เล่ม 1 ตอนที่ 206 นี่คือของแทนใจหรือ

ราชินีพลิกสวรรค์

ออกเดินทาง? 

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของเจียงหลีสุขุมขึ้นมา ที่ตัวนางยังมีจดหมายแนะนำของหนานอู๋เฮิ่น นางและลู่เสวียนต้องมุ่งหน้าไปฝึกที่สถาบันไป๋หยวนเมืองซีเฉียน เพื่อที่จะได้มีอำนาจเข้าสู่ซีฮวง 

 

 

นั่นก็หมายความว่านางต้องจากลู่เจี้ยไป 

 

 

“ตอนนี้ราชวงศ์โฮ่วจิ้นได้ล่มสลายแล้ว ทำไมพวกเรายังต้องไปซีเฉียนอีก” เจียงหลีถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม 

 

 

รับรู้ได้ถึงความไม่ยินยอมในน้ำเสียงของนาง ลู่เจี้ยยิ้มเล็กน้อย แล้วอธิบายอย่างอดทนว่า “ถึงแม้ว่าโฮ่วจิ้นจะล่มสลายไปแล้ว แต่ถ้าอยากทำให้ราชวงศ์มั่นคง ยังต้องใช้เวลา พวกเจ้าไปที่ซีเฉียน ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงความวุ่นวายเหล่านี้ได้ และฝึกฝนได้อย่างสบายใจ” 

 

 

“…” เจียงหลีไม่ได้พูดตอบ 

 

 

ลู่เจี้ยมองนาง พูดอย่างจริงจังว่า “เรื่องที่เจ้าต้องทำก็คือตั้งใจฝึกฝน ส่วนเรื่องอื่น ข้าจัดการเอง” 

 

 

เจียงหลีสบตากับเขานานมาก สายตาที่เต็มไปด้วยการปฏิเสธของเขา ทำให้นางโกรธนิดหน่อย 

 

 

“เชอะ” เจียงหลีแสดงความไม่พอใจ นางหันตัวด้วยความโมโห แล้วไปจากตำหนักที่ลู่เจี้ยอยู่ 

 

 

มองส่งนางที่เดินจากไป ลู่เจี้ยค่อยๆ หุบยิ้ม หยิบหยกขาวนั้นออกมาอย่างเงียบๆ กำไว้ในมือแน่น 

 

 

ทันใดนั้นเงาก็ปรากฏขึ้น ขัดขวางการกระทำต่อมาของเขา “นายน้อย ท่านจะทำร้ายร่างกายตัวเองแบบนี้อีกไม่ได้แล้ว” 

 

 

ลู่เจี้ยกลับส่ายหน้าอย่างช้าๆ ยิ้มอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “นางก็จะไปแล้ว เรื่องที่ข้าจะทำให้นางได้ก็มีไม่มาก” หลังพูดจบ ร่างกายของเขาก็ปล่อยพลังที่น่ากลัวและทรมานนั้นออกมา ม่านในตำหนักถูกพลังนี้ทำให้สลายไป 

 

 

ใบหน้าที่เคร่งเครียดของลู่เจี้ย แสดงถึงความเจ็บปวด แต่ยังคงให้พลังนั้นกัดกินได้ตามสบาย 

 

 

หยกขาวในมือของเขา ดูดซับพลังนี้อย่างต่อเนื่องและผนึกไว้ในหยก 

 

 

เงายืนอยู่ข้างๆ ไม่มีวิธีขัดขวางการตัดสินใจของลู่เจี้ยได้ ใบหน้าที่ธรรมดานั้นเคร่งเครียด ตอนนี้สีหน้าดูไม่ได้เลย แต่ในแววตากลับปิดบังความเป็นห่วงไว้ได้ยาก 

 

 

…… 

 

 

เจียงหลีที่เดินออกมาด้วยท่าทางโมโห ภายใต้การเร่งรัดของข้าราชบริพาร มุ่งหน้าสู่พิธีราชาภิเษกในพระราชวัง ยืนอยู่ด้วยกันกับลู่เสวียนที่สวมใส่เสื้อผ้าที่งดงามเหมือนกัน 

 

 

เจอกับเจ้าหนุ่มนี่อีกครั้ง เจียงหลีทำได้เพียงถอนหายใจในใจ 

 

 

หลังจากที่ลู่อ๋องและภรรยาได้ตายไป เจ้าหนุ่มคนนี้ก็เหมือนจะโตขึ้นในชั่วข้ามคืน ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ตรงไปตรงมาทั้งคำพูดและการกระทำ 

 

 

ลู่เสวียนกลอกตามองสาวน้อยที่ยืนอยู่ข้างๆ รอยยิ้มที่ฝืนยิ้มออกมาไม่ค่อยน่ามองนัก “ทำไมเจ้าถึงได้เปลี่ยนจากอาซ้อตัวน้อยเป็นท่านอาตัวน้อยได้ล่ะ” 

 

 

พูดถึงคำถามนี้ สีหน้าของเจียงหลีก็อึมครึม “ไปถามพี่ชายของเจ้าสิ” 

 

 

มุมปากของลู่เสวียนกระตุกอย่างแรง เลือกที่จะหุบปากอย่างฉลาด ไม่ถามอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก 

 

 

ด้านหน้า ลู่วั่งชวนบอกกล่าวต่อฟ้าดินและประชาชนว่าตนขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ กลายเป็นกษัตริย์พระองค์แรกของราชวงศ์จยาเซียน เป็นกษัตริย์ผู้สถาปนาประเทศราช 

 

 

พิธีหยุมหยิมเหล่านั้น เจียงหลีฟังแล้วรู้สึกง่วงนอน 

 

 

ในความทรงจำของนาง ตอนที่นางขึ้นครองราชย์เป็นราชินีที่ประเทศกู่อู อาณาจักรแม่มดโบราณนั้นก็ไม่ได้ยุ่งยากขนาดนี้ ผู้ที่มีสายเลือดสูงส่งปกครองคนธรรมดา ทั้งประเทศจะมีใครกล้าไม่ยินยอม 

 

 

“……พระราชโองการแต่งตั้งให้เจียงหลี ลูกสาวบุญธรรมเป็นมกุฎราชกุมารี มีตำแหน่งเสวียนเทียน……” 

 

 

ทันทีที่ได้ยินชื่อของตัวเอง เจียงหลีก็ได้สติกลับมา มกุฎราชกุมารี?! 

 

 

มีอะไรผิดพลาดรึเปล่า! 

 

 

เจียงหลีเงยหน้ามองไปยังขุนนางที่รับผิดชอบพิธีการที่อ่านพระราชโองการให้ปรนะชาชนที่มาฟัง แล้วก็มองไปยังลู่วั่งชวน ฮ่องเต้แก่ผมขาวที่สวมเสื้อคลุมลายมังกร ขุนนางนับร้อยใต้ฝ่าพระบาทก็กำลังแอบพูดซุบซิบกัน แต่ว่ามกุฎราชกุมารีไม่เหมือนกับองค์หญิงทั่วๆ ไป ฮ่องเต้พระองค์นี้รักและเอ็นดูองค์หญิงเสวียนเทียนมาก นึกไม่ถึงว่าจะให้นางเป็นมกุฎราชกุมารี 

 

 

ลู่เจี้ย เป็นเจ้าอีกแล้ว! ไม่ต้องคิดเยอะให้ปวดหัว เจียงหลีก็รู้ว่านี่เป็นความคิดของใคร 

 

 

“……พระราชโองการแต่งตั้งให้ลู่เสวียน หลานชายเป็นหยวนหวัง……” 

 

 

ขุนนางผู้รับผิดชอบพิธีการอ่านพระราชโองการอย่างต่อเนื่อง นอกจากเจียงหลีและลู่เสวียน ยังมีขุนนางที่ได้สร้างคุณูปการให้แก่ประเทศชาติด้วยการช่วยโค่นล้มโฮ่วจิ้นในครั้งนี้อีกมากมาย 

 

 

แม้แต่เจียงเฮ่า พี่ชายของนาง ก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการสูงสุดของหน่วยทหารรักษาพระองค์ 

 

 

แต่ว่าฟังจนถึงตอนสุดท้าย กลับไม่มีการเอ่ยถึงลู่เจี้ยเพียงคนเดียว 

 

 

เจียงหลีขมวดคิ้ว ในดวงตาที่สดใสมีความเฉียบแหลม มองไปยังสายตาเหล่านั้นที่มองนางมา 

 

 

คนที่ถูกนางมองกลับไป ล้วนแต่ตกใจ ต่างพากันก้มหน้า สาวน้อยอายุสิบสามปีผู้มีพรสวรรค์คนนี้ จะเป็นมกุฎราชกุมารีได้รึ! 

 

 

…… 

 

 

พิธีการในพระราชวังยังคงดำเนินต่อไป ราชวงศ์โฮ่วจิ้นได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นราชวงศ์จยาเซียนอย่างเป็นทางการแล้ว 

 

 

แต่ว่าในขณะที่ผู้คนทั้งหลายต่างเฉลิมฉลองกัน รถม้าคันหนึ่งที่ด้านในปิดอยู่ กลับมุ่งออกไปจากประตูเมืองอย่างเงียบๆ ไม่รู้ว่าไปที่ใด 

 

 

บนรถม้า ม่านถูกเปิดออก ใบหน้าของมู่ชิงเหยียนปรากฏขึ้น นางหันกลับไปมองทางซั่งตู ไม่มีว่ากำลังคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอน หรือว่าคิดถึงเสด็จพ่อที่สิ้นไปแล้ว 

 

 

“ชิงเหยียน” ในรถมามีเสียงเรียกดังขึ้น 

 

 

มู่ชิงเหยียนนิ่งไป ตั้งสติได้ ปล่อยม่านลง บดบังทัศนียภาพภายนอก ได้ยินแว่วๆ ว่านางเรียกเบาๆว่า “เสด็จแม่” 

 

 

บนภูเขาที่ห่างไกลจากถนนหนทาง เจียงเฮ่ายืนอยู่ใต้เงาต้นไม้ที่นี่คนเดียว มองไปยังรถม้าที่ค่อยๆ ไกลออกไป เขาถอดหน้าของจิ่งเยี่ยออก เปรียบเทียบกันแล้วรูปงามกว่าเมื่อก่อนมาก แต่กลับกลัวขึ้นมาว่าจะไม่มีสาวงามเคียงข้างกายเขา 

 

 

เดิมก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเหตุใดข้าถึงปล่อยวางไม่ได้เสียที เจียงเฮ่าพูดกับตัวเอง หายใจลึกๆ หันตัวเดินจากไป 

 

 

…… 

 

 

ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ราชวงศ์จยาเซียนแทนที่ราชวงศ์โฮ่วจิ้น ยึดครองหนานฮวงได้ด้านหนึ่งแล้ว 

 

 

ความสงบในประเทศ ความมั่นคงของเขตชายแดนที่ลู่เจี้ยพูดยังไม่แสดงออกมา เจียงหลีและลู่เสวียนก็จะถูกส่งไปซีเฉียนแล้ว 

 

 

“พี่ใหญ่ ข้าไม่ไปได้หรือไม่” ลู่เสวียนไม่ยิมยอมอย่างมาก 

 

 

เขาในตอนนี้ อยากอยู่ช่วยเหลือวงศ์ตระกูล 

 

 

“ไม่ได้!” ลู่เจี้ยปฏิเสธเขาตรงๆ 

 

 

เจียงหลียืนอยู่ข้างๆ มองสองพี่น้องอย่างเย็นชา ในใจมีความอึดอัด ลู่เจี้ยผลักไสให้นางไป นางก็ไม่หน้าหนาพอที่จะเฝ้าเขาอยู่ข้างๆ หรอก 

 

 

เพียงแต่ 

 

 

ถ้าเขาอาการกำเริบ จะทำอย่างไร คิดได้เช่นนี้ สายตาของเจียงหลีก็สับสนขึ้นมา 

 

 

“อาหลี” เจียงเฮ่าเดินมาข้างๆ นาง 

 

 

เจียงหลีเก็บความรู้สึกนึกคิด หันไปมองพี่ชาย 

 

 

เจียงเฮ่ายิ้ม ยกมือขึ้นขยี้หัวนาง “ข้าไปทวงบุญคุณกับท่านอาจารย์หนานแล้ว ไปสถาบันไป๋หยวนเมืองซีเฉียนด้วยกันกับเจ้าได้” 

 

 

“จริงรึ!” บนใบหน้าของเจียงหลีในที่สุดก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมา เข้าสถาบันไป๋หยวน เป็นความฝันของเจียงเฮ่ามาตลอด 

 

 

นี่เรียกได้ว่าเป็นเรื่องดีมากๆ เรื่องหนึ่ง 

 

 

“อืม พี่ไม่ไว้ใจให้เจ้าไปเอง” เจียงเฮ่าพูดอย่างเอ็นดู 

 

 

เจียงหลีเบะปากแล้วหัวเราะออกมา แล้วพูดประจบ “พี่ใหญ่ของข้านี่ดีที่สุดเลย!” 

 

 

“หลีเอ๋อร์” ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นแทรกบทสนทนาของสองพี่น้อง 

 

 

เจียงหลีสีหน้าเคร่งขรึม หันหน้าไปมอง “เรียกท่านอา” 

 

 

ลู่เจี้ยส่ายหัวอย่างน่าขัน พูดคล้อยตามว่า “ขอรับ ท่านอา” 

 

 

“มีอะไรหรือ” เจียงหลีทำหน้าขรึม 

 

 

ลู่เจี้ยมองเจียงเฮ่า เจียงเฮ่าขมวดคิ้วด้วยสีหน้าสับสน สุดท้ายก็ถอยออกไป 

 

 

หลังจากที่เจียงเฮ่าไปแล้ว ลู่เจี้ยถึงเดินมาข้างหน้าเจียงหลี หยิบถุงสามใบออกมาจากแขนเสื้อที่โคล่งใหญ่ แล้วยังมีหยกขาวก้อนนั้นอีก ยื่นให้กับนาง “ถ้าหากว่าเจอเรื่องที่ยากจะรับมือ ให้เปิดถุงนี้ แล้วหยกก้อนนี้ เจ้าก็พกติดตัวไว้”  

 

 

เจียงหลีไม่สนใจถุงสามใบนั้น รับมาเพียงแค่หยกขาว หยิบขึ้นมาชมครู่หนึ่ง มองเขาแล้วถามด้วยน้ำเสียงหยอกล้อว่า “นี่คือของแทนใจหรือ”