บทที่ 220 ตื่นเถอะ!

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

“คำว่าอมตะมันหนักเกินไปจริงๆ และอยู่ห่างจากพวกเราไปมาก อย่างน้อยในโลกนี้ก็ไม่อาจตามหาได้ บางทีในดาวดวงอื่นที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ในดวงดาวที่มีอารยธรรมที่แตกต่างออกไปอาจจะมีผู้แข็งแกร่งที่สามารถเดินบนเส้นทางแห่งความเป็นอมตะได้”

เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง นอนฟังคำพูดนี้ของจางอีเต๋ออยู่บนเตียง ในใจของเขารู้สึกสั่นไหว เขาคิดไม่ถึงเลยว่า จางอีเต๋อที่เป็นเซียนแพทย์เทวะของโลกใบนี้จะมีความคิดที่นำหน้าคนธรรมดาไปมาก ที่สำคัญก็คือทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องความอมตะของจางอีเต๋อสามารถเทียบเท่าได้กับผู้แข็งแกร่งในช่วงยุคสิ้นโลก ท่ามกลางจักรวาลอันกว้างใหญ่ มีดวงดาวและอารยธรรมที่แตกต่างกันมากมาย ที่นั่นมียอดฝีมือที่เก่งกาจที่ไล่ตามเคล็ดลับของความเป็นอมตะมาโดยตลอด ก็เหมือนกับสังคมในยุคปัจจุบันนี้ที่มีหลายประเทศคิดจะสร้างยานอวกาศเพื่อสำรวจความลึกลับของท้องฟ้า

“อย่าคิดอีกเลย ทั่วทั้งจักรวาลมีคนที่อยู่ถึงพันปีหมื่นปี แต่ไม่มีคนที่เป็นอมตะอยู่แน่นอน ตื่นเถอะ! ”เย่เทียนเฉินหัวเราะหิๆ แล้วพูดขึ้น

“คุณรู้ได้ยังไง?” ทันใดนั้นจางอีเต๋อมองเย่เทียนเฉินแล้วเอ่ยถามอย่างจริงจัง

“นี่คือความลับที่พูดไม่ได้!” เย่เทียนเฉินอยากไหลแล้วล้มหัวลงไปนอน

บทสนทนาที่พูดคุยกับจางอีเต๋อในยามค่ำคืน สร้างความสั่นสะเทือนให้เย่เทียนเฉินเป็นอย่างมาก นี่ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะคิดเรื่องเกี่ยวกับช่วงยุคสิ้นโลกให้มากขึ้น ความเป็นอมตะ เย่เทียนเฉินเองก็เคยไล่ตามมันมาก่อน เพียงแต่ในช่วงยุคสิ้นโลก ไม่ว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งแห่งพรรควรยุทธโบราณหรือจะเป็นผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งหาได้เปรียบ หรือไม่ก็มนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์กลายพันธุ์ กระทั่งสัตว์ประหลาดและปีศาจ หากไม่ไปถึงขอบเขตของผู้มีพลังพิเศษในระดับเทพราชัน ก็ไม่อาจอาศัยความสามารถของคนเพียงคนเดียวเดินท่องไปในจักรวาลได้ แบบนั้นจะทำให้เหนื่อยจนตาย มีเพียงต้องไปถึงขอบเขตของเทพราชันเท่านั้นถึงจะสามารถเติมเต็มตัวแปรของทุกสรรพสิ่งได้ พูดอย่างไม่เกินจริงก็คือ สามารถขี่กระบี่ท่องไปได้นับล้านลี้ ขี่เมฆท่องไปได้ทั่วทุกสารทิศ!

ในช่วงยุคสิ้นโลกเย่เทียนเฉินเป็นผู้มีพลังพิเศษในขอบเขตพระเจ้าขั้นสูง เขาย่อมคิดเรื่องเกี่ยวกับความเป็นอมตะมาก่อน เพียงแต่ตอนนั้น ด้วยขอบเขตพลังของเขาก็ยังไม่พบความลับอะไรมากมาย แล้วยังไม่สามารถมีสำนึกต่อธรรมชาติและเส้นทางบำเพ็ญเพียรในขั้นสูงได้ ดังนั้นจึงข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้น้อยมาก

จางอีเต๋อเป็นเซียนแพทย์เทวะในโลกใบนี้ และเป็นผู้มีพลังพิเศษที่มีฝีมือร้ายกาจมากคนหนึ่ง ทำลายกรอบความคิดที่ว่าผู้มีพลังพิเศษในสายรักษาจะต้องมีพลังต่อสู้อ่อนแอไปได้โดยสิ้นเชิง ในขณะที่เขามีวิชาแพทย์สูงส่ง ก็ยังสามารถใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายโลหะได้ ในจุดนี้ต่อให้เป็นในช่วงยุคสิ้นโลกก็มากเพียงพอที่จะสั่นสะท้าน บางทีจางอีเต๋อที่มีฐานะเป็นเซียนแพทย์เทวะ ซึ่งสามารถยืดอายุให้ผู้นำสูงสุดที่ก่อตั้งประเทศได้ไปยี่สิบปี คงจะเคยศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเรื่องของความเป็นอมตะมาก่อน ไม่ได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมาลอยๆ

ในตอนนี้ ในเขตของคฤหาสน์แห่งหนึ่งที่มีเพียงตระกูลทรงอำนาจที่สุดของประเทศจีนเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าไปได้ มีคฤหาสน์หลังใหญ่อยู่เพียงไม่กี่หลัง จนสามารถเรียกได้ว่าเป็นพระราชวัง มีตำรวจติดอาวุธล้อมเอาไว้เพื่อคุ้มครอง เห็นได้ถึงความแข็งแกร่งของมัน คนธรรมดาไม่อาจเข้าไปได้โดยเด็ดขาด

ตระกูลหลิง ซึ่งเป็นตระกูลหนึ่งที่มีความสำคัญมากพอที่จะขับเคลื่อนโลกธุรกิจระหว่างประเทศ พ่อของหลิงอวี่สวิ๋นเป็นประธานสมาคมการค้าระหว่างประเทศเพื่อชาวจีนโพ้นทะเล นี่เป็นตระกูลที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ในโลกของธุรกิจ ตระกูลหลิงเคยไปตั้งรกรากเพื่อทำธุรกิจอยู่ในประเทศ M จนฝังแน่น และดูเหมือนว่าจะไปถึงขั้นที่สามารถส่งผลกระทบกับธุรกิจและเศรษฐกิจจำนวนมากของประเทศ M ได้แล้ว ในช่วงหลายปีมานี้ เนื่องจากสถานการณ์ในประเทศเป็นไปในทิศทางที่ดี และเนื่องจากการดูแลของผู้นำทางด้านการเมืองท่านหนึ่งในประเทศที่มีต่อตระกูลหลิง ผู้อาวุโสตะกูลหลิงซึ่งก็คือคุณปู่ของหลิงอวี่สวิ๋นจึงคิดที่จะกลับสู่บ้านเกิด เมื่อเดินทางไกลโพ้น จะช้าจะเร็วก็ต้องกลับสู่อ้อมกอดของมารดา เขาจึงค่อยๆ เคลื่อนย้ายศูนย์กลางของเศรษฐกิจมายังภายในประเทศ

เมื่อทำเช่นนี้ในโลกของเศรษฐกิจในประเทศก็จะมีตระกูลใหญ่อยู่สองตระกูล ตระกูลแรกก็คือตระกูลซู เดิมทีตระกูลซูเป็นตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งในโลกของธุรกิจภายในประเทศ ความสามารถทางด้านการเงินแข็งแกร่งมาก นี่เป็นเรื่องที่ไม่ต้องบอกก็รู้ มิฉะนั้นเมื่อวันนั้นที่เย่เทียนเฉินถูกจับไปที่สำนักความปลอดภัยสาธารณะ และฆ่าคนในนั้น หากไม่ใช่เพราะซูเฟยเฟยให้คุณปู่ช่วยยกหูโทรศัพท์ให้เธอ เกรงว่าเย่เทียนเฉินคงทําได้เพียงแหกคุกของสำนักความปลอดภัยสาธารณะออกมาจริงๆ แล้ว

ในตอนที่ทราบว่าตระกูลหลิงต้องการที่จะกลับมาพัฒนาตระกูลภายในประเทศ ยิ่งไปกว่านั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนย้ายศูนย์กลางธุรกิจมาในประเทศแล้วนั้น บุคคลสำคัญในโลกธุรกิจตลอดจนข้าราชการระดับสูงในโลกของการเมืองจำนวนมาก และคนใหญ่คนโตทั้งโลกเบื้องหน้าและเบื้องหลังต่างก็สั่นสะท้านเป็นอย่างมาก ตระกูลหลิงต้องการกลับมายืนหยัดในประเทศ จะต้องมีผลกระทบครั้งใหญ่แน่นอน ผลประโยชน์นี้เกี่ยวพันกับคนมากมาย ที่สำคัญที่สุดก็คือทุกคนต่างก็อยากจะดูว่า สุดท้ายจะเป็นตระกูลหลิงที่ร้ายกาจ หรือจะเป็นตระกูลซูที่ร้ายกาจ ตระกูลที่เป็นหัวเรือใหญ่ในโลกของธุรกิจทั้งสองตระกูลนี้จะอย่างไรก็ต้องเผชิญหน้ากัน

ตอนนี้หลิงอวี่สวิ๋น คุณพ่อของหลิงอวี่สวิ๋น และน้องชายคนหนึ่ง ตลอดจนคุณลุงคุณอาทั้งหลาย ต่างก็ย้ายมาอยู่ในประเทศแล้ว เหลือเพียงคุณปู่ของหลิงอวี่สวิ๋นที่ยังรั้งอยู่ที่ประเทศ M เหตุผลประการแรกก็คือครั้งนี้ตระกูลหลิงตั้งใจย้ายกลับมาอยู่ในประเทศ มีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ต้องการเคลื่อนย้ายมากจริงๆ จึงมีหลายเรื่องที่ต้องจัดการ เหตุผลประการที่สองก็คือ ความตั้งใจที่ตระกูลหลิงต้องการย้ายกลับมาตั้งรกรากในประเทศ ทางฝั่งของรัฐบาลประเทศ M ก็สังเกตเห็นแล้ว เมื่อตะกูลหลิงมีใจแน่วแน่ที่จะย้ายกลับมาในประเทศ เกรงว่ารัฐบาลประเทศ M จะใช้มาตรการอันเข้มข้นกับพวกเขา เพราะว่าเมื่อตระกูลหลิงย้ายศูนย์กลางเศรษฐกิจกลับไปในประเทศจีน จะต้องทำให้รัฐบาลของประเทศ M เกิดความสูญเสียอย่างไม่อาจคาดเดา พวกเขาจะต้องไม่อนุญาตอย่างแน่นอน

ผู้อาวุโสตระกูลหลิงยังคงอยู่ที่ประเทศ M พูดตามหลักการแล้วก็เพื่อทำให้รัฐบาลของประเทศ M สับสน ในขณะเดียวกันก็ให้พ่อของหลิงอวี่สวิ๋นย้ายกลับมาในประเทศ ดำเนินโครงการลงทุนทั้งหลายให้เร็วที่สุด เพื่อย้ายจุดศูนย์กลางเศรษฐกิจมา

หลิงอวี่สวิ๋นและย่าขู่กลับมาถึงตระกูลหลิง เพิ่งจะเดินเข้าไปถึงห้องโถงใหญ่ของตระกูลหลิงก็พบว่าหลิงเยว่ผู้เป็นพ่อนั่งอยู่บนโซฟาในห้องโถง กำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ในห้องโถงมีเพียงหลิงเยว่คนเดียว ดูเหมือนว่าจะกำลังรอหลิงอวี่สวิ๋นอยู่

“อวี่สวิ๋น ลูกมานี่หน่อย พอมีเรื่องจะพูดกับลูก!” หลิงเยว่มองลูกสาวแล้วพูดขึ้น

“พ่อคะ หนูง่วงมาก ขอไปนอนก่อนนะคะ มีเรื่องอะไรพรุ่งนี้ค่อยพูดกันเถอะ…” หลิงอวี่สวิ๋นดูเหมือนจะรู้ว่าพ่อต้องการที่จะพูดอะไรกับตน เมื่อเห็นท่าทางเข้มงวดจริงจังเช่นนั้นของพ่อ เธอก็ไม่คิดที่จะพูดคุย

“หากว่าไม่คุย พ่อก็คงต้องใช้มาตรการเข้มงวดกับลูก ถึงตอนนั้นก็อย่ามาหาว่าพ่อยุ่งเรื่องของลูกก็แล้วกัน!” หลิงเยว่อ่านหนังสือพิมพ์ พูดกับหลิงอวี่สวิ๋นโดยไม่ได้มองเธอเลย

หลิงอวี่สวิ๋นมองหลิงเยว่ผู้เป็นพ่อ เดาได้ว่าเขาต้องการที่จะพูดอะไร แต่หลิงอวี่สวิ๋นก็เข้าใจนิสัยของหลิงเยว่เป็นอย่างดี ในยามปกติสามารถพูดจาหยอกล้อกับตนเองได้ ในตอนเด็กก็เล่นกับตนบ่อยครั้ง แต่ว่าตั้งแต่ที่คุณปู่ถอยลงจากตำแหน่งหัวเรือใหญ่ของตระกูลหลิง หลิงเยว่ผู้เป็นพ่อก็ต้องกลายเป็นหัวเรือตะกูลหลิงคนใหม่ ต้องคอยควบคุมสกุลหลิงที่ยิ่งใหญ่และยังต้องมาขัดแย้งกับคุณลุงคุณอาพี่ชายน้องชายที่ไม่ค่อยสามัคคีกันคนอื่นๆ อีกด้วย ถ้าหากไม่มีอำนาจควบคุมก็ไม่ได้ ดังนั้นทุกครั้งที่พ่อมีท่าทีจริงจังเคร่งขรึมขึ้นมา หลิงอวี่สวิ๋นก็ไม่กล้าออดอ้อน

เธอนั่งลงตรงข้ามหลิงเยว่ผู้เป็นพ่อ ถามด้วยรอยยิ้มว่า “พ่อคะ มีเรื่องอะไรเหรอ?”

หลิงเยว่ไม่ได้ตอบในทันที แต่มองไปยังย่าขู่แล้วพูดขึ้นว่า “ย่าขู่ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ให้คุณจับตาดูอวี่สวิ๋นให้ดี ถ้าผมไม่เห็นด้วย ก็ไม่อนุญาตให้เธอออกไปจากประตูแม้แต่ครึ่งก้าว!”

“ค่ะนายท่าน!” ย่าขู่พูดแล้วพยักหน้า

“พ่อคะ พ่อ…ทำไม…” หลิงอวี่สวิ๋นมองไปยังผู้เป็นพ่อแล้วพูดขึ้นด้วยความโกรธในพริบตา

“อวี่สวิ๋น พ่อคิดจะบอกลูก การไปมาหาสู่กับเย่เทียนเฉินไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดเลย และไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก ตระกูลเย่กลายเป็นตระกูลชั้นสามของเมืองหลวงไปนานแล้ว ไม่ว่าในด้านไหนก็ไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะไปมาหาสู่กับตระกูลหลิงของพวกเราได้ ลูกกับเย่เทียนเฉินก็ไม่ควรจะมีการติดต่อกัน!” หลิงเยว่อ่านหนังสือพิมพ์ต่อไป พูดออกมาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

“พ่อคะ งั้นจะทำยังไง? ก่อนหน้านี้จะกูลหลิงของพวกเราและตระกูลเย่อยู่ในซอยเดียวกัน ตอนนั้นทั้งสองตระกูลต่างก็ไม่มีอำนาจอะไร เกิดอะไรขึ้นทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ เป็นแบบเมื่อก่อนไม่ได้เหรอ? ยิ่งไปกว่านั้นการที่หนูติดต่อกับเย่เทียนเฉิน ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเราสองคนจะอยู่ด้วยกัน กระทั่งเป็นแค่เพื่อนธรรมดาก็ไม่ได้เลยเหรอ?” หลิงอวี่สวิ๋นพูดออกมาอย่างไม่พอใจและไม่เชื่อฟัง

“ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนธรรมดา หรือว่าลูกจะรักเย่เทียนเฉินแล้ว พ่อไม่อนุญาตให้พวกลูกติดต่อกัน พวกเราอยู่กันคนละโลกโดยสิ้นเชิง ลูกถอดใจซะเถอะ!” หลิงเยว่พูดอย่างจริงจัง

“พ่อคะ พ่อ…ทำไมพ่อไม่มีเหตุผลเลย?” หลิงอวี่สวิ๋นถแทบจะน้ำตาไหลออกมา เธอคิดไม่ถึงเลยว่าพ่อที่เฉลียวฉลาดและรักเธอมากมาโดยตลอดจะกลายเป็นคนไม่มีเหตุผลแบบนี้ได้

หลิงเยว่มองหลิงอวี่สวิ๋น วางหนังสือพิมพ์ในมือลง หลิงอวี่สวิ๋นเป็นลูกสาวที่เขารักมากที่สุด ตั้งแต่เล็กหลิงอวี่สวิ๋นก็เชื่อฟังและรู้ความมาก คะแนนการเรียนก็ดี เป็นความภาคภูมิใจของหลิงเยว่มาโดยตลอด เขาไม่อยากจะพูดแบบนี้กับลูกสาว ไม่อยากจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก แต่ครั้งนี้เรื่องของเย่เทียนเฉิน เขาก่อเรื่องได้ยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว บางทีชาวบ้านทั่วไปอาจจะไม่รู้และมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา แต่ตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่ต่างก็เข้าใจถึงเรื่องใหญ่ที่สั่นสะท้านโลกเบื้องหน้าและเบื้องหลังของประเทศจีนซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดนี้ดี

คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง คนคนนี้มีความสามารถแข็งแกร่งมาก ยิ่งไปกว่านั้นอำนาจที่อยู่เบื้องหลังก็เป็นบุคคลลึกลับที่ยิ่งใหญ่ เขาได้จับจ้องไปที่เย่เทียนเฉินแล้ว ประกาศสงครามกับเย่เทียนเฉินแล้ว ถ้าหากเย่เทียนเฉินและคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงเกิดการปะทะกัน คงจะรุนแรงยิ่งกว่าตอนที่ตระกูลฉินและตระกูลลั่วถูกทำลายในค่ำคืนเดียว นี่เป็นสิ่งที่หลิงเยว่กังวล กังวลว่าลูกสาวจะไปเกี่ยวพันกับเย่เทียนเฉิน กังวลว่าเรื่องนี้จะไปขัดขวางการกลับมาพัฒนาธุรกิจในประเทศของตระกูลหลิง จึงพะว้าพะวงใจอยู่ตลอดเวลา

“อวี่สวิ๋น เย่เทียนเฉินกลายเป็นคนที่อยู่ท่ามกลางเกลียวคลื่นไปแล้ว และตระกูลเย่ก็กลายเป็นตระกูลชั้นสามไปนานแล้ว เย่เทียนเฉินล่วงเกินกลุ่มอำนาจมากมายเกินไป ล่วงเกินคนมากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นในครั้งนี้คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาหลงเถิงผู้ลึกลับคนนั้น เขาเป็นคนที่กระทั่งพ่อเองก็ไม่รู้ว่าร้ายกาจขนาดไหน หากจะบอกว่าเย่เทียนเฉินที่ไม่มีคนอยู่เบื้องหลังและไม่มีอำนาจที่แข็งแกร่งจะสามารถมีชีวิตรอจากการปะทะกับคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงได้ พ่อก็คิดว่าคงไม่มีใครเชื่อ ต่อให้เขาจะมีความสามารถอยู่บ้าง ก็เป็นคนเพียงคนเดียวเท่านั้น จะสามารถป้องกันการเพ่งเล็งของกลุ่มอำนาจใหญ่มากมายขนาดนี้ได้เลยหรือ?” หลิงเยว่พูดความหวาดกลัวในใจของเขาออกมาตรงๆ เขาต้องการให้หลิงอวี่สวิ๋นเข้าใจ เย่เทียนเฉินอยู่ในเกลียวคลื่น ไม่มีอำนาจ ไม่มีที่พึ่งพา ดูเหมือนจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่อาจไปคบค้าสมาคมกับเขาได้โดยเด็ดขาด จะทำให้ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เปล่าๆ

……………………..