ตอนที่ 158 ตัดหัวศัตรู

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 158 ตัดหัวศัตรู

การต่อสู้ในครานี้พัฒนาขึ้นกว่าคราก่อนมาก

เหล่าทหารมิได้ส่งเสียงดังใด ๆ ออกมา ระหว่างปฏิบัติภารกิจ พวกเขาได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดี อีกทั้งลงมือต่อศัตรูอย่างเด็ดขาดกว่าคราก่อน

เพียงเวลา 2 ก้านธูป การต่อสู้ก็ได้สิ้นสุดลง ไป๋ยู่เหลียนจุดคบเพลิงขึ้นแล้วมองไปรอบ ๆ ก่อนออกคำสั่งว่า “ค้นหาทุกซอกมุมโดยละเอียด อย่าให้เหลือแม้แต่ผู้เดียว จงตัดหัวศัตรูทุกคนมากองรวมกันที่นี่ จากนั้นกลับไปรวมตัวกันที่ค่าย ! ”

อีกด้านหนึ่ง ซูม่อกำลังใช้ดาบฟาดลงไปที่ซ่งต้าเป่า “หนีไปสิ ! วิ่งเร็วมิใช่หรือ ? เหตุใดจึงมิวิ่ง ! ”

“อ๊าก…อ๊าก… !” ซ่งต้าเป่าส่งเสียงร้องโหยหวนราวกับหมูถูกตอน ซูม่อใช้ดาบนั้นฟาดลงไปทุกส่วนของเขาที่มีกระดูก บัดนี้สภาพเขามิได้ต่างจากหลิวซานเปี้ยนเลย อีกทั้งยังน่าสมเพชกว่าด้วยซ้ำ

กระดูกทั้งตัวของเขาถูกทุบจนแตกหัก หลิวซานเปี้ยนที่นอนอยู่ข้าง ๆ รู้สึกว่าตนโชคดีมิน้อยที่ฟู่เสี่ยวกวนเป็นคนจัดการเขา ฟู่เสี่ยวกวนเพียงทุบแขนขาทั้งสองข้างของเขาเพียงเท่านั้น

ดูเจ้าต้าเป่าสิ น่าสงสารเสียยิ่งกระไร เห้อ…ร่างกายกำยำสูงใหญ่เช่นนั้น กลับถูกทุบตีเสียจนสภาพดูมิได้…โธ่ ต้าเป่าเอ๋ย แกกลัวเสียจนขี้แตกเลยหรือนี่ เหม็นจริง ! ข้าทนดูต่อไปมิได้จริง ๆ !

หลังจากที่ซูม่อระบายอารมณ์เรียบร้อยแล้ว เขาได้เก็บดาบแล้วเอ่ยว่า “ชื่อเสียงของข้าถูกเจ้าทำให้แปดเปื้อนไปแล้ว หากมิใช่เพราะคุณชายเอ่ยห้าม ข้าคงมิไว้ชีวิตเจ้าแน่ !”

หลิวซานเปี้ยนเบิกตามองดู แสงไฟกระทบกับใบหน้าอันหล่อเหลาของซูม่อแล้วนึกในใจว่า ที่แห่งนี้มีคนประเภทใดกันบ้างนี่ !

หากเขาสามารถมีชีวิตรอดกลับไปได้ เขาคงจะมิกลับมาแก้แค้นแน่นอน !

……

……

เหล่าทหารจุดคบเพลิงแล้วใช้มีดในมือตัดหัวซากศพที่กองกระจัดกระจาย บางคนทนมิได้จึงอาเจียนออกมา และถูกหัวเราะเยาะว่า “ซานเอ๋อ เจ้านี่มันช่างมิได้เรื่องเสียจริง กลับบ้านไปเลี้ยงลูกดีกว่าไหม ! ”

“เหอะ ๆ ข้าฆ่าไปถึง 3 คน เจ้าเล่า ? ”

“โอ้ ! มิเลวนี่ ข้าฆ่าไปเพียงคนเดียวเท่านั้น…แต่จะโทษข้าก็มิถูก พวกเจ้ามันเหมือนหมาบ้า เมื่อมาถึงก็แทบมิเหลือให้ข้าจัดการแล้ว”

“ฮ่าๆๆๆ……”

เสียงหัวเราะดังไปรอบทิศ ซานเอ๋อลุกขึ้นยืนแล้วสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วจินตนาการว่าเขากำลังตัดหัวหมู

ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เหล่าทหารก็กลับมายังค่ายที่ภูเขาไต้ชาน

แม้บนใบหน้าของพวกเขาจะเปี่ยมไปด้วยความภูมิใจ แต่ก็มิได้มีผู้ใดส่งเสียงออกมา

ไป๋ยู่เหลียนกำไม้ไว้ในมือแล้วเดินวนไปมา เฉินป๋อก้าวขึ้นมาด้านหน้าสุดแล้วทำความเคารพเขา จากนั้นรายงานด้วยเสียงดังฟังชัดว่า “รายงานผู้คุม ทั้งกองทัพมี 2,458 คน นับได้ 2,450 คน การต่อสู้ครานี้มีผู้บาดเจ็บ 8 คน บาดเจ็บสาหัส 1 คน จบการรายงาน โปรดชี้แนะด้วยเถิด ! ”

“กลับเข้าแถว ! ”

“รับทราบ ! ”

ไป๋ยู่เหลียนสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วจ้องมองไปยังพวกเขา “พวกเจ้ามัวทำอะไรกันอยู่ ! เพียงแค่จัดการโจรกลุ่มหนึ่งกลับปล่อยให้มีผู้บาดเจ็บได้ถึง 8 คน ! การฝึกซ้อมที่ผ่านมามิได้จำใส่สมองอันน้อยนิดของพวกเจ้าเลยหรือไร ? ฝ่ายตรงข้ามเป็นเพียงผู้ไร้ความสามารถกลุ่มหนึ่ง อีกทั้งพวกเจ้ายังซุ่มโจมตี ขายหน้า ! ขายหน้าเสียจริง ! พวกเจ้าจะให้ข้าเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ? ”

“เฉินป๋อรับคำสั่ง ! ”

“ขอรับ ! ”

“ทุกคน วิ่งไปกลับ 50 ลี้ พื้นที่ภูเขาด่วน เตรียมตัว…ปฏิบัติ ! ”

“รับทราบ ! ”

……

……

ณ เรือนซีซาน ซูเจวี๋ยถอนหายใจแรงออกมา

เขาจัดระเบียบหมวกของตนให้ตรง จากนั้นจัดแจงเสื้อผ้า เมื่อครุ่นคิดชั่วครู่จึงตัดสินใจติดกระดุมที่เสื้อของซูโหรวด้วย

ซูโหรวนอนอย่างเงียบ ๆ อยู่ที่บนเตียง ลมหายใจของนางเป็นปกติดี สีหน้าแดงระเรื่อก็จางลง แต่ยังปรากฏถึงความมิพอใจให้เห็น ซูเจวี๋ยเลิกคิ้วจากนั้นก็หยิบหนังสือขึ้นมานั่งอยู่ที่หน้าต่างทำทีว่ากำลังอ่านอย่างตั้งใจ

ไม่นานต่อมามีเสียงดังเข้ามา เป็นซูม่อนั่นเอง

เมื่อซูม่อแลเห็นซูโหรวนอนอยู่บนเตียงก็ตกตะลึงเล็กน้อยแล้วยิ้มขึ้นอย่างมีเลศนัย

“เอ่อ…น้องเล็ก เจ้าอย่าได้คิดไปไกล ศิษย์พี่สามของเจ้าถูกพิษและข้าได้ทำการถอนพิษให้นางเมื่อครู่ บัดนี้พ้นขีดอันตรายแล้ว มิได้มีเรื่องอื่นใด…เจ้ามีธุระอันใดงั้นหรือ ?”

“อ้อ ข้าเพียงแค่แวะมาถามสารทุกข์สุกดิบศิษย์พี่เท่านั้น…ท่านแน่ใจหรือว่าเป็นเช่นนั้นจริง ? ”

 “น้องเล็ก ข้าเคยโกหกผู้ใดงั้นหรือ ? ”

อืมนั่นก็จริงอยู่ เมื่อซูม่อนึกทบทวนดู ศิษย์พี่ใหญ่แต่ไหนแต่ไรมามิเคยโกหกผู้ใดแม้แต่คนเดียว

“มิใช่เช่นนั้น ศิษย์พี่ เพียงแต่…หนังสือในมือท่านกลับหัวอยู่ อ้อ จับตัวหวงซื่อหลางได้แล้ว ข้าจะไปดูเสียหน่อย ท่านพักผ่อนเถิด”

“……อืม ไปเถอะ”

ซูโหรวกลับหนังสือให้ถูกด้าน จากนั้นก็จัดหมวกของเขาอีกครั้งหนึ่ง พึมพำเบา ๆ ว่า “การกินอาหารและเรื่องในกามล้วนเป็นธรรมชาติของมนุษย์ มิเคยพบผู้ใดรักคุณธรรมมากกว่าความงดงามของหญิงสาว…”

……

……

ในครานี้มีผู้ถูกส่งมายังเรือนซีซานทั้งสิ้น 3 คน ผู้ที่นอนมา 2 คนนั่นคือหลิวซานเปี้ยนและซ่งต้าเป่า ส่วนอีกคนที่ยังเดินได้นั่นคือหวงซื่อหลาง

ฟู่เสี่ยวกวน เยี่ยนซีเหวินอีกทั้งไป๋ยู่เหลียนและซูม่อนั่งลงที่โต๊ะหิน บนโต๊ะมีอาหารหลายอย่าง อีกทั้งยอดสุราซีซานที่ขาดมิได้

นอกจากเยี่ยนซีเหวินแล้ว อีก 3 คนมิได้ชายตาไปมองศัตรูทั้งสามคนที่เพิ่งถูกนำตัวมาแม้แต่น้อย ฟู่เสี่ยวกวนถือขวดสุราไว้ในมือจากนั้นกล่าวว่า “ พวกเจ้าลองลิ้มรสสุรานี้ รสดีเสียจริง ยอดสุราซีซานห้าสิบดีกรี เก็บไว้นาน 3 เดือน แม้เวลายังน้อยไปเสียหน่อยก็ตาม หากเก็บไว้สัก 3 ปีหรือ 30 ปีคงจะรสดีกว่านี้หลายเท่านัก แต่เท่านี้ก็รสเลิศกว่าเดิมมากแล้ว มาเถอะๆๆ ลองชิมดู”

ไป๋ยู่เหลียนรินสุราลงในถ้วยของเขา กลิ่นหอมลอยมาเตะจมูก เขารู้ได้ทันทีว่าสุรานี้มิเหมือนเดิม

“มาเถิด มาดื่มฉลองให้กับความสำเร็จในค่ำคืนนี้กัน”

ทั้งสี่คนยกแก้วขึ้นดื่ม ใบหน้าของเยี่ยนซีเหวินแดงก่ำ นี่คือสุราชนิดใดกัน ? รสเลิศกว่าเทียนเซียงมากนัก ? ”

 “รสดียิ่ง” หลังจากดื่มหมดแก้ว ไป๋ยู่เหลียนจึงเอ่ยออกมา “กลมกล่อมหอมกรุ่นกว่าเดิมมาก ต่อแต่นี้ข้าจะดื่มแต่สุรานี้เท่านั้น ! ”

“เหอะ ๆ เจ้าอย่าได้คิดไปเอง สุรานี้ข้านำมาเพียงขวดเดียว ต่อไปต้องรออีก 3 ปี เนื่องจากข้าได้ปิดโรงเก็บไปแล้ว”

ไป๋ยู่เหลียนจ้องไปยังฟู่เสี่ยวกวน “3 ปีงั้นหรือ ? ข้าว่า 3 เดือนก็เพียงพอแล้ว !”

“เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อนไป เมื่อ 3 ปีมาถึง เจ้าจะเข้าใจว่าการรอคอยถึง 3 ปีนั้นช่างคุ้มค่ายิ่งนัก”

หลิวซานเปี้ยนและซ่งต้าเป่าด่าพวกเขาอยู่ในใจ บัดนี้เป็นฤดูหนาว พื้นช่างหนาวเหน็บยิ่งนัก อีกทั้ง…กลิ่นสุรานั่นช่างหอมเหลือเกิน สุราป่าเทียบมิได้เลยแม้แต่น้อย

หวงซื่อหลางเองก็อึดอัดใจเช่นกัน เขามิรู้ด้วยซ้ำว่าผู้ใดเป็นคนจับเขาทุ่มลงพื้น และไม่รู้ว่ายาพิษที่ตนโยนไปครั้งสุดท้ายนั่นคือพิษใด มิรู้ว่าได้ทำให้พวกซุ่มโจมตีเหล่านั้นได้รับพิษหรือไม่

และบัดนี้เขาเองก็หิวมากแล้ว อีกทั้งกลิ่นอาหารและสุราอันหอมยั่วยวนนั่นทำให้เขาน้ำลายไหล แต่ทำได้เพียงกลืนน้ำลายตนเอง

ข้าเป็นถึงหนึ่งในแปดจินกังเชียว ได้รับฉายาว่าปี้ตู๋จินกังผู้เชี่ยวชาญด้านพิษ ก่อนหน้านี้ข้าเดินทางไปที่ใดล้วนได้กินดื่มอย่างสำราญ

อ้อ ข้าเพียงแค่ถูกจับตัวไว้ เป็นเชลยผู้มีเกียรติ หาได้เหมือนเจ้าสองคนที่นอนกองอยู่บนพื้นนั่น ช่างน่าสมเพชเสียจริง !