EP.244 ควบคุมตนเองไม่ได้

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา

สิบวันผันผ่านไปในพริบตา กองทัพทะลวงนภาและกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดก็กวาดล้างกบฏและนำชัยชนะกลับมา สำนักอัศวินสี่สิบเจ็ดแห่งถูกทำลาย ซึ่งกว่าครึ่งยอมจำนนแต่โดยดี เหล่าทหารชำนาญการราวสามพันนายผู้มีคุณธรรมและความแข็งแกร่งเข้าร่วมกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาด

หลินมู่อวี่ยังคงสกัดเพชรสีขาวและหลอมลูกศรเพชรสีขาวกว่าสองหมื่นชิ้นสำหรับกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดในช่วงสิบวันที่ผ่านมา ซึ่งคงเพียงพอที่จะใช้ระยะหนึ่ง อีกทั้งหลัวอวี่ก็เป็นผู้บัญชาการที่รอบคอบ เมื่อใดที่ขาดแคลนลูกศร เขาสามารถหลอมขึ้นมาใหม่ได้

เมื่อถึงเวลาเที่ยงวัน เว่ยโฉวก็กลับมาพร้อมทหารของสำนักอัศวินและข้าวของที่ยึดมาได้ ใบหน้าเว่ยโฉวเต็มไปด้วยความสุขขณะที่รีบเข้าไปในกระโจมหลัก “ท่านขอรับ เรายึดเหรียญทองมาได้เกือบห้าหมื่นเหรียญ ฮ่าๆ สาขาของสำนักอัศวินเหล่านี้ร่ำรวยยิ่งนัก!”

หลินมู่อวี่วางหัวลูกศรบนก้านธนูก่อนจะบิดมันเข้าด้วยกันและตอบกลับ “สำนักอัศวินก็ไม่ต่างจากทหารรับจ้างพเนจร พวกเขาปล้นสะดมจากชาวบ้าน จึงไม่แปลกที่จะร่ำรวยเช่นนี้”

เว่ยโฉวประสานมือ “สำนักอัศวินทั้งหมดในมณฑลชางหนานถูกเรากำจัดจนหมดสิ้น จากนี้ไปพวกมันจะไม่สามารถปล้นสะดมชาวบ้านและก่อไฟสงครามได้อีก”

“เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ?”

หลินมู่อวี่ยิ้มและยืนขึ้น “แทบไม่ต้องสงสัยถึงความแข็งแกร่งของสำนักอัศวินเลย พวกเขามีทหารไม่น้อยกว่าสองพันนายในแต่ละเขตของทุกมณฑล หากกรมท้องถิ่นไม่เข้ามาจัดการกับโจรเหล่านี้ เมื่อเราจากไป ก็จะเกิดโจรกลุ่มใหม่ขึ้นมาแทน เช่นนั้นทุกอย่างก็จะไร้ประโยชน์”

“นั่น…หมายความว่าการปราบปรามของพวกเราจะไม่มีประโยชน์อันใดหรือขอรับ?”

“อืม”

หลินมู่อวี่มิได้พูดต่อก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “จางเหว่ยจะนำทหารสามพันนายมาถึงบ่ายวันนี้ ซึ่งต้องรับผิดชอบในการลำเลียงแร่ทองคำออกจากภูเขาขวานไฟ ส่งคนไปดูแลให้แน่ใจว่าพวกเขาจะปลอดภัย จากนั้นเราจึงเคลื่อนทัพกลับ”

“ขอรับ!”

เว่ยโฉวแสดงความเคารพเยี่ยงทหารก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่า…องค์หญิงซีมาที่เมืองหยินซานกับท่านจางเหว่ย…”

“โอ้?”

“ท่านหลินมู่อวี่ไม่ไปต้อนรับเขาหรือ?”

“อืม…ข้าจะไป” หลินมู่อวี่พลันรู้สึกอบอุ่นหัวใจ นานเพียงใดแล้วที่ไม่ได้เห็นหน้าถังเสี่ยวซี

เสียงเท้าม้าเหยียบย่ำบนถนนท่ามกลางพระอาทิตย์ยามบ่าย จางเหว่ยนำทัพทหารอวี้หลินสามพันนายมุ่งหน้าไปยังเมืองหยินซาน ด้านหน้าของกองทัพคือถังเสี่ยวซีที่สวมเสื้อคลุมสีแดงเพลิงตกแต่งด้วยดิ้นสีทองหรูหรา เมื่อเห็นหลินมู่อวี่จากระยะไกลนางก็ควบม้าออกไปอย่างรวดเร็ว

“ฮึ้บ!”

ทันใดนั้นถังเสี่ยวซีก็กระโดดลงจากหลังม้าขณะที่วิญญาณยุทธ์จิ้งจอกอัคนีตัวน้อยเกาะอยู่ที่ไหล่ ก่อนจะเรียกผนึกจิ้งจอกอัคนีออกมาใต้เท้าทั้งสอง ซึ่งทำให้นางเสมือนเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ที่กำลังร่อนลงสู่อ้อมกอดหลินมู่อวี่

หลินมู่อวี่หัวเราะขณะที่อ้าแขนรับถังเสี่ยวซีอย่างไม่ทันตั้งตัว ผ่านไปเพียงครึ่งเดือนเขาไม่รู้เลยว่าคิดถึงองค์หญิงที่อบอุ่นและมีชีวิตชีวาผู้นี้มากเพียงใด ท้ายที่สุดแรงโถมจากเสี่ยวซีก็มีมากเกินไปจนทำให้ทั้งคู่ล้มกลิ้งไปกับพื้นหญ้าและไถลไปหลายเมตร

“เสี่ยวซี เจ้าเข้าสู่ขอบเขตนภาแล้วหรือ?” หลินมู่อวี่มองไปที่เสี่ยวซีที่อยู่ในอ้อมแขนและถามด้วยรอยยิ้ม

ถังเสี่ยวซีพยักหน้ารับด้วยใบหน้าสีแดงระเรื่อราวดอกท้อ “อืม ด้วยความช่วยเหลือจากท่านอาวุโสฉู่และผู้ดูแลเหล่ยหง ในที่สุดข้าก็สามารถฝึกฝนผนึกจิ้งจอกอัคนีได้ และยังแข็งแกร่งขึ้นด้วย!”

“นั่นดีมากเลย!”

หลินมู่อวี่ขยับตัวลุกพร้อมโอบเอวบางของถังเสี่ยวซีอย่างไม่สนสายตาใคร “เหตุใดเจ้าจึงมาเมืองหยินซานพร้อมท่านจางเหว่ย?”

“นั่นไม่ใช่เพราะว่าข้าคิดถึงเจ้าหรอกหรือ!?” ถังเสี่ยวซีแลบลิ้นออกมาอย่างซุกซนโดยไม่ซ่อนความรู้สึกของนางต่อหลินมู่อวี่

เว่ยโฉวกอดกระบี่ของเขาด้านข้างขณะที่พูดด้วยรอยยิ้ม “ผู้บัญชาการจะอภิเษกกับองค์หญิงซีเมื่อใดขอรับ?”

จางเหว่ยพลันประสานมือกล่าวทั้งรอยยิ้ม “ขอแสดงความยินดีกับท่านหลินมู่อวี่ที่จะได้เป็นลูกเขยของมณฑลชีไห่!”

ใบหน้าหลินมู่อวี่เปลี่ยนเป็นแดงก่ำด้วยความอายพร้อมใจเต้นรัว ก่อนจะสงบสติอารมณ์และพูดว่า “เจ้า…อย่าก่อปัญหาให้ข้าเช่นนี้ เสี่ยวซียังเป็นเพียงเด็กสาว…”

“ยังเด็ก?”

จางเหว่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ให้กำเนิดข้าตอนอายุสิบหก ส่วนองค์หญิงซียี่สิบชันษาแล้ว ยังเด็กอีกหรือขอรับ?”

จางเหว่ยเอียงหัวมองทรวดทรงและยอดปทุมถันภายใต้เสื้อผ้าของถังเสี่ยวซี ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคออย่างรวดเร็ว “และไม่เล็กด้วย…”

ใบหน้าถังเสี่ยวซีแดงก่ำ นางพลันผายฝ่ามือเรียกผนึกเพลิงอย่างเชื่องช้า ทันใดนั้นผนึกแห่งสวรรค์ของผนึกจิ้งจอกอัคนีระดับสี่ก็ปรากฏขึ้น เสี่ยวซีกล่าวด้วยจิตสังหาร “จางเหว่ย เจ้าอยากตายหรือ?”

จางเหว่ยฝึกฝนพลังยุทธ์อย่างเชื่องช้าและยังไม่ได้เข้าสู่ขอบเขตนภา เขาจึงมิใช่คู่ต่อสู้ของถังเสี่ยวซี ร่างกายของจางเหว่ยสั่นสะท้านขณะที่กล่าวว่า “องค์หญิงซีโปรดไว้ชีวิต…กระหม่อมมิได้ต้องการล่วงเกินแม้แต่น้อยพ่ะย่ะค่ะ…”

หลินมู่อวี่จับมือถังเสี่ยวซีก่อนที่ผนึกจิ้งจอกอัคนีจะหายไปทันที “เสี่ยวซีอย่าลงโทษสหายข้าเลย เข้าไปในค่ายกับข้าเถิด เรากำลังจะถอนทัพและมุ่งหน้ากลับเมืองหลันเยี่ยนในอีกหนึ่งถึงสองวันนี้”

“อืม ได้สิ!” เสี่ยวซีตอบรับพร้อมยิ้มหวาน

จางเหว่ยประสานมือ “เช่นนั้น…ข้าน้อยจะนำทหารไปลำเลียงแร่ทองคำจากภูเขาขวานไฟ ท่านหลินมู่อวี่โปรดอารักขาองค์หญิงซีด้วยขอรับ เฒ่าจางมาส่งสาวงามให้ถึงมือแล้ว ท่านมิควรละเลย!”

หลินมู่อวี่พูดด้วยรอยยิ้ม “หากเจ้ายังพูดเรื่องไร้สาระต่ออีก ข้าจะให้กฎทหารจัดการเจ้าซะ”

“ฮ่าๆ เฒ่าจางคงต้องขอตัวไปแล้ว ลาก่อนขอรับ!”

จางเหว่ยดึงบังเหียนและควบม้าออกไปพร้อมเหล่าทหารอวี้หลิน คนงานขุดเหมืองและเกวียนลำเลียง ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดจึงใช้เวลาเดินทางถึงสิบวัน คงเป็นเรื่องยากสำหรับถังเสี่ยวซีที่จะต้องเดินทางอย่างเชื่องช้ากับกลุ่มชายเฒ่าเหล่านี้

หลินมู่อวี่จูงมือถังเสี่ยวซีเข้าไปในค่ายก่อนจะเอ่ยถาม “นี่ช่างเป็นเรื่องแปลกประหลาด เหตุใดเสี่ยวซีจึงอดทนเดินทางมากับกลุ่มจางเหว่ยเป็นเวลาถึงสิบวันได้? ด้วยนิสัยของเจ้า คงควบม้ามาถึงเมืองหยินซานภายในสามวันแท้ๆ”

ถังเสี่ยวซีเม้มริมฝีปากและกล่าวอย่างเศร้าสร้อย “พูดถึงเรื่องนี้…ผู้อาวุโสฉู่และเสี่ยวอินมิอนุญาตให้ข้ามา ข้าต้องขอร้องพวกเขาอยู่หลายวันเพื่อให้ได้เดินทางมากับจางเหว่ยพร้อมทหารม้าสามพันนาย ซึ่งเป็นการเดินทางที่ลำบากมาก กว่าจะมาถึงที่แห่งนี้ มู่มู่เจ้าต้องดูแลข้าเป็นอย่างดี!”

“นั่นเป็นสิ่งที่ข้าต้องทำอยู่แล้ว…”

หลินมู่อวี่โบกมือเรียกหลัวอวี่พร้อมควักเหรียญทองออกมา “หลัวอวี่ เจ้าส่งคนเข้าไปในเมืองเพื่อซื้ออาหารและสุรา ข้าจะต้องดูแลองค์หญิงอย่างดีในค่ำคืนนี้!”

“ขอรับ!”

หลัวอวี่รับเงินมาพร้อมเงยหน้ามองถังเสี่ยวซีด้วยสายตางุนงง เขาเป็นเพียงทหารธรรมดามิเคยได้พบเห็นหญิงงามเช่นนี้ แทบไม่ต้องพูดถึงถังเสี่ยวซีผู้เป็นคุณหนูแห่งตระกูลขุนนางชั้นสูง ความงามของนางทำให้หลัวอวี่ตกตะลึง

ถังเสี่ยวซีพลันหัวเราะ “หลัวอวี่เจ้ามองสิ่งใดอยู่? มองผู้นำของเจ้าหรือ…เอ๊ะ…”

ใบหน้าเสี่ยวซีพลันเปลี่ยนเป็นแดงก่ำอีกครั้งขณะที่ไม่รู้ว่าจะอธิบายความสัมพันธ์ของนางกับหลินมู่อวี่อย่างไร จึงทำได้เพียงยืนเงอะงะอยู่ที่เดิม ถังเสี่ยวซีต้องการแสดงความสง่างามเยี่ยงองค์หญิง ทว่ากลับเขินอายจนทำอะไรไม่ถูก

หลินมู่อวี่มองใบหน้างามของเสี่ยวซีแล้วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “หลัวอวี่ไปได้แล้ว หากเจ้าต้องการมองเสี่ยวซี ก็ค่อยมองตอนเราเดินทางกลับ เพราะเสี่ยวซีจะกลับเมืองหลันเยี่ยนพร้อมพวกเรา”

หลัวอวี่สงบสติอารมณ์และประสานมือรับ “ขอรับ! ทว่าท่านหลินมู่อวี่โปรดวางใจ ผู้หญิงของท่าน…ข้าน้อยจะไม่จ้องมองเด็ดขาด หลัวอวี่เข้าใจเรื่องมารยาทดีขอรับ!”

หลินมู่อวี่เดินมาตบไหล่เขา หลัวอวี่เป็นผู้ที่เข้าใจเรื่องมารยาทอย่างแท้จริง…ดีมากพี่ชาย!

หลังจากส่งหลัวอวี่ออกไป หลินมู่อวี่และเสี่ยวซีก็ไปที่กระโจมหลัก ทั้งสองนั่งตรงข้ามกันพร้อมรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเนื่องจากไม่รู้จะพูดสิ่งใด

ในที่สุดหลินมู่อวี่ก็ทำลายความเงียบ “เสี่ยวซี การฝึกยุทธ์ผนึกจิ้งจอกอัคนีเป็นอย่างไรบ้าง?”

ถังเสี่ยวซีครุ่นคิดก่อนพูดว่า “ท่านปู่สอนข้าเกี่ยวกับผนึกจิ้งจอกอัคนีตั้งแต่อายุไม่ถึงหกปี ข้าเพียงไม่สามารถฝึกมันได้เนื่องจากร่างกาย ทว่าตอนนี้ประตูนิลได้เปิดออกแล้วจึงทำให้ผนึกจิ้งจอกอัคนีก่อตัวขึ้นมาอย่างง่ายดาย ขณะนี้ผนึกจิ้งจอกอัคนีของข้าอยู่ที่ระดับสาม และภายในห้าวันข้าจะเข้าสู่ระดับสี่ ผู้อาวุโสฉู่กล่าวว่าด้วยความสามารถของข้าคงทะลวงไปถึงระดับเจ็ดภายในเวลาไม่ถึงสองเดือน และบอกอีกว่าความสามารถข้านั้นเหนือกว่าพี่ใหญ่ถังปินมาตั้งแต่กำเนิด!”

“เป็นเช่นนี้เอง…”

หลินมู่อวี่แอบสุขใจ “นั่นยอดเยี่ยมไปเลย…เสี่ยวซีจะกลายเป็นผู้ชำนาญการผนึกจิ้งจอกอัคนี ซึ่งเป็นข่าวดีสำหรับพวกเรา จริงสิ…แล้วการฝึกฝนพลังยุทธ์ของเสี่ยวอินล่ะ?”

“ค่อนข้างดีเลย เสี่ยวอินฝึกฝนได้รวดเร็วและก้าวกระโดดเป็นอย่างมากในปีที่ผ่านมา เสี่ยวอินวางแผนจะมามณฑลชางหนานกับข้า ทว่าน่าเสียดาย…ฝ่าบาทมิทรงอนุญาต นางจึงทำได้เพียงอยู่ที่ตำหนักและฝึกฝนต่อเท่านั้น”

“ฮ่าๆ เป็นเช่นนี้เอง”

หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะยิ้มขณะที่กล่าวว่า “ข้ามิได้เห็นเจ้าและเสี่ยวอินมาหลายวันแล้ว ข้าคิดถึงพวกเจ้าจริงๆ…”

ถังเสี่ยวซีทำหน้ามุ่ยอย่างไม่เชื่อในคำพูด “ตอนนี้เจ้าเป็นถึงผู้บัญชาการกองหมื่น ข้าคิดว่าเจ้าคงสนใจแต่เรื่องทางการทหารเท่านั้น และไม่มีเวลาคิดถึงพวกเรา!”

“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร?”

หลินมู่อวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าสนใจเรื่องทางการทหารเนื่องจากจักรวรรดิต้องการข้า จริงสิ เรากำลังจะถอนทัพและออกเดินทางกลับเมืองหลันเยี่ยนในวันรุ่งขึ้น กินให้เยอะๆ แล้วเข้านอนตั้งแต่หัววันเสีย”

“อืม”

เมื่อถึงเวลาพลบค่ำหลัวอวี่และทหารรับจ้างมังกรผงาดหลายนายก็นำอาหารและสุราเข้ามา รวมทั้งนำพ่อครัวหลายคนจากเมืองหยินซานมาด้วย คงมีเพียงองค์หญิงซีที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ อาหารมากมายถูกวางจนเต็มโต๊ะใหญ่ภายในกระโจม แน่นอนว่าหลินมู่อวี่และถังเสี่ยวซีคงไม่สามารถกินมันทั้งหมด พวกเขาจึงชวนหลัวอวี่ เว่ยโฉว ฉีหยิง และทหารยศสูงคนอื่นๆ เข้ามาร่วมรับประทานอาหาร

สิ่งนี้ทำให้พวกเว่ยโฉวเกือบร้องไห้ พวกเขาต่อสู้มาทั้งชีวิตในกองทัพ และไม่เคยได้รับเกียรติร่วมโต๊ะอาหารกับองค์หญิงมาก่อน น้ำตาของพวกเขาไหลย้อยลงถ้วยซุปขณะที่กินกันอย่างเอร็ดอร่อย หลินมู่อวี่แอบสาปแช่งในใจว่าพวกเขาช่างไม่มีมารยาท ก่อนจะตักอาหารให้ถังเสี่ยวซี เขาดูแลเสี่ยวซีอย่างดีจนนางหายโกรธและเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข

หลังจากทานอาหารเสร็จก็มีทหารนายหนึ่งเข้ามารายงาน ในที่สุดนายพลเฉินหยางก็นำทัพทหารหนึ่งหมื่นห้าพันนายมายังเมืองหยินซาน ทว่าการต่อสู้สิ้นสุดลงแล้ว และคงไม่ดีที่จะให้พวกเขากลับไปโดยมิได้ทำสิ่งใด หลินมู่อวี่จึงจัดเส้นทางให้พวกเฉินหยางไปจัดการสาขาสำนักอัศวินที่ตั้งขึ้นใหม่ขณะที่กองทหารของหลินมู่อวี่เดินทางกลับเมืองหลันเยี่ยน ซึ่งถือได้ว่าทหารราบทั้งหนึ่งหมื่นห้าพันนายได้ทำหน้าที่ปกป้องชาวบ้านจากอันตรายแล้ว

…………………