บทที่ 20 มองหน้ากันจนเบื่อ กับความจริงที่ถูกเปิดเผย (2) โดย Ink Stone_Romance
ฉู่ฉีเฟิงกังวลเรื่องเลื่อนตำแหน่งมาตลอด แต่ฉู่สวินหยางกลับตัดสินใจช่วยหนุนหลังเขาให้ขึ้นตำแหน่งนั้นอย่างแข็งขัน ในสถานการณ์แบบนี้นางกำลังกดดันให้ฉู่ฉีเฟิงแสดงจุดยืนของตัวเองออกมาให้ชัดเจน
แต่เห็นได้ชัดเลยว่ากลยุทธ์ ‘สลับแขกเป็นเจ้าบ้าน[1]’ แบบนี้ มันยากที่จะทำให้อีกฝ่ายยอมรับ
ฉู่ฉีเฟิงมองเขาอย่างเย็นชา อย่าได้พูดถึงคำขอบคุณเป็นอันขาด เพราะแววตานั่นแปรเปลี่ยนจากการดูถูกในตอนแรกเป็นความแค้นเคืองในทันที
พวกเขาสองคนต่างสบตากัน
ฝ่ายหนึ่งยิ้มอย่างสบายใจ แต่อีกฝ่ายกลับมืดมนเต็มไปด้วยโทสะ
แต่มีอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดในแววตาของทั้งสองคน นั่นก็คือความเย็นชาและความไม่เป็นมิตร
สุดท้าย ฉู่ฉีเฟิงก็เป็นคนที่ส่งเสียงออกมาทำลายความเงียบงันตรงหน้าทิ้งไป “เรื่องของข้าไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามาเป็นห่วงหรอก แต่ในฐานะคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ข้าขอเตือนเจ้าไว้อย่างว่าบางสิ่งบางอย่างเจ้าอย่าได้พูดออกมาทั้งหมด ถึงแม้ว่าตอนนี้เจ้าจะมาโอ้อวดว่าตัวเจ้าทำทุกอย่างไปเพื่อนาง แต่เจ้าไม่เคยคิดเลยหรือว่า หากตัวเองคิดถึงฉู่สวินหยางจริงๆ ตัวเจ้าเองก็ควรจะรักษาระยะห่างกับนางด้วย? เจ้าคิดว่าจะปกปิดตัวตนของตัวเองไปได้ตลอดชีวิตเลยงั้นหรือ? หากวันใดความจริงเรื่องนั้นถูกเปิดโปง เจ้าจะจัดการกับมันอย่างไร? ถึงแม้ข้ากับท่านพ่อจะจัดการกับเรื่องนี้โดยไม่ให้ผู้คนแตกตื่นกันได้ แต่พวกหนานฮวาเล่า? แล้วเมื่อถึงเวลาที่ต้องรับมือกับคนพวกนั้น เจ้าก็ยังเอาตัวเองไม่รอดเลย ถึงเวลานั้นคงทำให้นางต้องไปยืนอยู่ปลายเหวอีกครั้งงั้นเหรอ? เจ้าบอกว่าข้าลังเลไม่แน่วแน่ แล้วเจ้าไม่ได้เห็นแก่ผลประโยชน์ตัวเองเช่นกันงั้นเหรอ? เหยียนหลิงจวิน เจ้าคิดว่าตัวเองควบคุมจัดการทุกอย่างได้อย่างที่ต้องการ แต่เจ้าลองถามตัวเองกลับสิ ว่าเจ้ามั่นใจกับเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตสักเท่าไรเชียว? หากเจ้าจะบอกว่าทำไปเพื่อสวินหยาง งั้นเจ้าก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งกับนางตั้งแต่แรก! เดิมทีข้ากับเจ้ามันก็ไม่ต่างกันเท่าไรหรอก ใครหน้าไหนก็อย่าคิดว่าตัวเองมีอำนาจในการตัดสินใจมากกว่ากันเลย!”
แววตาขี้เล่นของเหยียนหลิงจวินเริ่มเย็นชาขึ้น
เดิมทีเขาก็ไม่คิดว่าสามารถปิดบังตัวตนที่แท้จริงของตัวเองไปได้ตลอดอยู่แล้ว ฉู่ฉีเฟิงรู้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเขาผ่าน
ฉู่สวินหยางได้อย่างง่ายดาย การที่อีกฝ่ายจะสืบหาเบื้องลึกของเขาได้อย่างราบรื่นแบบนั้น มันก็เป็นสิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นข้าพูดไปก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา” เหยียนหลิงจวินยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เดินไปที่โต๊ะเทน้ำชาเย็นชืดทิ้งแล้วรินชาใส่ใหม่อีกถ้วย หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้มองหน้าฉู่ฉีเฟิงอีกเลย “จะเป็นเพราะท่านลังเลไม่แน่วแน่แบบนี้ก็ช่างมันเสียเถิด หรือเป็นเพราะข้าเห็นแก่ผลประโยชน์ตัวเองก็ช่าง แต่ถ้ายังไม่ถึงปลายทาง ใครจะไปรู้ล่ะ ว่าผลลัพธ์จะออก มาเป็นแบบไหน?”
“หึ!” ฉู่ฉีเฟิงพ่นลมออกมาทางจมูก สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป
เขารู้จักนิสัยฉู่สวินหยางดี ถ้าเป็นสิ่งที่นางต้องการทำแล้ว ใครหน้าไหนก็ห้ามนางเอาไว้ไม่ได้ ตอนนี้การมีอยู่ของเหยียนหลิงจวินนั้นเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน ถึงแม้เขาจะไม่ชอบใจเท่าไร…
แต่เขาก็ไม่สามารถพูดคัดค้านอะไรได้
จู่ๆ ในใจของเขาก็รู้สึกร้อนรนไม่ปลอดภัยขึ้นมาอย่างน่าประหลาด เขาก้าวเดินไปอย่างรวดเร็วราวกับสายลม
เนื่องด้วยเสียงประตูที่เขาผลักออกไปมันดังสนั่น เลยทำให้ซูอี้ที่กำลังพูดคุยกับฉู่สวินหยางอยู่ตกใจจนหันไปมองที่มาของเสียงนั้น
หน้าตาของฉู่ฉีเฟิงไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนัก เห็นได้ชัดเลยว่า…
ทั้งสองคนจากลากันอย่างไม่สวยงามแน่นอน
“คังจวิ้นอ๋อง!” ซูอี้เก็บซ่อนอารมณ์นั้นไว้แล้วตะโกนทักทายเขาอย่างยิ้มแย้ม พลางเดินถอยหลังออกไปหนึ่งก้าว เพื่อรักษาระยะห่างระหว่างฉู่สวินหยางให้ไกลกว่าเดิมอีกก้าวหนึ่ง
“คุณชายรอง!” ฉู่ฉีเฟิงพ่นเสียงออกมาอย่างมืดมน ใบหน้ายังคงไม่สบอารมณ์อยู่เหมือนเดิม แต่อย่างน้อยน้ำเสียงนั้นก็ยังพอรับแขกอยู่บ้าง เขาเดินตัดหน้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าฉู่สวินหยาง “ข้าจะกลับจวน เจ้าจะกลับไปด้วยกันหรือไม่?”
หากว่าด้วยอารมณ์ตอนนี้ของเขาแล้ว ปกติเขาน่าจะลากตัวฉู่สวินหยางออกไปโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ เดิมทีตอนเขาเดินลงจากบันไดมาเขาก็มีความคิดแบบนั้นอยู่ แต่วินาทีที่เห็นนางเข้าตอนนั้น เขากลับเก็บอารมณ์นั้นลงไปอย่างช่วยไม่ได้…
เขาเป็นแค่พี่ชายของนาง สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็คือการปกป้องนางให้ดีที่สุด เขาไม่มีอำนาจในการเปลี่ยนความคิดหรือวิถีชีวิตของนาง
ในขณะที่เขากำลังยกมือช่วยนางใส่ผ้าคลุมอยู่นั้น วินาทีนั้นเองจิตใจของฉู่ฉีเฟิงก็รู้สึกได้ว่าตนเองช่างไร้อำนาจและทำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ
เดิมทีเขาคิดว่าตนจะยอมทำตามความต้องการของนางได้ทุกเรื่องอย่างไร้ข้อกังขา แต่เมื่อสัมผัสเข้าจริงๆ แล้ว เขาถึงเพิ่งจะรู้ว่าตัวเองนั้นมีจิตใจคับแคบเห็นแก่ตัวมากเพียงใด
ก่อนหน้านี้เคยบอกว่าขอเพียงแค่นางมีความสุขก็พอแล้วไม่ใช่งั้นหรือ? แต่เรื่องเมื่อครู่นั้น ตอนที่เหยียนหลิงจวินพูดตำหนิติเตียนเขาอย่างชัดเจนแบบนั้น จู่ๆ มันก็ทำให้เขารู้สึกว่า…
ก่อนหน้านี้เขาเคยหงุดหงิดกับการปรากฎตัวของคนคนนี้มันมีต้นสายปลายเหตุ เพราะเขานั้น…
รู้สึกรังเกียจการมีอยู่ของคนคนนี้ซะเหลือเกิน!
ถึงแม้เขาจะรู้ว่าอีกฝ่ายทำดีกับฉู่สวินหยางมากแค่ไหน แต่ยิ่งเห็นอีกฝ่ายทำดีกับนางมากเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่ชอบใจและรังเกียจมากกว่าเดิม!
เมื่อใดกัน ที่เขาเปลี่ยนเป็นคนใจแคบเยี่ยงนี้?
เมื่อใดกัน ที่เขาเปลี่ยนเป็นคนอ้อมค้อม ไม่ตรงไปตรงมาแบบนี้?
เมื่อใดกัน…
มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นตามมาจากด้านหลัง ฉู่ฉีเฟิงจึงบังคับตัวเองให้หยุดคิดเรื่องนี้
เขาหันไปมองตามเสียงนั้น คนที่เดินออกมาจากด้านในคือเหยียนหลิงจวิน เขาสูดหายใจเข้าลึกแล้วหันไปคุยกับฉู่สวินหยางต่อว่า “งั้นข้าไปก่อน เจ้าเองก็ระวังตัวด้วย แล้วรีบกลับจวนล่ะ!”
ฉู่สวินหยางแค่มองก็รู้ว่าทั้งสองคนพูดคุยกันได้อย่างไม่ราบรื่น นางจะพูดอะไรได้อีก ฉู่ฉีเฟิงเดินก้าวเท้าจากออกไป โดยไม่เปิดโอกาสให้นางเอ่ยปากพูดเลยด้วยซ้ำ
แววตาของซูอี้ส่องประกาย ยืนยิ้มดูละครตรงหน้ามาตั้งนาน จากนั้นเขาก็ส่งเสียงขึ้นตาม “ข้าเองก็มีธุระเหมือนกัน ไปก่อนล่ะ!”
พูดจบก็วิ่งจากออกไปอย่างรวดเร็วราวกับกระต่าย
ฉู่สวินหยางยืนขมวดคิ้วอยู่ที่เดิม มองฉู่ฉีเฟิงและซูอี้ที่เพิ่งเดินจากออกไปไม่ไกลเท่าไรนัก
จากนั้นเหยียนหลิงจวินก็เดินลงมาจากหอยลนที ยื่นถ้วยชาร้อนๆ ที่ตั้งใจเอาออกมาให้นาง “กลางคืนลมเย็น ดื่มชาให้ร่างกายอุ่นหน่อยเถิด!”
ฉู่สวินหยางรับถ้วยชานั้นมากุมเอาไว้ในมือ มันยังร้อนจัดอยู่ แต่ความร้อนในฝ่ามือนั้นกลับกระจายความอบอุ่นไปทั่วร่างกาย ทำให้ลมที่พัดผ่านผิวน้ำมานั้นไม่หนาวเย็นอย่างที่เคย
นางยกถ้วยชาขึ้นจิบหนึ่ง เงยหน้ามองเหยียนหลิงจวิน แล้วพูดกับเขาว่า “พวกเจ้าทะเลาะกันรึ?”
เหยียนหลิงจวินยิ้ม ไม่ปฏิเสธแต่ก็ไม่ตอบรับ เขาเพียงยกมือขึ้นแล้วคลายคิ้วที่ขมวดเป็นปมของฉู่สวินหยางออก จากนั้นยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “ทะเลาะที่ไหนกัน? ข้าไม่รังแกเด็กน้อยหรอก ข้าแค่สอนตรรกะการอยู่ร่วมกันผู้คนใต้หล้านี้ให้เขาก็แค่นั้น!”
ฉู่สวินหยางถูกเขาพูดหยอกจนหน้าเริ่มเปลี่ยนสีเล็กน้อย นางเบิกตาจ้องเขาเขม็งแล้วเบนหน้าหนีออกจากมืออีกฝ่าย แล้วพูดขึ้นอย่างไม่พอใจว่า “นั่นพี่ชายข้านะ เขาเป็นเด็กน้อย แล้วข้าเล่าเป็นอะไร?”
เหยียนหลิงจวินชะงัก แล้วเผยยิ้มกว้างออกมาอย่างอารมณ์ดี
เขาเดินเข้าไปใกล้ขึ้นดึงตัวนางเข้าไว้ในอ้อมกอด อดไม่ได้ที่พูดออกมาอย่างหยอกเย้าว่า “เจ้าน่ะ…เมื่อไรที่เจ้าคิดได้แล้วว่าจะยอมเป็นแม่ของลูกข้า ข้าก็จะยอมรับว่าเจ้าโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่แล้ว!”
คนคนนี้เวลาพูดอะไรก็ตามยิ่งไม่คิดเกรงกลัวเข้าใหญ่แล้ว เอาแต่พูดอะไรที่ทำให้อีกฝ่ายอยากจะเอ่ยคัดค้าน แต่ก็ไม่มีโอกาสได้พูดออกมา
ฉู่สวินหยางหน้าแดงก่ำ ผลักตัวเขาออกไป เลิกคิ้วขึ้น แล้วพูดอย่างอารมณ์เสียว่า “งั้นเจ้าก็คิดว่าข้าเป็นเด็กไม่รู้จักโต แล้วแกล้งข้าไปตลอดแบบนี้เถอะ!”
พูดจบก็ยักไหล่อย่างไม่สนใจ หันหลังกลับไปดูผืนน้ำแล้วดื่มชาช้าๆ
เหยียงหลิงจวินเดินเข้าไป สวมกอดนางจากด้านหลัง เนื่องจากความสูงที่ต่างกันนัก ทำให้คางของเขาอยู่บนศีรษะของนางพอดิบพอดี เขารู้สึกว่าเส้นผมของนางนั้นมันนุ่มลื่น จากนั้นเลยยกมือขึ้นลูบเบาๆ แล้วพูดกับนางเสียงเบาอย่างอารมณ์ดีว่า “ข้ารอให้เจ้าเติบโตได้เสมอแหละ!”
ประโยคอันคลุมเครือ แต่แฝงไปด้วยความรู้สึกรอคอยและความรักเอ็นดู
ฉู่สวินหยางไม่พูดอะไร นางเพียงยกชาในมือขึ้นจิบหนึ่งคำ
ทั้งสองคนยืนกอดกันอยู่ที่รั้วริมแม่น้ำอยู่นานแสนนาน จนกระทั่งดื่มชาในถ้วยจนหมด
ฉู่สวินหยางกลอกตามองลงไปในก้นถ้วยชาอันแวววับอยู่ใต้แสงจันทร์ แววตาของนางที่เคยเต็มไปด้วยความรู้สึกดี ค่อยๆ เลือนหายเข้าไปในถ้วยชานั้นจนหมดไปอย่างสิ้นเชิง
“เจ้าสืบเรื่องไปจนถึงอารามเมตตาแล้วใช่หรือไม่?” ฉู่สวินหยางเอ่ยปากโพล่งขึ้นมา น้ำเสียงของนางนิ่งขรึม แต่ความรู้สึกนั้นที่เหมือนจะนิ่งขรึมกลับทำให้คนฟังอย่างเหยียนหลิงจวินรู้สึกตกใจขึ้นมา
จู่ๆ เขาก็หยุดหายใจไปชั่วขณะ ร่างกายแข็งทื่อไปทั้งตัว นิ่งอยู่นานจนไม่รู้จะพูดตอบว่าอย่างไรดี
วันนี้เขากับฉู่ฉีเฟิงนัดกันมาพูดคุยเป็นการส่วนตัว แท้จริงก็เพราะว่าเขายังไม่มั่นใจในเรื่องนี้ เนื่องด้วยจุดยืนของฉู่ฉีเฟิงเองก็ยังไม่ชัดเจน แล้วเขาก็รู้อีกว่าฉู่สวินหยางให้ความสนใจกับพี่ชายคนนี้มาก เพราะฉะนั้นเขาเลยมีตั้งใจว่าจะลองหยั่งเชิงฉู่ฉีเฟิงดูก่อน แล้วค่อยคิดว่าจะบอกฉู่สวินหยางเรื่องนี้ดีหรือเปล่า
คนแซ่ฟางนางหลบซ่อนตัวอย่างมิดชิด ถึงแม้ฉู่สวินหยางกับนางจะเป็นแม่ลูกกัน แต่ความสัมพันธ์ของพวกนาง
นั้นช่างห่างเหินกันเสียเหลือเกิน อีกอย่างช่วงที่เกิดเรื่องขึ้นกับฉู่ฉีฮุยช่วงนี้ คนแซ่ฟางเองก็สืบค้นอย่างสุดฝีมือ ดูท่านางต้องการอยากจะหาฆาตกรตัวจริงให้เจอ เพื่อลบล้างมลทินให้กับฉู่ฉีเฟิงให้ได้
เพราะฉะนั้นไม่ว่าอย่างไรเหยียนหลิงจวินก็ไม่คิดว่าฉู่สวินหยางจะรู้เรื่องนี้
ฉู่สวินหยางรอคำตอบอยู่นาน เมื่อเห็นเขาไม่พูด ก็รู้แล้วว่าสิ่งที่ตนคิดอยู่นั้นถูกต้อง
“ข้าเดาได้ตั้งแต่ตอนที่พี่ชายข้าไม่ได้ยื่นมือเข้าไปยุ่งการสืบค้นตรวจสอบเกี่ยวกับการตายของฉู่ฉีฮุยแล้ว” นางยังคงยืนอยู่ในอ้อมกอดของอีกฝ่ายไม่ขยับไปไหน ขยับเพียงแค่ริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม มองแวบแรกนั้นช่างสวยงาม แต่หากมองดูหลายๆ ครั้งก็รู้สึกได้ถึงความขมขื่น “เทียบกับข้าแล้ว พี่ชายข้าน่าจะรู้จักเข้าใจนางดีกว่ามากนัก”
ฉู่สวินหยางก้มหน้าแล้วก็เงยหน้าขึ้นมองระลอกน้ำ ราวกับกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองอยู่
“นางเกิดจากครอบครัวสายลับ พ่อของนางได้เป็นขุนพลตั้งแต่อายุยังน้อย ได้ยินมาว่านางเคยช่วยชีวิตบิดาของตัวเองในครั้งที่ทหารรุมล้อมอยู่ แต่หลังจากที่คนแซ่ฉู่ก่อเรื่องเข้า ก็เกิดสงครามไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าจะรบกี่สนาม นางก็คอยตามไปด้วยทุกครั้ง แต่เพื่อไม่เป็นที่จับตามองของคนอื่น ตั้งแต่ที่นางตัดสินใจติดตามท่านพ่อข้า หลังจากนั้นนางจึงเลือกที่ปิดบังเรื่องราวในอดีตของตัวเองมาตลอด ทุกคนต่างรู้เพียงแค่ว่า…นางเป็นนางกำนัลธรรมดาๆ ในวังคนหนึ่งเท่านั้น ส่วนฝีมือและความสามารถของนางนั้น…ถึงแม้ข้าจะไม่เคยเห็น แต่ก็อาจจะสูสีทัดเทียมกับอิ้งจื่อได้เลยล่ะ หากต้องการที่จะสังหารพวกฉู่ฉีฮุยล่ะก็ ไม่ใช่เรื่องยากเลยด้วยซ้ำ”
————————————–
[1] เป็นกลยุทธ์ที่หมายถึงว่าเมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเปิดช่องสบโอกาสให้สอดแทรก ควรสอดแทรกเพื่อกุมจุดสำคัญหรือหัวใจของอีกฝ่ายไว้