะเทียนลี่ หลังจากได้ได้ฟังราชาสวรรค์ถามเขาว่า “เฉินเฉียง เจ้ารู้รึเปล่าว่าพ่อของเจ้าตายยังไง” และนั่น กลับทำให้เขานั้นเปลี่ยนท่าทางไปราวกับเป็นอีกคนหนึ่ง
อาจจะเป็นเพราะว่าเขาเองนั้นได้หลอมรวมตัวตนจนเข้ากับเจ้าของร่างนี้ไปแล้ว และนี่ยิ่งทำให้เขานั้นกระหายใคร่รู้ว่าใครกันแน่ที่ฆ่าเฉินเทียนเว่ย
และหลังจากที่เขาออกมาจากเขตแดนจักรพรรดิแล้วพบว่าเว่ยหยวนตี้และจ้าวลี่นั้นได้บังคับย้ายกองกำลังเทียนเว่ยของเขาไปเป็นแนวหน้าของสงครามที่จิ้งชวน นี่ทำให้เขาสงสัยในตัวตนของเว่ยหยวนตี้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นไป
แม้กระทั่งในตอนที่เขาเปิดเผยตัวตนของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ ในตอนนั้นเขาเองก็ถูกไล่ล่าโดยเว่ยหยวนตี้และหลินไฮ่หวัง เมื่อเขาได้ยินคำพูดของราชาสวรรค์ที่พูดยั่วยุเว่ยหยวนตี้ในตอนที่เตรียมตัวที่จะฆ่านั่น ยิ่งทำให้เขานั้นรู้สึกได้แล้วว่าเว่ยหยวนตี้นั้นไม่ใช่พี่น้องที่ดีของพ่อเขาแต่อย่างใด
และที่ทำให้เขานั้นตัดใจที่จะเชื่อนั่นก็คือ ในตอนที่เขายอมเผาผลาญแก่นสายเลือดของตัวเองเพื่อช่วยเขาหลบหนีนั้น เว่ยหยวนตี้ก็ยังคงตอบแทนเขาด้วยความเกลียดชัง ทำแม้กระทั่งให้ความร่วมมือกับฮั่นจุยในการจับตัวเขาอย่างออกนอกหน้า และเพื่อจะฟื้นคืนโลกใบเล็กของตน เขาทำถึงขนาดขายความสุขของชีวิตลูกสาวตนได้อย่างหน้าตาเฉย
หลังจากโดนกรีดเข้าที่หัวใจโดยเผ่าพันธุ์เดียวกันซ้ำๆ นี่ทำให้เขานั้นเริ่มสงสัยแล้วว่าธรรมชาติของมนุษย์นั้นล้วนแล้วแต่เป็นแบบนี้รึเปล่า
นี่เผ่าพันธุ์ของเขานั้นสามารถทำเรื่องไร้ยางอายได้ขนาดนี้เลยเหรอ
แต่กระนั้น นี่ก็ไม่ได้ทำให้เฉินเฉียงผิดหวังกับมนุษย์ทุกคนแต่อย่างใด
อย่างน้อยๆเขาก็เว้นเว่ยฉิงเชินไว้ได้คนหนึ่ง
แล้วก็ อีกอย่างน้อยๆเขาก็สามารถไว้ใจบรรดาพี่ชายทั้งหลายของเขาในกองกำลังเทียนเว่ยได้
ในวันนั้น ก่อนที่เขาจะเข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิ เขานั้นได้มีเรื่องกับฮั่นจุยที่เป็นถึงผู้อาวุโสสูง แต่ทุกคนในกองกำลังนั้นกลับไม่มีใครคิดที่จะแหนงหนี
เมื่อได้รับรู้ว่าเขานั้นได้รับบาดเจ็บเพราะฮั่นจุย ทุกคนนั้นกลับเอาตัวเองมาขวางเขาเสียด้วยซ้ำ
เป็นเพราะความอบอุ่นที่เว่ยฉิงเชินและทุกคนในกองกำลังเทียนเว่ยมอบให้เขานั้นทำให้เฉินเฉียงไม่ได้รู้สึกเย็นชากับเผ่าพันธุ์ของตนอย่างสมบูรณ์
แล้วซุนต้าฮู่ล่ะ
ชายแก่ผู้หลงเหลือร่างกายที่เล็กจ้อยนั้น เขาพึ่งจะรับรู้ความจริงหลังจากที่ปู่ซุนได้ตายไปแล้วเท่านั้นว่าเขานั้นเป็นคนอุปถัมภ์ค้ำชูเขามาตั้งแต่ก่อนจะจำความได้ และเลี้ยงเขามาที่เขาหมางแห่งนี้มาโดยตลอด
แต่นั่นก็เป็นเพราะปู่ซุนนั้นมีความจงรักภักดีอย่างที่สุดต่อเฉินเทียนเว่ย
ย้อนกลับไปนั้น ด้วยแก่นสายเลือดของเขาได้รับบาดเจ็บในระหว่างการช่วยเขาให้รอดชีวิตมาถึงนี่จนตกอยู่ในสภาพนี้ นี่เองก็เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นเป็นอย่างดีว่าปู่ซุนของเขานั้นมีความจงรักภักดีอย่างที่สุด
แต่นั่นเองก็ทำให้เขาเกิดปมในใจขึ้นมาอย่างที่สุดเช่นกัน
ในปีนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ทำไมถึงมีคนไล่ล่าฆ่าล้างพวกเขาหลังจากเฉินเทียนเว่ยได้ตกตายไปกัน
“ปู่ซุน ก่อนที่ท่านจะตายนั้น ท่านคงเก็บงำความลับเอาไว้มากมายสินะ ถูกรึเปล่า”
“แต่ใครกันล่ะที่รู้ความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้นปีนั้น”
“เป้าหมายของคนที่ไล่ล่าท่านนั้น ความจริงแล้วก็มีจุดมุ่งหมายในการจัดการทายาทของเฉินเทียนเว่ย คนที่บงการในเรื่องนี้จะเป็นพวกมนุษย์กลายพันธุ์จริงๆงั้นเหรอ”
“แต่หากเป็นเช่นนั้นจริง มันก็ช่างไม่สมเหตุสมผลนัก ทำไมพวกมันถึงไม่นำตัวทายาทเพียงคนเดียวของผู้นำกองกำลังเทียนเว่ยไปเป็นมนุษย์กลายพันธุ์กันล่ะ”
เฉินเฉียงได้ดื่มเหล้าไปอีกอึกหนึ่ง ก่อนที่จะทุบตีหัวตัวเองแล้วนำธงพลของกองกำลังออกมาจากแหวน ก่อนที่เขาจะโบกสะบัดไปมาให้มันต้องลม แล้วนำมันมาโชว์ต่อหน้าหลุมศพของซุนต้าฮู่ เขาสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆหนึ่งที และพูดออกมา “ปู่ซุน ตามที่เราได้ให้คำสัญญากันไว้ ข้านั้นได้รับธงพลแห่งกองกำลังเทียนเว่ยมาแล้ว”
“ตอนนี้ดวงวิญญาณของท่านก็น่าจะวางใจจนขึ้นสู่สรวงสวรรค์ได้แล้ว ข้ารับรองว่าข้าจะต้องหาความจริงให้เร็วที่สุด แล้วจะล้างแค้นให้ท่านและนายพลเฉินเทียนเว่ย”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้นำแผ่นพลังงานออกมาดูดซับ
ถึงแม้ราชาสวรรค์จะบอกเขาว่าหลังจากใช้การเผาผลาญแก่นสายเลือดไปแล้วจะไม่อาจบรรลุถึงระดับราชาได้อีก กับในเรื่องนี้ เฉินเฉียงได้ทำการตรวจสอบยืนยันด้วยตัวเองแล้วว่าเขานั้นไม่อาจจะบรรลุขั้นได้
เหตุผลก็เพราะแผ่นพลังงานในมือของเขาที่กำลังส่งพลังวิญญาณเข้าไปในร่างผ่านแขนของเขา
หลังจากเขาดูดซับพลังสายเลือดไปได้ชั่วโมงกว่า ร่างกายของเขาก็มาถึงจุดอิ่มตัวจนไม่อาจดูดซับพลังได้อีก
หลังจากเก็บแผ่นแก่นพลังงานไปแล้ว เฉินเฉียงก็ได้ลองใช้เคล็ดวิชาหลอมเลือดทำลายล้างหมุนวันไปทั่วร่างกาย นี่ทำให้เกิดคลื่นกระแทกเข้าไปยังจุดบ่มเพาะบริเวณหัวใจของตนอย่างบ้าคลั่ง และนั่นทำให้บอลเลือดปีศาจที่ถูกกักไว้ในจุดบ่มเพาะที่สามสิบสอง ถูกไปที่จุดที่สามสิบสี่
เป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงได้พบว่าบอลเลือดปีศาจที่อยู่ในร่างของเขานั้นสามารถจัดการได้ง่ายกว่าก่อนหน้านี้
จุดชีพจรที่สามสิบสี่นี้อยู่ด้านหลังของจุดชีพจรหัวใจ สภาพในตอนนี้ของมันราวกับเป็นถุงผ้าที่ลีบแฟบ ที่ไม่ว่าจะเทน้ำเข้าไปยังไงก็ตามก็ไม่โป่งพองแต่อย่างใด
หลังจากเฉินเฉียงทดลองอยู่นาน จุดบ่มเพาะนี้ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
แต่นี่ก็ทำให้เฉินเฉียงกังวลได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หลังจากที่เขาได้ตรวจสอบร่างกายของตนดีๆแล้วนั้น เขาก็พบว่า ปัญหาที่เกิดจากการเผาแก่นสายเลือดนี้เป็นสิ่งที่เขาเคยพบเจอมาก่อน
ด้วยการที่เฉินเฉียงนั้นคือผู้ที่มีพลังสายเลือดอยู่ทุกชนิดนั้นทำให้ในตอนที่เขาเคยใช้เคล็ดวิชาหลอมเลือดทำลายล้างนั้น พลังอำนาจของมันจึงได้ทรงพลังกว่าใคร
เป็นเพียงหลังจากที่เขาใช้การเผาผลาญแก่นสายเลือดไปแล้วนั้นทำให้แก่นสายเลือดของเขาหดเล็กลง
ในเมื่อคุณลักษณะของแก่นสายเลือดของเขานั้นไม่ได้เปลี่ยน แต่โครงสร้างของมันเปลี่ยนไปราวกับสูญหายไปบางส่วน และนี่ทำให้สายเลือดของเขาราวกับจะแยกออกจากกันได้ทุกเมื่อ และหากเป็นอย่างนี้ต่อไปล่ะก็ สักวันหนึ่ง สายเลือดโกลาหลแรกกำเนิดของเขาก็อาจจะกลับไปเป็นหกสายเลือดเฉกเช่นแต่ก่อน
หรือก็คือ สายเลือดโกลาหลแรกกำเนิดของเขานั้นเป็นผลมาจากสายเลือดทั้งหกของเขาที่ถูกทำให้แข็งแกร่งโดยเคล็ดวิชาหลอมเลือดทำลายล้าง และนี่ก็เป็นผลทำให้ตอนที่เขาใช้เคล็ดวิชาหลอมเลือดทำลายล้างเมื่อครู่นี้จึงไม่ได้ทรงพลังเหมือนแต่ก่อน
แต่โดยพื้นฐานแล้ว สายเลือดของเขาก็ยังคงเป็นหกสายเลือดดังเดิม
พลังสายเลือดนั้น หากให้พูดกันตามตรงมันก็เป็นเพียงคุณลักษณะของพลังสายเลือดในร่างของนักรบสายเลือด
ต่อให้เรียกมันอย่างหลากหลาย แตกต่าง ผิดแผกขนาดไหน สุดท้ายแล้วมันก็คือพลังภายในที่สั่งสมอยู่ในเม็ดเลือดที่ส่งผ่านไปตามเส้นเลือดทั่วร่างกาย
ยิ่งไปกว่านั้นคือ การเปิดจุดชีพจรของเฉินเฉียงนั้น จำเป็นที่จะต้องเปิดไล่ไปตามลำดับ ไม่ทางที่เขาจะข้ามจุดใดจุดหนึ่งไปก่อนแล้วไปเปิดจุดถัดไปแทนก่อนได้
จุดชีพจรนั้นจะให้พูดอีกอย่างก็คือจุดที่แพร่ขยายออกมาจากจุดตันเถียนแล้วมีประสิทธิภาพพอที่จะเป็นจุดกักเก็บพลังสายเลือด เฉกเช่นดังเขื่อนหรือฝายน้ำที่คอยเก็บน้ำไว้ใช้ แต่ยามใดก็ตามที่เขื่อนหรือฝายเหล่านี้เสียหาย พลังน้ำที่ส่งไปยังจุดถัดไปก็จะไม่แรงพอจนไปถึงได้
หรือถ้าจะให้พูดอีกอย่างก็คือ หากเขารื้อฟื้นจุดชีพจรนี้ไม่ได้ เขาก็ไม่มีหวังที่จะบ่มเพาะได้อีก
ถึงแม้มันจะเป็นจุดชีพจรเดียวที่ใช้ไม่ได้ แต่นั่นก็ส่งผลอย่างใหญ่หลวง จนทำให้เขานั้นไม่อาจข้ามขั้นไปยังระดับราชา ไม่สิ แม้แต่ระดับกึ่งราชาก็ไม่อาจจะไปถึง
ในเมื่อเส้นทางหนึ่งใช้ไม่ได้ เขาก็ใช้เส้นทางอื่นก็สิ้นเรื่อง
เฉินเฉียงได้ลืมตาขึ้นมา ก่อนที่จะยืนขึ้นแล้ววิ่งกลับไปยังอาณานิคมเขาหมาง
และผู้ติดตามของเขาอย่างเจิ้งยี่ที่กำลังนั่งบ่มเพาะอยู่เงียบๆนั้น เมื่อรู้สึกตัวลืมตาขึ้นแล้วพบว่าเฉินเฉียงวิ่งออกไปจนเกือบจะลิบตาก็ต้องวิ่งหน้าตั้งไปติดๆ
ที่หน้าทางเข้าอาณานิคมเขาหมางนั้น เจิ้งยี่กำลังแสดงออกมาด้วยท่าทางสับสน
นั่นก็เพราะเขานั้นกำลังเห็นเฉินเฉียงกำลังไล่ล่าฆ่าล้างสัตว์ประหลาดระดับทหารอย่างไม่เลือกหน้า ไม่ว่าจะเล็กจะใหญ่ จะอ่อนแอหรือแข็งแกร่ง ก็ไม่รอดพ้นไปสักตัว
ด้วยความแข็งแกร่งในตอนนี้ ต่อให้เขาไม่ใช้พลังจิตหรือพลังสายเลือดแล้วอาศัยพลังกายล้วนๆแล้วนั้นก็สามารถจัดการพวกมันได้อย่างง่ายดาย
และหลังจากฆ่าสัตว์ประหลาดเหล่านี้ เฉินเฉียงได้ใช้มือขวาของตนยื่นไปสัมผัสซากร่างเพื่อดูดซับทักษะและพลังงานทั้งหมดจากสัตว์ประหลาดเหล่านั้น
ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ
“ไม่”
“ไม่ได้”
“นี่ก็ยังไม่ได้”
เฉินเฉียงในตอนนี้นั้นตกอยู่ในสภาพราวกับปีศาจแล้วที่สังหารสัตว์ประหลาดและดูดซับพลังงานจากสัตว์ประหลาดทุกตัวที่ได้พบ แต่กระนั้น โครงสร้างพลังสายเลือดของเขาก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
และเพียงชั่วครึ่งวัน พื้นที่โดยรอบอาณานิคมเขาหมางสิบกว่ากิโลเมตรนั้น ไม่หลงเหลือสัตว์ประหลาดเลยแม้แต่ตัวเดียว
ส่วนเจิ้งยี่นั้น ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าทำไมเฉินเฉียงถึงได้บ้าคลั่งไล่ฆ่าสัตว์ประหลาดได้ถึงขนาดนั้น แต่กระนั้น เขาก็ยังคอยเดินตามไล่เก็บซากตามไปเรื่อยๆ
หลังจากกวาดล้างจนหมดสิ้น เฉินเฉียงก็ได้ถอดถอนลมหายใจออกมา ก่อนที่จะหันไปหาเจิ้งยี่แล้วพูดขึ้นมา “เจิ้งยี่ นำซากสัตว์ประหลาดพวกนี้ไปยังทีมเก็บกู้แล้วให้หัวหน้าทีมจัดการไป”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้หันหลังและเดินตรงไปยังสุสานของซุนต้าฮู่แล้วนั่งลงที่นั่น
ส่วนเจิ้งยี่เองนั้นก็ทำตามคำบอก เขาได้นำซากสัตว์ประหลาดกว่าร้อยตัวกลับไปยังอาณานิคม
เมื่อได้เห็นกองซากร่างตรงหน้านี้ หลิงเว่ย จางหยวนและคนอื่นๆต่างก็สงสัยอย่างสับสนแล้วถามออกมา “เกิดอะไรขึ้นเจิ้งยี่ นี่เจ้าออกไปฆ่าสัตว์ประหลาดมางั้นรึ”
หลิงเว่ยได้ส่ายหัวไปมาในทันที “เฮ้ออออ น่าเสียดาย สัตว์ประหลาดเหล่านี้มีบางตัวที่ยังอ่อนด้อยนัก ความจริงแล้วมันก็ดีที่เจ้าฆ่า แต่ว่าถ้าจะฆ่าก็ควรฆ่าไอ้ตัวที่มันแกร่งๆจะดีกว่านะ”
“ยังไงซะ สัตว์ประหลาดที่พอจะเป็นภัยต่อทีมเก็บเกี่ยวของข้าก็เป็นพวกที่อยู่ในระดับทหารขั้นสูงขึ้นไป”
เจิ้งยี่ที่ได้ยินก็ยักไหล่ไปทีหนึ่งก่อนจะพูดออกมาอย่างไม่ค่อยจะอยาก “ไม่ใช่ข้าหรอก ข้าเองก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่อยู่ๆกัปตันก็พุ่งตรงขึ้นเขาไปอย่างบ้าคลั่งแล้วสังหารสัตว์ประหลาดทุกตนที่พบเห็น ราวกับว่าเขานั้นกำลังหาบางอย่างจากพวกมันหรือไม่ก็ต้องการทดสอบอะไรบางอย่าง”
“หลังจากที่เขานั้นได้ฆ่าสัตว์ประหลาดในแถบนี้ไปจนหมดแล้ว กัปตันก็กลับมาทำท่าซังกะตายราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนที่จะบอกข้าให้เอาซากสัตว์ประหลาดเหล่านี้มาให้ ส่วนเขาในตอนนี้กลับไปนั่งอยู่ที่หน้าหลุมศพตามเดิม”
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว ทุกคนต่างก็มองหน้ากันในทันที
หลิงเว่ยเองก็อดที่จะถามออกมาไม่ได้ “น้องจางหยวน เฉินเฉียงของเจ้านี่ยังไหวอยู่ไหมนั่น”
จางหยวนส่ายหัวไปมาอย่างเงียบงั้นและไม่ได้พูดอะไรออกมา
ความจริงแล้วทุกคนนั้นต่างก็รู้ดีว่าทำไมเขาถึงได้คลั่งขึ้นมา นั่นก็เพราะเฉินเฉียงนั้นเป็นกังวลที่ตัวเองไม่อาจก้าวข้ามขั้นการบ่มเพาะได้อีก
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ไม่มีใครในที่นี้ที่จะสามารถพูดอะไรกับเฉินเฉียงได้ ทำได้เพียงปล่อยให้ตัวเขานั้นยอมรับให้ได้ในสักวันหนึ่งเท่านั้น
“เจิ้งยี่ เจ้าก็กลับไปอยู่ข้างกายเขาเหมือนเดิมแล้วกัน อย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นล่ะ”
“อื้ม” เจิ้งยี่พยักหน้ารับแล้วรีบเดินจากไป
หลิงเว่ยเองก็อยากจะรู้ในรายละเอียดของเฉินเฉียงมากกว่านี้เหมือนกัน แต่อย่างไรก็ตาม เขานั้นก็รู้ดีว่าต่อให้เขาถามไปก็เท่านั้น คงไม่มีใครคิดที่จะบอกเขาได้อย่างแน่นอน
ที่หน้าหลุมศพ เฉินเฉียงนั้นแม้จะผิดหวัง แต่เขาเองก็กลับได้พบเรื่องที่ทำให้เขาต้องรู้สึกพิศวงขึ้นมา
นั่นก็คือเจ้าบอลเลือดปีศาจที่อยู่กับเขามาสักพักใหญ่แล้วนั่นเอง
ด้วยบอลเลือดปีศาจนี้ มันทำให้เขาต้องเผยตัวตนกลางสนามรบในเขตจิ้งชวน จนท้ายที่สุด เขาไม่มีทางเลือกจนต้องเผาผลาญแก่นสายเลือดคนเองเพื่อหลบหนี
สำหรับเฉินเฉียงนั้น บอลเลือดปีศาจนี้เปรียบได้ดั่งภัยเงียบ ที่เขาจะต้องกำจัดออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วไปได้
ยิ่งไปกว่านั้นคือ หากว่าเขาได้พบเจอกับคนที่ฆ่าพ่อของเขาแล้วต้องต่อสู้กัน เจ้าบอลเลือดปีศาจนี้อาจจะทำให้เขาต้องตกตายในระหว่างการต่อสู้อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ในตอนนี้เขากลับพบว่า หลังจากที่เขานั้นเผาผลาญแก่นสายเลือดไปแล้ว เจ้าบอลเลือดปีศาจนี้ก็ราวกับจะอ่อนแอลงไปมากกว่าแต่ก่อนนับสิบเท่า
นี่จึงทำให้ในตอนนี้เขาคิดจะวางเรื่องการแก้ผลสะท้อนจากการเผาผลาญแก่นสายเลือดไปก่อน แล้วคิดที่จะใช้โอกาสนี้จัดการกับบอลเลือดปีศาจพวกนี้แทน
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เฉินเฉียงก็ได้ใช้พลังจิตของตน ทำการกวาดบอลเลือดปีศาจพวกนี้ทั้งหมดไว้ด้วยกัน
เมื่อเทียบกับตอนที่ราชาสวรรค์ช่วยจัดการบอลปีศาจเหล่านี้ให้เขาก่อนหน้านี้ การลงมือจัดการเองของเฉินเฉียงในครั้งนี้กลับทำได้ดีกว่ามากนัก
นั่นก็เพราะ เพียงแค่หนึ่งชั่วลมหายใจ เฉินเฉียงสามารถบีบอัดบอลเลือดปีศาจทั้งหมดนี้ลงได้ด้วยตัวเอง
ไม่เพียงเท่านั้น เฉินเฉียงยังพบว่าตราบใดที่เขานั้นใช้พลังจิตของตนบีบอัดบอลเลือดปีศาจเหล่านี้เอาไว้ เขานั้นสามารถเคลื่อนย้ายมันไปไหนมาไหนก็ได้ในเส้นเลือดของเขาอย่างอิสระ และยังบีบอัดมันได้มากเท่าไหร่ ความเร็วของพวกมันก็จะยิ่งเร็วขึ้นเท่านั้น
นี่ทำให้เขารู้สึกได้ว่า ตราบใดที่เขาสามารถกลับมายกระดับการบ่มเพาะของตนได้ เขาจะสามารถใช้บอลเลือดปีศาจเหล่านี้เป็นอาวุธลับของเขาได้เลยทีเดียว
แต่สิ่งที่เขาคิดนั้นก็คงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเขาแก้ไขปัญหาการบ่มเพาะของตนได้เท่านั้น
แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ตาม เมื่อเขานั้นสามารถจัดการปัญหานี้ได้อย่างอยู่หมัดได้ทุกเมื่อ นี่คือข่าวดีอย่างที่สุดแล้ว
ในวันถัดมา เฉินเฉียงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมากกว่าเดิม ในทุกๆวัน เขาจะมานั่งอยู่หน้าหลุมศพของซุนต้าฮู่และดื่มไวน์ พลางพูดคุยกับตัวเองหรือไม่ก็บ่มเพาะ
และด้วยการที่เจิ้งยี่นั้น สัมผัสได้แล้วว่าเฉินเฉียงค่อยๆกลับมาเป็นปกติมากขึ้น นี่ทำให้เขาวางใจได้ในที่สุด และหลังจากผ่านไปอีกครึ่งเดือนให้หลัง ในที่สุดเขาก็สามารถเปิดจุดชีพจรที่สามสิบห้าได้สำเร็จ
เมื่อสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเจิ้งยี่แล้ว เฉินเฉียงก็ได้หันไปมองเจิ้งยี่ด้วยท่าทางที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วพูดออกมา
“ยินดีด้วยเจิ้งยี่ อีกแค่จุดเดียวเจ้าก็สามารถกลายเป็นกึ่งราชาได้แล้ว”
ตัวเจิ้งยี่เองนั้นก็ดีใจไม่น้อยที่เดียว ในขณะเดียวกัน เมื่อเจิ้งยี่ได้ยินเฉินเฉียงพูดถึงเรื่องกึ่งราชา เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามเฉินเฉียงออกมา “กัปตัน ร่างกายของท่านเป็นยังไงบ้าง”
“ฮี่ฮี่ฮี่ ยังไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงหรอกน่า”
เฉินเฉียงได้ยืนขึ้นก่อนที่จะแสยะยิ้ม ก่อนที่จะเก็บธงพลแห่งกองกำลังเข้าไปในแหวนแล้วพูดออกมา “เจิ้งยี่ ข้าจะออกไปสักพักนะ บอกจางหยวนและผู้สั่งการหลิงเว่ยด้วยว่าอีกปีนึงข้าจะกลับมา”
เจิ้งยี่ที่ได้ยินก็ผุดลุกขึ้นมาในทันทีแล้วถามออกมา “กัปตัน ท่านจะไปไหน ให้ข้าตามไป….”
เฉินเฉียงได้ส่ายหน้าไปมา ก่อนที่จะเดินไปจับไหล่ของเจิ้งยี่ “ไม่ต้องหรอก ถึงแม้ว่าเจ้านั้นจะมีระดับการบ่มเพาะสูงกว่าข้า แต่กับศัตรูที่แม้แต่ข้ายังทำอะไรไม่ได้แล้วเจ้าจะทำอะไรพวกมันได้กัน”
“ยิ่งไปกว่านั้นคือ การที่ข้าออกไปครั้งนี้เพื่อไปหาอะไรบางอย่าง ไม่ใช่การวิ่งเข้าไปหาสิ่งอันตรายใดๆ”
“แต่…”
ก่อนที่เจิ้งยี่จะทันได้พูดจบ เขาก็ได้ยินเสียงแหลมเล็กหนึ่งจากที่ห่างไกล เพียงสิ้นเสียง ก็มีกระดาษแผ่นหนึ่ง ปักเข้าไปในตอไม้ที่อยู่ข้างๆเจิ้งยี่
ในขณะเดียวกัน เฉินเฉียงนั้นก็ได้มองไปยังร่างสองร่างที่ได้ปรากฏกาย
“กัปตัน ระวังตัวด้วย”
เมื่อเห็นท่าทางของเจิ้งยี่แล้ว เฉินเฉียงก็ได้ใช้ร่างของตัวเองบังเขาเอาไว้ ก่อนที่จะมองไปยังทั้งสองร่างที่กำลังพุ่งตรงมา
“เจิ้งยี่ ไม่ต้องกังวล”
ด้วยการที่ในตอนนี้ เฉินเฉียงมีค่าพลังจิตที่สูงล้ำ ทำให้เขานั้นสัมผัสทั้งสองร่างนี้ได้ตั้งแต่ช่วงที่ทั้งสองเข้ามาในระยะสิบไมล์ก่อนหน้านี้แล้ว
และเมื่อเฉินเฉียงได้พูดจบลง ก่อนที่ทั้งสองร่างจะได้ทำอะไร ก็ได้มีอีกร่างหนึ่งปรากฏตัวด้วยความเร็วที่สองร่างก่อนหน้าไม่อาจเทียบเคียง