บทที่ 23 หอวิจิตร
บทที่ 23 หอวิจิตร

เฉินซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัย เมื่อเห็นเค้าความสับสนก่อตัวบนใบหน้าของเมิ่งคงและหลัวชง ‘การฝึกฝนด้วยวิธีจินตภาพมันทำไมหรือ?’ เฉินซีครุ่นคิดในใจ

“ท่านพี่ ข้าเคยได้ยินท่านอาจารย์เมิ่งคงกล่าวว่าวิธีการฝึกฝนแบบจินตภาพนั้นหายากมาก ซึ่งที่เมืองหมอกสนนี้มีผู้ครอบครองเคล็ดวิชาประเภทนี้เท่าที่นับได้มีไม่เกินสามคน”

“เหตุผลที่เคล็ดวิชาจินตภาพนี้ล้ำค่ามาก เป็นเพราะมันไม่อาจถ่ายทอดออกมาเป็นแผ่นหยก งานเขียนหรือภาพประกอบได้ ในทางกลับกัน มีเพียงการถ่ายทอดจากเจ้าของเดิมผ่านทักษะลับประเภทหนึ่ง และจะมีผู้สืบทอดได้เพียงผู้เดียว มิอาจถ่ายทอดอย่างแพร่หลายได้ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมมันถึงหายากนัก”

เฉินฮ่าวสังเกตได้ถึงความสับสนที่ก่อตัวขึ้นภายในตัวเฉินซี จึงกระซิบผ่านหูและอธิบายว่า “อย่างไรก็ตาม ข้าเคยได้ยินมาว่านิกายโบราณเหล่านั้นได้ซ่อนทรัพยากรไว้ใช้ยามฉุกเฉินมากมาย อีกทั้งยังมีสมบัติลับแห่งจินตภาพที่ใช้ในการมองเห็นแตกต่างกัน ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยบุคคลที่น่าทึ่งผ่านความรู้ของพวกเขา พวกเราสามารถเข้าใจวิธีการมองเห็นภาพผ่านสมบัติลับแห่งจินตภาพเหล่านั้นได้ เช่นเดียวกับจารึกศิลากระบี่ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรก็นับเป็นสมบัติลับแห่งจินตภาพอันลึกลับเช่นเดียวกัน”

เฉินซีก็เข้าใจในทันที เขานึกถึงรูปปั้นเทพเจ้าฝูซีที่อยู่ภายในทะเลแห่งจิตสำนึกของตนเอง และก็รู้สึกลึก ๆ ว่าตัวตนของมันกลายเป็นสิ่งที่ล้ำค่ายิ่งนัก

“ข้าจะเรียนรู้ทักษะจินตภาพโดยเร็วที่สุด แต่ถ้าหากข้ายังไม่อาจเข้าใจความลี้ลับของโครงสร้างอักขระยันต์เหล่านี้ได้ในเวลานั้น ข้าจะกลับมาพบท่านอีกครั้ง” ฉินหงเหมี่ยนประสานมือเล็ก ๆ ของนางเป็นการขอบคุณ ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายแห่งความมุ่งมั่น ก่อนจะโบกมือให้เฉินซีและหันหลังเดินจากไป

“เมิ่งคงคราวนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อน แต่ครั้งหน้าข้าจะสู้กับเจ้าอย่างแน่นอน!” หลัวชงหาได้สนใจที่จะซักถามเฉินซีเกี่ยวกับทักษะจินตภาพ ยามเมื่อเขาเห็นฉินหงเหมี่ยนจากไป เขาก็จ้องมองไปยังเมิ่งคอย่างดุร้าย ก่อนที่จะจากไปอย่างไม่เต็มใจ

“ในที่สุดไอ้เจ้าคนเสียสติก็จากไปเสียที” เมิ่งคงแย้มยิ้มเมื่อเห็นคนทั้งสองจากไป จากนั้นเขาก็หันไปมองเฉินซีด้วยสายตาพิลึกชอบกล “นับว่าไม่น่าแปลกใจหากเจ้าจะมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว มันเป็นเพราะเจ้าได้บ่มเพาะทักษะจินตภาพนี่เอง”

“อาจจะ” เฉินซีตอบอย่างลวก ๆ และไม่เต็มใจที่จะกล่าวถึงเรื่องนี้อีก

“ทักษะจินตภาพนับเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์อย่างยิ่ง มันทั้งหายากและล้ำค่า อย่ากล่าวถึงเรื่องนี้กับผู้ใดอีกในภายภาคหน้า มิฉะนั้นชีวิตของเจ้าอาจประสบกับภยันตราย”

เมิ่งคงแย้มยิ้มแล้วกล่าวว่า “แต่อย่าได้กังวลไป แม้ว่าหลัวชงจะแลดูคล้ายคนเสียสติ แต่เขาจะไม่เปิดเผยความลับของเจ้าออกไปอย่างแน่นอน”

เฉินซีพยักหน้ารับ แต่เขาแอบคิดในใจว่า ‘หาได้มีความลับใดในโลก แต่เอาเป็นว่าข้าจะไม่กล่าวเรื่องนี้กับผู้อื่นในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน ข้าเกือบที่จะปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งความโชคร้ายให้ตัวเองในครั้งนี้เสียแล้ว…’

วันรุ่งขึ้น เมิ่งคงพาเฉินฮ่าวเดินไปตามเส้นทางสู่เมืองทะเลสาบมังกร

เฉินซีรู้สึกเศร้าเล็กน้อยกับการจากไปของน้องชาย และยิ่งเมื่อรู้ว่าไป๋หว่านฉิงก็จะพาซีซีจากไปพร้อมกับเมิ่งคงเช่นกัน อารมณ์ของเขาก็ยิ่งหดหู่มากขึ้น

“ท่านพี่อย่าได้กังวล ข้าจะตั้งใจฝึกฝน ส่วนท่านก็ดูแลตัวเองให้ดีด้วย ไม่ต้องคอยเป็นกังวลถึงตัวข้าหรอก…”

“เฉินซี ตั้งแต่วันที่ข้าพาเฉินฮ่าวไปพบเมิ่งคง ข้าสัญญาว่าจะออกจากเมืองหมอกสนและกลับไปที่เมืองทะเลสาบมังกรกับเขา เจ้าต้องคอยดูแลตัวเองให้ดี และหากเจ้ามายังเมืองทะเลสาบมังกร เจ้าต้องมาทักทายน้าไป๋คนนี้ด้วยล่ะ”

“พี่เฉินซี ซีซีกำลังจะจากไป นี่คือลูกกวาดที่ซีซีชอบมากที่สุด ข้าจะแบ่งให้ท่านกินครึ่งหนึ่งและหลังจากที่ท่านพี่ทานแล้ว ท่านพี่จะกลายเป็นสหายที่ดีที่สุดของข้า ลาก่อน!”

เสียงของเฉินฮ่าว ท่านน้าไป๋และซีซียังคงดังกังวานติดหู ขณะที่ชายหนุ่มนั่งอยู่ภายในห้องของเขาและเหม่อลอยเป็นเวลาเนิ่นนาน ก่อนที่จะค่อย ๆ เปิดจดหมายที่สวยงามอยู่ภายในมือของเขา

‘ถึงเฉินซี ในโลกแห่งการบ่มเพาะ ความตายนั้นแฝงตัวอยู่ทุกหนทุกแห่ง หากเจ้าต้องการก้าวเดินในเส้นทางนี้ เจ้าจะต้องมีเคล็ดวิชาต่อสู้อันลึกล้ำที่เหมาะสมกับระดับการบ่มเพาะของเจ้า เมื่อคืนนั้นยามที่เราได้เสวนากันโดยละเอียด ข้าสังเกตว่าเจ้าดูเหมือนไม่ได้ฝึกทักษะการต่อสู้มาหลายปีแล้ว การบ่มเพาะของเจ้าในเต๋าแห่งการต่อสู้นั้นแสนธรรมดาทั่วไปเสียเหลือเกินและนี่เป็นข้อห้ามอันร้ายแรงของผู้บ่มเพาะ

เต๋าแห่งการต่อสู้นั้นคือรากฐานของวิชาการต่อสู้ทั้งหลายเช่น วิชากระบี่ วิชาหมัด วิชาดาบ… ไม่ว่าจะเป็นทักษะการต่อสู้แบบใด เจ้าต้องค้นหารูปแบบการต่อสู้ที่เจ้าถนัดด้วยตัวเอง ด้วยวิธีการนี้ เจ้าจะกลายเป็นผู้บ่มเพาะที่แท้จริง! เจ้าจงคอยดูแลตัวเองดี ๆ แล้วพบกันใหม่’ — เมิ่งคง’

ฟู่~!

เฉินซีถอนหายใจอย่างเนิ่นนานหลังจากที่เขาอ่านจดหมายฉบับนี้จบ

ตัวเขาได้รับประโยชน์มากมายจากการสนทนาอย่างยาวนานในคืนนั้นกับเมิ่งคง ผู้ฝึกฝนวิถีกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักหมอกสน และก็เข้าใจดีว่าแม้ระดับการบ่มเพาะของตนจะก้าวหน้าไปมาก แต่พลังการต่อสู้ของเขานั้นไม่ได้เลิศล้ำอะไรเลย ซึ่งสาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะเขาคำนึงถึงการสร้างยันต์และศิลปะการทำอาหารเท่านั้น จึงได้ละเลยการฝึกฝนทักษะการต่อสู้ไปเสียเนิ่นนาน

ตอนนี้เมื่อเขาเห็นถ้อยคำที่เมิ่งคงเหลือทิ้งไว้เพื่อเขาโดยเฉพาะ ความรู้สึกซาบซึ้งจึงบังเกิดและความปรารถนาที่จะแข็งแกร่งขึ้นก็ปะทุขึ้นในใจ

ในอดีตเนื่องจากต้องคอยหารายได้เข้าบ้านและช่วยน้องชายหาเงินจ่ายค่าเล่าเรียน เวลาของเขาจึงถูกใช้ไปกับการสร้างยันต์และการเรียนรู้ศิลปะการทำอาหาร จนตัวเองแทบไม่มีเวลาฝึกฝนทักษะการต่อสู้ แต่ตอนนี้หลังจากที่เฉินฮ่าวจากไป เขาเพียงแค่ต้องชำระเงินค่าเล่าเรียนของสำนักหมอกสนให้หมด และจากนั้นเขาจะสามารถใช้เวลาฝึกฝนทักษะการต่อสู้ของตนเองได้อย่างเต็มที่

‘ช่างน่าเสียดายที่ตระกูลเฉินของข้าถูกทำลายล้างและตำราวิชายุทธ์กว่าพันเล่มก็ถูกเผาทำลาย ท่านปู่สามารถรักษาเคล็ดวิชาการบ่มเพาะนภาม่วงไว้ได้เพียงอย่างเดียว ก่อนที่จะได้รับบาดเจ็บจากศัตรู ถ้าข้าต้องการฝึกฝนทักษะการต่อสู้ เกรงว่าข้าจะต้องเข้าเรียนที่สำนัก’ เฉินซีครุ่นคิดเงียบ ๆ เป็นเวลาเนิ่นนานก่อนที่จะเดินออกจากห้องของเขา

ร้านค้าของตระกูลจาง

เนื่องจากแผ่นยันต์แบบใหม่ถูกขายออกไปจนหมดเกลี้ยง ฉากการแย่งชิงเพื่อซื้อแผ่นยันต์อย่างบ้าคลั่งตลอดหลายวันที่ผ่านมาจึงทยอยสงบลง

แต่เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน ชื่อเสียงของร้านค้าของตระกูลจางได้ดังก้องไปทั่วทั้งเมืองหมอกสน และกระแสลูกค้ารายวันก็เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมสองถึงสามเท่า ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ จางต้าหยงจึงไม่ต้องกังวลว่าจะขาดแคลนศิลาวิญญาณอีกต่อไป

“ท่านลุงจาง” เฉินซีผลักประตูและก้าวเข้าไป จางต้าหยงที่กำลังนอนหลับอยู่หลังชั้นวางของ ดวงตาก็พลันเบิกโพลงเมื่อได้ยินเสียงของชายหนุ่ม ใบหน้าของเขายิ้มแย้มแจ่มใส ยิ่งกว่านั้น เหล่านักสร้างยันต์ฝึกหัดทั้งสิบที่ยุ่งอยู่ด้านข้างต่างก็หยุดการกระทำของพวกเขา และใบหน้าของพวกเขาทั้งหมดก็ปรากฏความรู้สึกชื่นชมระคนอิจฉาริษยา

เนื่องจากการปรากฏตัวของยันต์ระดับแรกแบบใหม่ นักสร้างยันต์ทุกคนจึงได้รับประโยชน์จากเฉินซี และได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้นอย่างมาก เช่นนี้พวกเขายังจะกล้าคิดดูแคลนเฉินซีเหมือนเดิมได้อย่างไร?

ส่วนเรื่องที่เฉินซีเป็นตัวโชคร้ายน่ะหรือ? ตราบใดที่เฉินซีสามารถสร้างประโยชน์ให้กับทุกคนได้ แม้ว่าจะเป็นเทพเจ้าแห่งความอัปมงคลที่กลับชาติมาเกิดก็ยังคุ้มค่าที่จะให้ทุกคนทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม!

เฉินซีอยู่ในห้องที่เงียบสงบของร้านอาหารนทีกระจ่างตลอดเวลา ดังนั้นเขาจึงไม่ทราบถึงความต้องการยันต์อักขระรุ่นใหม่ซึ่งเป็นที่ต้องการในท้องตลาดอย่างมหาศาล และตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองได้รับการตั้งฉายาใหม่อย่างทรงเกียรติว่า ‘ปรมาจารย์แห่งยันต์อักขระลึกลับ’

ดังนั้นเขาจึงกวาดมองสายตาทุกคนด้วยความสงสัย และเมื่อเทียบกับผู้อื่น ณ ปัจจุบันอารมณ์ของเขานับว่าสงบนิ่งยิ่งนัก

จางต้าหยงมีรอยยิ้มบนใบหน้าขณะที่เขาเชิญเฉินซีเข้าไปในห้องอันหรูหรา จากนั้นชายแก่ก็แสร้งทำเป็นโกรธและโวยวาย “เจ้าหนู! เจ้าหายไปตั้งสิบห้าวันแล้วยังมีหน้ามาพบข้าอีกเหรอ?”

เฉินซีหน้าแดงเล็กน้อยด้วยความละอาย “ท่านลุง ข้ามีธุระอื่นที่ต้องจัดการในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ และไม่สามารถปลีกตัวจากเรื่องนั้นได้ระยะหนึ่ง ดังนั้น…”

“เอาล่ะ ช่างเถอะ ๆ เจ้าเติบใหญ่แล้วย่อมมีธุระที่ต้องจัดการ ข้านั้นเข้าใจดี” จางต้าหยงโบกมืออย่างหาได้ใส่ใจ จากนั้นก็เผยรอยยิ้มในขณะที่เขาถามว่า “เจ้าได้สร้างแผ่นยันต์อักขระกี่แผ่นก่อนจะมาในครั้งนี้?”

เฉินซีส่ายหัวและไตร่ตรองก่อนจะพูดว่า “ท่านลุงจาง ข้าเกรงว่าจะไม่สามารถสร้างยันต์อักขระได้อีกสักระยะ เนื่องจากข้าต้องการจดจ่อกับการฝึกฝนทักษะการต่อสู้เพื่อเพิ่มพูนความแข็งแกร่ง”

จางต้าหยงตกตะลึง และหลังจากผ่านไปเนิ่นนานจึงหายจากอาการตกใจ เขาทอดถอนลมหายใจที่เต็มไปด้วยความอาวรณ์ “ข้ารู้ว่าวันนี้ย่อมมาถึง แต่ข้าไม่เคยคาดคิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้”

เฉินซีบังเกิดอารมณ์อันซับซ้อนขณะที่เขาเดินออกจากร้านค้าของตระกูลจาง หากไม่ใช่เพราะจางต้าหยงคอยดูแลพวกเขาในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ทั้งตัวเขา น้องชาย และท่านปู่คงจะต้องกลายเป็นขอทานตามท้องถนนตั้งแต่เมื่อนานมาแล้ว ตอนนี้เพื่อประโยชน์ในการแสวงหาความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องถอนตัวออกจากงานนี้และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกละอายใจ

“ท่านลุงจาง ข้าเฉินซีจะไม่มีวันลืมความเมตตาทั้งหมดที่ท่านมอบให้!” หลังจากยืนอยู่หน้าป้ายร้านค้าของตระกูลจางเป็นเวลาเนิ่นนาน ร่องรอยของความแน่วแน่ก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเฉินซี ก่อนที่เขาจะหันหลังและจากไปอย่างเด็ดเดี่ยว

ณ หอวิจิตร

หอวิจิตรเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงภายในเมืองหมอกสน ซึ่งโด่งดังในเรื่องการค้าขายเคล็ดวิชาแขนงต่าง ๆ ตั้งแต่เคล็ดวิชาทั่วไปจนถึงระดับสูง มันมีทุกสิ่งที่คาดว่าจะพอหาได้ อีกทั้งยังตอบสนองความต้องการของเหล่าผู้บ่มเพาะไร้สังกัดที่ไม่ฝักใฝ่อยากจะเข้ากับสำนัก นิกายหรือตระกูลใด

‘เรื่องการขัดเกลาปราณภายใน ขณะนี้ข้ากำลังบ่มเพาะเคล็ดวิชานภาม่วงที่สืบทอดมาในตระกูล ส่วนการขัดเกลาร่างกาย ข้าก็กำลังบ่มเพาะด้วยเคล็ดวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพที่ผู้อาวุโสจี้อวี๋มอบให้ ดังนั้นตอนนี้จึงเหลือแต่เลือกทักษะการต่อสู้เพียงอย่างเดียว ว่าแต่แบบใดเพื่อที่จะเหมาะสมกับข้าที่สุดกัน?’ ขณะนี้เฉินซีกำลังยืนอยู่หน้าชั้นวางของ สายตาจ้องมองไปที่บรรดาคัมภีร์ทักษะการต่อสู้แบบโบราณแขนงต่าง ๆ และไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นจากเล่มไหนดี

“นายท่านต้องการให้ข้าช่วยเลือกเคล็ดวิชาให้หรือไม่?” ข้ารับใช้หญิงที่มีรูปลักษณ์สะสวยที่อยู่ใกล้ ๆ กล่าวแนะนำ

เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “แม่นางพอจะมีทักษะการต่อสู้ที่เหมาะกับผู้บ่มเพาะภายนอกหรือไม่?”

ข้ารับใช้หญิงคนนั้นสะดุ้งและร่องรอยของการดูหมิ่นก็ปรากฏขึ้นในแววตาของนาง ภายในเมืองหมอกสน ผู้บ่มเพาะภายนอกส่วนใหญ่มักเป็นพวกแรงงานที่มีสถานะต่ำต้อย ไม่มีทรัพย์สินเงินตราหรืออำนาจใด ๆ สรุปโดยง่ายคือเป็นพวกยากจนข้นแค้น

ในเวลานี้ เมื่อนางได้ยินว่าเฉินซีต้องการขอซื้อทักษะการต่อสู้สำหรับผู้บ่มเพาะภายนอก ข้ารับใช้หญิงก็มองเขาเฉกเช่นยาจกที่กำลังดิ้นรนต่อสู้กับความยากไร้

“มีทักษะการต่อสู้น้อยมากสำหรับผู้บ่มเพาะภายนอก ร้านเรามีเพียงสิบกว่าทักษะเท่านั้นและทั้งหมดวางอยู่ตรงนั้น” ท่าทีของข้ารับใช้หญิงเปลี่ยนเป็นเหินห่างเย็นชาและนางไม่เรียกเฉินซีว่า ‘นายท่าน’ อีก ขณะที่นางชี้ไปที่มุมหนึ่งของชั้นวางของ

ในใจของข้ารับใช้หญิงรู้สึกดูถูกยิ่งขึ้นไปอีก ขณะที่นางกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ทั้งหมดนี้เป็นทักษะการต่อสู้อันล้ำค่าที่หอวิจิตรของข้าได้รวบรวมไว้ แม้ว่าจะเป็นทักษะการต่อสู้ขั้นพื้นฐาน แต่ก็แข็งแกร่งกว่ามากเมื่อเทียบกับทักษะการต่อสู้ทั่วไปในท้องตลาด ถ้าเจ้ารู้สึกว่ามันแพง เจ้าก็สามารถไปดูที่อื่นได้”

หลังจากพูดจบ ข้ารับใช้หญิงก็หันหลังเดินจากไปทันทีพลางบ่นพึมพำว่า “และถ้าเจ้าไม่สามารถจ่ายได้ก็อย่าได้บ่นว่ามันแพงทีหลังก็แล้วกัน ข้ารำคาญนักที่ผู้บ่มเพาะภายนอกอย่างพวกเจ้าขี้บ่นเหมือน ๆ กัน!”

เฉินซีส่ายหัวและคร้านที่จะต่อปากกับข้ารับใช้หญิง เขาใช้ศิลาวิญญาณหนึ่งร้อยก้อนเพื่อซื้อคัมภีร์หมัดถล่มทลาย แต่เมื่อเพิ่งเดินออกจากประตูหอวิจิตร เขาก็ถูกเรียกจากทางด้านหลัง

“เฉินซี!” เสียงนั้นล้ำลึกและทรงพลัง

เฉินซีหันกลับมา และพบกับหลัวชงที่เดินออกมาจากหอวิจิตรกำลังเข้าหาเขา

“นี่คือแผ่นหยกทักษะการต่อสู้สำหรับผู้บ่มเพาะภายนอกสิบสามแผ่นที่คุณหนูซื้อให้เจ้า จงรับไปเสีย” หลัวชงกล่าวขณะที่เขาโยนถุงร้อยสมบัติให้เฉินซีก่อนที่จะหันหลังกลับและเดินเข้าสู่หอวิจิตรอีกครั้ง

เกิดอะไรขึ้น? เฉินซีตกตะลึงอย่างมาก จากนั้นก็จ้องมองไปที่หอวิจิตร และเขาก็เห็นฉินหงเหมี่ยนในชุดธรรมดากำลังโบกมือให้เขาอย่างปีติยินดี

เป็นไปได้หรือไม่ว่านางจะเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่? มันต้องเป็นเยี่ยงนั้น ไม่อย่างนั้น เหตุใดหลัวชงถึงมอบแผ่นหยกทักษะการต่อสู้หลายแผ่นให้เขาโดยไร้เหตุผล?

แต่เฉินซีรู้สึกไม่อาจรับของขวัญชิ้นนี้ได้ ดังคำกล่าวที่ว่า ‘ไม่มีความสำเร็จใดที่ปราศจากความเจ็บปวด และไม่มีสิ่งใดที่ได้รับมาโดยไม่ต้องจ่ายราคา’ เขาไม่ต้องการเป็นหนี้บุญคุณกับนาง ดังนั้นเขาจึงเดินเข้าไปในหอวิจิตรอีกครั้ง แต่หลังจากมองไปรอบ ๆ เขาก็พบว่าฉินหงเหมี่ยนได้หายตัวไปนานแล้ว

“นายท่าน ข้า… ข้าขออภัยยิ่งนัก…” ข้ารับใช้หญิงเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเศร้า ดูเหมือนนางเพิ่งจะโดนตำหนิอย่างร้ายแรง นางขอโทษด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ซึ่งเผยให้เห็นร่องรอยของความสลดเสียใจและความเคารพยิ่งนัก หาได้มีร่องรอยของความเย็นชาและเย้ยหยันเฉกเช่นก่อนหน้านี้อีกต่อไป