พริบตาที่ไข่มุกลอยขึ้นไปบนฟ้า ไป๋เจ่ามองเห็นเงาดำเป็นจำนวนมาก เพียงแต่ความเร็วของอีกฝ่ายรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง จิตจำแนกไม่สามารถนับจำนวนของพวกมันได้
ที่ราบหิมะที่ถูกเลือกให้เป็นสถานที่ประลองวิถีพรตในปีนี้คือสนามรบในอดีตที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ต่อสู้กับคลื่นกองทัพอสูร ไม่รู้ว่าถูกยอดฝีมือของเผ่าพันธุ์มนุษย์เก็บกวาดไปแล้วกี่ครั้ง ตามหลักแล้วไม่น่าจะมีสัตว์ประหลาดแคว้นเสวี่ยที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษอยู่ที่นี่
เดิมนางคิดว่าอันตรายที่แท้จริงก็คือหลังจากที่เข้าไปในเทือกเขาสีดำนั่น ใครจะไปคิดถึงว่าในพื้นที่ส่วนลึกของที่ราบหิมะจะมีอสูรขาหิมะแอบซ่อนอยู่มากมายขนาดนี้
ยิ่งไปกว่านั้นระดับชั้นของอสูรขาหิมะเหล่านี้ก็ล้วนแต่สูงมาก อสูรขาหิมะที่โจมตีนางเมื่อครู่นี้มีเพียงสามขา เพียงแค่กระโดดธรรมดาก็ไปได้ไกลหลายสิบจ้าง รวดเร็วปานสายฟ้า
ถึงแม้อสูรขาหิมะระดับนี้จะยังไม่มีสติปัญญา แต่สัญชาติญาณในการต่อสู้กลับน่ากลัวเป็นอย่างมาก — ในตอนที่อสูรขาหิมะสามตัวโผล่จากใต้ดินขึ้นมาด้านบน ช่วงจังหวะที่เปิดฉากโจมตีใส่นางนั้นมีความพอดิบพอดีเป็นอย่างยิ่ง มันคือช่วงจังหวะที่นางกำลังให้ศิษย์สำนักเสวียนหลิงไปช่วยเพื่อนคนอื่น และเตรียมจะเปลี่ยนการจัดวางแนวป้องกัน
สุดท้ายนางใช้อาวุธวิเศษสังหารอสูรขาหิมะตัวนั้นไป แต่นางเองก็ได้รับบาดเจ็บเช่นเดียวกัน
และยังมีเพื่อนอีกสองคนที่ได้รับบาดเจ็บตั้งแต่แรก
เสียงกระดิ่งที่ใสกระจ่างดังขึ้นในเวลากลางคืนไม่หยุด ช่วยปกป้องใจแห่งเต๋าให้แก่ผู้บาดเจ็บ ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงเตือนว่าตรงไหนมีอสูรขาหิมะบุกโจมตีเข้ามา
ศิษย์หญิงของสำนักเสวียนหลิงผู้นั้นนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ดวงตาสองข้างปิดลง ฤทธิ์ยาของยาวิเศษที่เพิ่งจะกินลงไปเมื่อครู่นี้หมดไปแล้ว ไม่รู้ว่าปราณก่อกำเนิดจะเหลือพอให้ใช้ไปอีกนานเท่าไร
เมื่อมีการนำทางของเสียงกระบี่ ลำแสงกระบี่สีเขียวพุ่งออกไปทันที จากนั้นก็บินกลับมาทันที
เมื่อเห็นลำแสงกระบี่นั้น ในดวงตาของไป๋เจ่าปรากฏแววตาชื่นชม กระบี่ของชิงซานยอดเยี่ยมจริงๆ
เยาซงซานมองดูกระบี่ที่บินกลับมาตรงหน้า หลังมั่นใจว่าตัวกระบี่มิได้ถูกโลหิตของอสูรขาหิมะกัดกร่อนจึงรู้สึกวางใจขึ้นมา ก่อนจะมองไปทางไป๋เจ่าแล้วกล่าวถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”
เขารู้สึกนับถือสาวน้อยชุดขาวที่ดูเหมือนบอบบางอ่อนแอผู้นี้อย่างมาก
มิเสียทีที่เป็นบุตรสาวของเจ้าสำนักจงโจว ความเป็นผู้นำและความสามารถในการบัญชาการล้วนแต่แข็งแกร่งเป็นยิ่งนัก อาวุธวิเศษที่นำติดตัวมาด้วยก็อยู่ในระดับชั้นที่สูงเป็นอย่างมาก ความสามารถในการตั้งข่ายพลังเองก็ยอดเยี่ยม
ไข่มุกที่อยู่กลางอากาศเม็ดนั้นไม่เพียงแต่จะใช้ส่องแสงสว่าง แต่มันยังเป็นศูนย์กลางของข่ายพลัง เมื่อถูกไป๋เจ่าใช้จิตจำแนกกระตุ้น มันก็กลายเป็นม่านพลังอันแข็งแกร่ง
ม่านพลังนี้จะคอยป้องกันอสูรขาหิมะส่วนใหญ่ที่อยู่ในความมืดเอาไว้ ส่วนอสูรขาหิมะที่มุดขึ้นมาจากพื้นดิน เขาจะประสานงานกับศิษย์พี่แห่งสำนักเสวียนหลิงผู้นั้นจัดการสังหาร
เพียงแต่ปราณก่อกำเนิดของศิษย์พี่แห่งสำนักเสวียนหลิงผู้นั้นถูกใช้ออกไปอย่างรวดเร็ว ไป๋เจ่าเองก็ได้รับบาดเจ็บ ไม่รู้ว่าจะสามารถคงข่ายพลังนี้ไปได้นานเท่าไร
ไป๋เจ่าดูเหมือนอ่อนแอ แต่สายตากลับสุขุมมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างยิ่ง
ในตอนที่ถูกฝูงอสูรขาหิมะบุกโจมตีในตอนแรก นางมีความมั่นใจว่าจะพาเพื่อนอดทนต่อสู้ไปได้ถึงรุ่งเช้า
เมื่อถึงตอนนั้นต่อให้นกหานเฮ่ามองไม่เห็นสถานการณ์ของพวกนางที่นี่ นางก็เชื่อว่าจะมีคนมาช่วย ต่อให้ไม่มีใครมาช่วย ปัญหาก็น่าจะไม่ใหญ่เท่าไร
ในขณะที่นางกำลังคิดเรื่องเหล่านี้ จู่ๆ นางพลันรู้สึกได้ว่าอากาศรอบกายแปรเปลี่ยนเป็นหนาวเย็นยิ่งขึ้น
ก่อนหน้านี้นางสังเกตเห็นว่ามีลมที่หนาวเย็นอย่างมากพัดมาจากในหุบเขา กองไฟถูกพัดจนเกือบมอดดับ
จริงอยู่ที่ที่ราบหิมะหนาวเย็นเป็นอย่างมาก แต่อุณหภูมิที่ต่ำเช่นนี้ก็ยังเป็นเรื่องที่พบได้ยากยิ่ง
หมอกที่หนาทึบไม่รู้ว่าทะลักออกมาจากหุบเขาตั้งแต่เมื่อไร จากนั้นเข้าปกคลุมที่ราบหิมะที่พวกเขาอยู่
หมอกสายนี้เย็นยะเยือกกว่าลมเมื่อครู่นี้ ภายในคล้ายมีผลึกน้ำแข็งจับตัวอยู่นับไม่ถ้วน ถึงแม้พวกเขาจะเป็นผู้บำเพ็ญพรต แต่ผิวหนังที่เปลือยเปล่าอยู่ด้านนอกก็ยังรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดเหมือนถูกเข็มทิ่มแทง
เปลวไฟค่อยๆ หดเล็กลงด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ไป๋เจ่าสีหน้าเคร่งเครียด กล่าวว่า “อาจจะใกล้ทนไม่ไหวแล้ว”
หมอกสายนี้ไม่รู้ว่าถือกำเนิดมาจากสิ่งใด ทั้งหนาวเย็นทั้งหนาทึบ กระทั่งจิตจำแนกก็ยังหยุดนิ่งเมื่ออยู่ในนั้น
จิตจำแนกของไป๋เจ่าที่เชื่อมต่ออยู่กับไข่มุกบนท้องฟ้ายามค่ำคืนเม็ดนั้นรับรู้ได้ชัดเจนที่สุด
เมื่อไม่มีจิตจำแนกเชื่อมต่อเอาไว้ ข่ายพลังก็ค่อยๆ หายไป
เยาซงซานค่อยๆ เลิกคิ้วขึ้นมา เขาเดินไปยังด้านหน้าไป๋เจ่า กระบี่สีเขียวพุ่งออกไป
ศิษย์หญิงของสำนักเสวียนหลิงลืมตาขึ้นมา นางกับผู้บำเพ็ญพรตที่ได้รับบาดเจ็บอีกสองคนเดินประคองกันและกันมาถึงข้างกายไป๋เจ่า จากนั้นเรียกอาวุธวิเศษออกมาป้องกันตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย
หมอกยิ่งหนาขึ้นทุกขณะ กองไฟแผ่วเบาลงเรื่อยๆ จนกระทั่งสุดท้ายมอดดับลงไป
ไข่มุกเม็ดนั้นก็สลัวลงเรื่อยๆ เช่นกัน จนกระทั่งไม่สามารถมองเห็นได้อีก
หมอกยามค่ำคืนปกคลุมทุกอย่างเอาไว้ เสียงเสียดสีดังขึ้นมาอีกครั้ง ฟังดูยิ่งหนาแน่น อีกทั้งยังอยู่ใกล้พวกเขามากขึ้นกว่าเดิม
หมอกพวกนี้จะหายไปไหม?
ไป๋เจ่าครุ่นคิดถึงปัญหานี้
การประลองวิถีพรตคือการฝึกฝนที่อันตรายเป็นอย่างมาก หากไม่ถึงช่วงเวลาสำคัญจริงๆ เหล่าอาจารย์ไม่มีทางยื่นมือช่วยเหลืออย่างแน่นอน แต่การต่อสู้เปลี่ยนแปลงได้ร้อยแปดพันเก้า หากเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ กระทั่งผู้อาวุโสขั้นแปรจิตก็ไม่แน่ว่าจะยื่นมือช่วยเหลือได้ทัน ที่ผ่านมาก็มีเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันเกิดขึ้นหลายครั้ง ดังนั้นในการประลองวิถีพรตของงานชุมนุมเหมยฮุ่ยทุกครั้งจึงมีผู้บำเพ็ญพรตจำนวนไม่น้อยต้องตายไป
ยิ่งไปกว่านั้นหมอกอันหนาวเย็นในวันนี้ยังมาอย่างกะทันหันเกินไป แปลกประหลาดเกินไป น่ากลัวเกินไป ในบันทึกที่นางเคยอ่านมาก็เคยไม่มีเรื่องแบบนี้มาก่อน
หากศิษย์พี่อยู่ที่นี่ เขาจะทำอย่างไร?
ท่ามกลางความมืด มือของนางจับไปที่เอว คว้ากุมวัตถุที่เยียบเย็นเอาไว้สองอัน
ที่นี่มีห้าคน จำนวนไม่พอ
นางครุ่นคิดอยู่ในใจเงียบๆ ก่อนจะปล่อยมือออก
ในขณะที่นางปล่อยมือออก ในความมืดพลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
ในสถานการณ์ที่อันตรายเช่นนี้ เสียงนั้นยังคงสงบเยือกเย็น มิได้มีความหวั่นไหวของอารมณ์ ออกจะฟังดูเย็นชาเสียด้วยซ้ำ ทว่ากลับทำให้คนรู้สึกเชื่อใจได้โดยไม่รู้ตัว
“เก็บกระดิ่ง”
ศิษย์หญิงแห่งสำนักเสวียนหลิงเรียกกระดั่งที่ส่งเสียงดังสดใสกลับมาทันที
ในความมืดมีเสียงแหวกอากาศดังขึ้นมา
วัตถุหนักๆ ชิ้นหนึ่งตกลงบนพื้นหิมะ เศษหิมะกระเด็นกระดอน ตกลงใบหน้าของเยาซงซาน
แต่เมื่อเทียบกับหมอกอันหนาทึบและความหนาวเหน็บแล้ว เศษหิมะเหล่านี้กลับทำให้เขารู้สึกค่อนข้างอบอุ่น
เสียงที่ราบเรียบเสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง
“ตั้งโล่”
เยาวซงซานคล้ายมองเห็นว่าห่างออกไปประมาณสองจ้างตรงหน้ามีเงาขนาดใหญ่สูงประมาณคนสองคนต่อกันตั้งตระหง่านขึ้นมา
จากนั้นก็เป็นเสียงกระแทกหนักๆ แล้วตามด้วยเสียงเหอะทุ้มๆ
เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้งไม่หยุด
“ป้านดารกะ”
“จุดไฟ”
“ตัดกิ่งกลางหิมะ”
……
……
กองไฟถูกจุดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ถึงแม้เปลวไฟจะยังคงดูอ่อนแรง แต่มันก็ส่องสว่างพื้นที่รอบๆ
ท่ามกลางหมอกหนาที่หนาวเหน็บ ไฟแห่งปราณก่อกำเนิดยังคงสว่างไปได้อีกชั่วระยะเวลาหนึ่ง
พื้นตรงหน้ากองไฟมีป้านดารกะสีน้ำเงินเข้มวางอยู่ใบหนึ่ง แสงดาวระยิบระยับพวยพุ่งออกมาจากป้าน ปกคลุมทุกคนเอาไว้ด้านใน
ห่างจากม่านพลังแสงดาวออกไปหลายก้าว อสูรขาหิมะตัวหนึ่งพยายามจะยืนขึ้นมา
เยาซงซานร่ายเคล็ดกระบี่ กระบี่สีเขียวแหวกสายหมอกออกไป พุ่งทะลุศีรษะของอสูรขาหิมะตัวนั้น โลหิตสีเขียวสาดเป็นทาง
กระบี่บินสีเขียวมิได้บินกลับมา หากแต่ยังคงบินอยู่ในหมอกอันหนาวเย็นต่อ
มิรู้เพราะเหตุใด ท่ามกลางความหนาวเหน็บในสายหมอก พลังของลำแสงกระบี่คล้ายจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น เพียงพริบตาก็สังหารอสูรขาหิมะไปสองตัว
เมื่อได้ยินคำว่าตัดกิ่งกลางหิมะ เยาซงซานก็แน่ใจว่าเจ้าของเสียงผู้นั้นคือใคร
ตัดกิ่งกลางหิมะคือกระบวนท่าที่เจ็ดในเพลงกระบี่หิมะไหลของยอดเขาซั่งเต๋อ
มีเพียงศิษย์ชิงซานเท่านั้นถึงจะรู้ว่าเขาเป็นศิษย์ยอดเขาซั่งเต๋อก่อนที่จะขึ้นไปยังยอดเขาเหลี่ยงว่าง
นอกจากเยาซงซานแล้ว คนอื่นๆ อีกสามคนที่เหลือล้วนแต่ตั้งตัวไม่ทัน เนื่องเพราะสถานการณ์เปลี่ยนแปลงรวดเร็วเกินไป
ไป๋เจ่ารู้ว่าคนที่มาคือใคร
จากเปลวไฟและป้านดารกะ นางจำได้ว่าอีกฝ่ายคือสหายจากสำนักเสวียนเทียนและหอไจซิง
กลุ่มของจิ๋งจิ่วมีคนแบบนี้อยู่สองคน
แล้วตัวเขาล่ะ?
……
……
มิรู้ว่าเป็นเพราะแสงไฟหรือป้านดารกะ หรือว่าเพลงกระบี่หิมะไหลที่มีอานุภาพเพิ่มขึ้นของเยาซงซาน เหล่าอสูรขาหิมะได้ถอยกลับไปในความมืดอีกครั้ง ไม่กล้าคืบหน้าเข้ามาใกล้
หมอกอันหนาวเหน็บหนักอึ้ง แสงไฟไม่สามารถส่องไปได้ไกลนัก ทุกคนมองไปรอบๆ แต่กลับมองไม่เห็นอะไร ได้ยินแต่เพียงเสียง
นั่นคือเสียงกระบี่เหล็กแหวกไปในอากาศ เสียงหินและโลหะแตกออก นอกจากนี้ยังมีเสียงร้องโหยหวนของอสูรขาหิมะ
แต่อสูรขาหิมะที่อยู่ในความมืดมีมากมายขนาดนั้น เขารับมือไหวอย่างนั้นหรือ? เหตุใดจึงไม่เข้ามาในขอบเขตป้องกันของป้านดารกะเพื่อพักผ่อนสักครู่?
เยาซงซานฟังเสียงที่อยู่ในม่านหมอก ภายในใจรู้สึกเป็นกังวลยิ่งนัก หลายครั้งที่คิดจะพุ่งออกไป แต่ก็นึกขึ้นได้ว่ายังมิได้รับคำสั่ง จึงฝืนอดทนเอาไว้
เสียงในหมอกดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ค่อยๆ ไกลออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสุดท้ายเงียบหายไป
เยาซงซานทนมิไหวอีก เขากล่าวว่า “ข้าจะออกไปดู”
ไป๋เจ่ากล่าวว่า “เขาไม่ได้บอก”
เยาซงซานกล่าว “ข้าเป็นห่วงเขา”
ไป๋เจ่ากล่าว “ข้าเชื่อเขา”
……
……
เหล่านักพรตหนุ่มสาวเฝ้ารออย่างวิตกกังวล พลางรักษาอาการบาดเจ็บ สลับกับพักผ่อน แล้วก็สกัดกั้นความหนาวเย็นที่อยู่ในหมอก ตลอดทั้งคืนไม่มีใจจะพูดคุยอะไรกัน
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดหมอกก็มีทีท่าว่าจะสลายไป
ศิษย์หญิงของสำนักเสวียนหลิงลืมตาขึ้นมา มองไปยังแสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณที่ปรากฏขึ้นมาจางๆ บนขอบฟ้า บนใบหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มที่เหมือนตายแล้วเกิดใหม่
ด้านนอกสายหมอกมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น
ทุกคนมองออกไป
จิ๋งจิ่วเดินออกมาจากในหมอก
แสงไฟที่อ่อนแรงและแสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณตกกระทบลงบนใบหน้าของเขาพร้อมกัน
ไป๋เจ่ามองดูเขาเงียบๆ ในใจครุ่นคิด ช่างหล่อเหลาจริง