ตอนที่ 451 ไม่ตายก็น่าสังเวช + ตอนที่ 452 ทุกเรื่องต้องมีสาเหตุ

เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า

ตอนที่ 451 ไม่ตายก็น่าสังเวช

เจ้าตำหนักยมราชดื่มเหล้าอยู่ เอ่ยถามโดยไม่เงยหน้า “ไปช่วยนางทำเรื่องอะไร?”

ได้ยินเช่นนี้ ฮุยหลางรีบตอบว่า “ข้าน้อยนำยาที่ภูตหมอให้มาไปยังวังหลวง แล้วใส่ของบางอย่างให้มู่หรงป๋อเพื่อสั่งสอนเสียหน่อยขอรับ”

“ไม่ได้ฆ่ารึ” เขาเลิกคิ้วขึ้น เดิมทีนึกว่าหลังจากรู้ว่ามู่หรงป๋อลงมือลับหลังนางจะฆ่าเขา แต่ดูจากสถานการณ์เหมือนจะไม่ใช่เช่นนั้น?

เขาส่ายหน้า “ไม่ขอรับ ภูตหมอกำชับว่าไม่ต้องปลิดชีวิต นางมีวิธีทำให้เขาอยู่อย่างตายทั้งเป็น” อันที่จริงเขาก็อยากรู้ผลลัพธ์ของยานั้นยิ่งนัก ไม่รู้ว่าจะมีผลอะไร?

เจ้าตำหนักครุ่นคิด เนิ่นนานถึงจะบอกว่า “ในเมื่อนางยอมเรียกใช้ เจ้าก็เดินไปเดินมาต่อหน้านางบ่อยๆ หากนางมีธุระจะสั่งเจ้า ก็ทำให้เรียบร้อยหมดจด”

ได้ยินคำพูดนี้ ฮุยหลางตกใจเล็กน้อย แต่ยังคงขานรับ “ขอรับ”

“ออกไปซะ!”

“ขอรับ”

เขาขานรับแล้วเดินออกไปอย่างงุนงง น่าแปลก ทำไมถึงรู้สึกว่านายท่านแปลกๆ ไป? เหมือนมีตรงไหนผิดปกติ? คงไม่เก็บความโมโหกลับมาจากภูตหมออีกหรอกกระมัง?

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เขามารอนอกเขตเรือนของเฟิ่งจิ่วตั้งแต่เช้า เพียงแต่ไม่นึกว่านางจะไม่ตื่นเช้า เวลาใกล้เที่ยงถึงจะเปิดประตูเรือนเดินออกมา

“ภูต…เอ่อ คุณหนูใหญ่ เรื่องที่ท่านสั่งมาเมื่อคืนข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว เดิมคิดจะเข้ามาบอก แต่เห็นท่านดับไฟแต่หัวค่ำ จึงไม่อยากรบกวนการพักผ่อน” เขาฉีกยิ้มกว้าง เห็นวันนี้นางสวมชุดสีขาว รู้สึกว่าไม่ว่าชุดสีขาวหรือชุดสีแดง นางสวมแล้วก็ล้วนเผยความเป็นตัวเองออกมาได้

อืม มองอย่างไรก็สวยอย่างนั้น มีแค่นางเท่านั้นถึงจะเหมาะสมกับนายท่าน และมีเพียงนิสัยแปลกพิลึกเช่นนี้ถึงจะมัดใจนายท่านไว้ได้

ไม่รู้เมื่อวานนางทำอะไรให้นายท่านโกรธอีก? เมื่อคืนเขาถามตั้งนาน อิ่งอีก็ไม่ยอมพูดอะไรเลย ทำให้ในใจเขาสงสัยอยู่ตลอด กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแม้แต่นอนยังนอนไม่หลับ

“ไม่ได้ทำให้คนข้างกายเขาแตกตื่นใช่ไหม?” เฟิ่งจิ่วเดินมานั่งลงข้างโต๊ะพลางเอ่ยถาม

“ไม่เลย ข้าจับตามองอยู่ตรงนั้นนานมาก ถึงค่อยฆ่าคนข้างกายเขาไปคนหนึ่งแล้วเข้าสวมรอยแทน ขนาดข้าเดินอยู่ข้างกาย ยกชา รินน้ำ ยื่นของให้ เขายังไม่รู้เลย แต่เห็นสีหน้ามู่หรงป๋อคนนั้นไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เดาว่าหลังจากกลับไปคงองสั่นขวัญแขวนอยู่ตลอด”

ด้วยฝีมือเขาจึงจัดการเรื่องนี้ได้ง่ายดายนัก

“ดีมาก ลำบากเจ้าแล้ว” เธอพยักหน้าด้วยความพอใจ

“แหะ ไม่ลำบากๆ ทีหลังหากท่านมีเรื่องที่ไม่สะดวกออกหน้าหรือลงมือเองก็ยกให้ข้าไปทำได้ จริงด้วยคุณหนูใหญ่ ยานั้นมีสรรพคุณอะไรกันแน่ จะทำให้คนอยู่เหมือนตายทั้งเป็นได้จริงหรือ?” เขาทำหน้าอยากรู้อยากเห็น เพราะไม่ได้ชำนาญด้านยานัก จึงไม่รู้จริงๆ ว่ายาในขวดนั้นมีผลเช่นไรกันแน่

“หากเจ้าอยากรู้ คืนนี้ไปดูเองเสียหน่อยก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ?”

เธอยกริมฝีปากยิ้ม รอยยิ้มตรงริมฝีปากดูประหลาดและเย็นเยียบอยู่บ้าง “หลังจากมู่หรงป๋อกินยาเข้าไปแล้วร่างกายออกอาการ คงไม่ให้ข่าวแพร่งพรายออกมา แต่สุดท้ายกระดาษก็ห่อไฟไว้ไม่อยู่ เรื่องนี้ปิดได้ไม่นานหรอก ข้าจะลองดูซิ ปกป้องตัวเองยังยากแล้วจะทำร้ายจวนข้าได้อย่างไร”

เห็นรอยยิ้มตรงริมฝีปาก ฮุยหลางก็นึกถึงวิธีลงมือของนางขึ้นมาโดยฉับพลัน และนึกว่าตนยังเคยประสบมากับตัว จึงอดไม่ได้ที่จะหนาวสั่น แอบคิดว่าต่อให้ไม่เห็น เขาก็ยังรู้ว่าแม้มู่หรงป๋อไม่ตายก็คงถูกทรมานเสียจนน่าสังเวช…

………………………………………………….

ตอนที่ 452 ทุกเรื่องต้องมีสาเหตุ

เป็นอย่างที่ฮุยหลางคิดไว้ ยามนี้ในพระราชวัง ภายในตำหนักของมู่หรงป๋อกำลังตึงเครียดและอึมครึม ผู้ครองแคว้นที่เมื่อคืนยังดีๆ อยู่ เช้านี้กลับไม่ตื่นขึ้นมา ไม่เพียงเท่านี้ เส้นผมยังร่วงเสียจนหมดเกลี้ยง ศีรษะจึงเรียบเนียนดุจกระจก โล่งเตียนเหมือนไม่มีหญ้าขึ้น

ส่วนมู่หรงป๋อที่เดิมทีเข้าสู่วัยกลางคนพอดีก็แก่ชราลงอย่างรวดเร็ว ราวกับโดนดึงพลังชีวิตออกไปในระหว่างค่ำคืน แค่คืนเดียว จากชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบกลับกลายเป็นคนแก่อายุห้าสิบกว่า

ผิวพรรณทั้งใบหน้าและร่างกายเหี่ยวย่นภายในหนึ่งคืน แห้งกร้านเหมือนโดนดูดน้ำจนเหือดแห้ง สิ่งที่ทำให้รู้สึกตกใจที่สุดคือ วรยุทธ์เขาถดถอยจากบรรพชนนักรบมายังระดับยอดปรมาจารย์ การเปลี่ยนแปลงนี้ประหลาดอย่างยิ่ง ไม่อาจหาสาเหตุพบ และไม่มีใครสามารถรักษาได้

ขณะเดียวกันก็ทำให้มู่หรงป๋อตื่นตกใจสุดขีด

“หากหาสาเหตุไม่ได้ข้าจะจัดการพวกเจ้าซะ!”

เขาแผดเสียงเกรี้ยวกราด ยกเท้าขึ้นถีบไปทางหมอคนหนึ่งที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้า หมอคนนั้นไม่กล้าหลบหลีก นิ่งรับเท้าเขาจนทรุดลงไปนั่งปาดเหงื่อบนพื้น

น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว…

ภายในคืนเดียว เส้นผมผู้ครองแคว้นร่วงหมดเกลี้ยง พลังตกลงไปหนึ่งระดับ หนำซ้ำดูท่าทางคล้ายจะยังไม่หยุด ราวกับยังคงดิ่งลงต่อไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะโอกาสรอด วรยุทธ์ หรือพลังชีวิตล้วนกำลังหายไป

ทำให้พวกเขาแต่ละคนที่ไม่เคยพบเห็นอาการเช่นนี้ต่างอกสั่นขวัญแขวน ตื่นตระหนกไม่หยุด คนคนหนึ่งวินิจฉัยไม่ได้ก็เรื่องหนึ่ง แต่ถ้าคนทั้งกลุ่มยังวินิจฉัยไม่ได้ นั่นก็เป็นโรคนิรนามแล้ว

หรือจะเป็นเหตุจากความกังวลของผู้ครองแคว้น? ไม่อย่างนั้น ทำไมถึงกลายเป็นเช่นนี้โดยไร้สาเหตุได้?

ชายชราคนหนึ่งที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ สงบสติอารมณ์ เอ่ยอย่างพยายามใจเย็น “ท่านผู้ครองแคว้นโปรดระงับโทสะ กระหม่อมวินิจฉัยแล้ว ฝ่าบาทไม่มีร่องรอยว่าถูกวางยา ชีพจรทุกส่วนก็ปกติ จู่ๆ เป็นเช่นนี้อาจเพราะฝ่าบาทกังวลกับราชกิจ หะ…หากได้ผ่อนคลายจิตใจ ร่างกายอาจค่อยๆ ฟื้นคืนพ่ะย่ะค่ะ”

“ค่อยๆ ฟื้นคืน?”

มู่หรงป๋อหน้าถมึงทึง ด่ากราดเสียงสั่นเครือขณะที่ดวงตาฉายแววตื่นตระหนกอย่างยากจะปิดบัง “เจ้าพวกไร้ประโยชน์! ไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังแก่ลงทุกช่วงเวลา ไม่เห็นหรือว่าวรยุทธ์ข้ากำลังหายไปทุกชั่วขณะ ค่อยๆ ฟื้นคืน? จะให้ข้านั่งรอความตายรึ?”

หมอสิบกว่าคนไม่กล้าขานรับ แต่ละคนก้มลงคุกเข่าไม่กล้าเงยหน้า พวกเขาไม่เคยเห็นการวินิจฉัยเช่นนี้มาก่อน แล้วจะรักษาได้อย่างไร?

“ท่านผู้ครองแคว้น ไม่สู้มีพระราชโองการออกไปตามหาเบาะแสภูตหมอดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ ด้วยพรสวรรค์ด้านการแพทย์ของภูตหมอ ต้องสามารถวินิจฉัยอาการของฝ่าบาทได้แน่นอน” หมอคนหนึ่งแนะนำอย่างใจกล้า

“ไป! ไสหัวออกไปให้หมด! เจ้าพวกไร้ประโยชน์!”

มู่หรงป๋อตะโกนอย่างขุ่นเคือง คว้าของข้างมือโยนไปทางพวกเขา ออกพระราชโองการ? นั่นคือการบอกคนทั้งใต้หล้าอย่างเปิดเผยว่าผู้ครองแคว้นคนนี้ไม่ไหวแล้วไม่ใช่หรือ? ถึงเวลานั้นไม่ต้องให้แคว้นอื่นมารุกราน หากคนใต้อาณัติลุกฮือขึ้นมาก็ไม่เหลืออะไรแล้วจริงๆ!

“ทุกเรื่องต้องมีสาเหตุ ไม่น่าเป็นเช่นนี้โดยไม่มีเหตุผล เรื่องนี้ต้องมีต้นเหตุแน่ๆ ให้ข้าลองคิด… ลองคิดดู…”

เขาบังคับตัวเองให้สงบลง ตั้งแต่เมื่อวานถึงวันนี้ทำอะไร กินอะไร และพบอะไรบ้าง ในห้วงความคิดหวนนึกรอบหนึ่ง แต่ความหวาดกลัวในใจมีมากเกินไป หัวใจสับสนว้าวุ่น ไม่มีทางสงบใจคิดอย่างถี่ถ้วนได้เลย แต่มั่นใจได้ว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับคนจวนตระกูลเฟิ่งแน่นอน!

“ต้องเป็นพวกเขา…เป็นพวกเขาแน่!”