ตอนที่ 64 รับใบรับรอง!

หญิงสาวชี้ไปที่โจวเจ๋อและกรีดร้องเสียงดัง แต่โชคดีที่เดิมทีเธอบ้าไปแล้วและยังมีบุคลิกแตกต่างกันนั่นอีก ดังนั้นสำหรับโจวเจ๋อแล้ว สิ่งที่เรียกว่า ‘ข้อกล่าวหา’ นี้ไม่มีผลเลยแม้แต่น้อย

ไม่มีใครจะเชื่อสิ่งที่คนผิดปกติทางจิตพูด

อีกทั้งถึงแม้คนปกติจะเป็นคนพูดก็ตาม ก็จะถูกมองว่าเป็นความผิดปกติทางจิต

แต่คำพูดเหล่านั้นที่เด็กสาวใช้น้ำเสียงร้อง ‘การละเล่นของเด็ก’ มาทั้งหมดก่อนหน้านี้ ถ้ามองจากสายตาของคนอื่น อาจถือว่าสะเปะสะปะไม่เข้ากัน และเป็นเสียงลือเสียงเล่าอ้าง แต่ในหูของโจวเจ๋อนั้นกลับฟังออกถึงรสชาติที่ไม่ธรรมดา

สิ่งที่เธอร้องนั้น มันคือบทสรุป!

บทสรุปที่เรียกว่าเป็นการสรุปชีวิตของคนในรูปแบบของบทกวีอย่างย่อๆ ออกมา ชี้ขาดอดีตของอีกฝ่าย และชี้ขาดอนาคตของอีกฝ่าย

ตัวอย่างเช่น ‘หนึ่งคล้อยสองสั่งสามร้างลา แสนโศกากลับจินหลิงยิ่งโศกตรม’ ใน ‘ความฝันในหอแดง’ เป็นคำตัดสินของหวังซีเฟิ่ง

ชีวิตแห่งความเหงาโดดเดี่ยวและเป็นม่าย เป็นบททดสอบชีวิตคู่ ตรากตรำงานหนักลำบากชั่วชีวิต เพียงเพื่อชุดแต่งงาน

ภรรยาจากลูกพลัดพราก ญาติใกล้ชิด สหายสนิท ตีตัวออกห่างแสนเจ็บปวด!”

ที่พูดถึงนั้นคือหวังเคอ หวังเคอและตัวเองโตขึ้นมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าด้วยกัน ความหมายในที่นี้คือพ่อแม่ของหวังเคอเสียไปแล้ว หลังจากที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ยุ่งกับอาชีพของตัวเองไม่สนเรื่องอื่น ๆ สำหรับประโยคสุดท้ายนั้นก็เข้าใจได้ง่ายมาก ภรรยาหนีลูกพลัดพราก

โจวเจ๋อรู้สึกว่าหวังเคออาจจะสังเกตเห็นภรรยาตัวเองมีคนอื่นอยู่ข้างนอก แต่เขาเลือกจะไม่แตกหัก นอกจากนี้ลูกสาวของเขาก็ถูกยมทูตเลือกใช้เป็นร่าง

และหลังจากนั้นบทสรุปที่เด็กสาวร้องเพลงให้ตัวเองก็คือ

อยู่ลำพังอย่างลำบากไร้ที่พึ่งตั้งแต่เด็ก หวาดผวาโดดเดี่ยว

ปีนป่ายไปจนได้เลื่อนยศตามขั้นบันได กลับลงเอยตายก่อนวัยอันควรและตกลงไปในใต้พิภพ น่าเศร้าจริงๆ…

ความหมายคือตัวเองเป็นเด็กกำพร้า หลังจากโตเป็นผู้ใหญ่ พึ่งพาความสามารถของตัวเอง จนบรรลุไปถึงตำแหน่งผู้อำนวยการแผนกตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสามสิบปี เมื่อท้องฟ้าตั้งตรงกลับประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิต

ส่วนเกิดมาพร้อมกับเรือนร่างที่ดี แต่ภายในเต็มไปด้วยหญ้านั้น หมายถึงความล้มเหลวของสวีเล่อที่รูปลักษณ์ภายนอกดูดี ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ถูกพ่อแม่ตระกูลหลินเลือกไปเป็นลูกเขยจำเป็น

‘หญ้า’ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงขโมยขโจร แต่หมายถึงสวีเล่อคนนั้นที่นอกจากจะเติบโตมาพอดูดีสักหน่อยแต่จริงๆ แล้วท้องเต็มไปด้วยฟาง

‘ถึงจะเกิดมาพร้อมเรือนร่างที่ดี แต่ท้องก็เต็มไปด้วยหญ้า’ ประโยคเดิมเป็นการประเมินคุณค่าของเจี่ยเป่าอวี้ใน ‘ความฝันในหอแดง’

จริงแล้วโจวเจ๋อรู้สึกว่าในบทสรุปของสวีเล่อนั้นเหมาะสมมาก ตระกูลหลินรวยและก็รวยมากจริงๆ ในฐานะลูกเขยจำเป็น ถ้าสวีเล่อต้องการเริ่มต้นธุรกิจหรือทำกิจการอะไรก็ไม่น่าจะยาก แต่ผู้ชายคนนี้ก็เหมือนเด็กเนิร์ดที่ทำร้านหนังสือที่จะเสียเงินอย่างเดียว

แน่นอนว่าที่เสียงเพลงสะดุดและความตื่นตระหนกครั้งสุดท้ายของเด็กสาว เป็นเพราะเธอเห็นทั้งสองชีวิตในร่างของตัวเองจริงๆ

หนึ่งคือร่าง อีกหนึ่งคือวิญญาณ

ในชั่วพริบตา เธอก็เข้าใจได้ว่าเธอเจอผีเข้าแล้ว

นี่ทำให้โจวเจ๋อยิ้มเล็กน้อย พอพูดอย่างนี้แล้ว เด็กสาวตรงหน้าคนนี้ไม่น่าจะมีผีสิงร่างประการใด

ตัวเองยังไม่ถึงขนาดที่ทำให้ผีตนหนึ่งตกใจจนฉี่ราดเหมือนกับน้องสาวภรรยาอย่างนั้น

พี่เลี้ยงทั้งสองรีบตรงเข้ามาล็อกตัวเด็กสาวในทันที และปลอบประโลมเธอไม่หยุด

หวังเคอก็เข้าไปใช้วาจาในการชักจูง

โจวเจ๋อมองไปรอบๆ นี่น่าจะเป็นห้องส่วนตัวแต่เดิมของเด็กสาว ธีมสีชมพูและเตียงเจ้าหญิง มันอบอุ่นและน่ารักมาก แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้เจ้าของของมันอยู่ในสภาพที่บ้าๆ บอๆ

สิ่งที่ทำให้โจวเจ๋อแปลกใจเล็กน้อยคือ ในเมื่อเด็กสาวคนนี้ไม่ใช่ผี แล้ว ‘การละเล่นของเด็ก’ ที่เธอเพิ่งร้องและบทสรุปที่แม่นยำนั้นมาจากไหนกันแน่

‘การละเล่นของเด็ก’ เป็นเพลงพื้นบ้านของทงเฉิง ตอนนี้ก็มีคนเฒ่าคนแก่ฟังอยู่บ้าง แต่คนหนุ่มคนสาวอาจจะไม่เคยได้ยินเสียด้วยซ้ำ เด็กสาวคนนี้ร้องได้อย่างมืออาชีพมาก

เป็นไปได้ไหมว่าบุคลิกภาพใหม่ถูกสร้างขึ้น หลังจากการหลอมรวมที่ไม่สับสนปนเปของทั้งสองบุคลิก และทำให้บุคลิกภาพนี้มีความสามารถพิเศษนี้หรือไม่

ผู้คนมักพูดว่าอัจฉริยะกับคนบ้าจริงๆ แล้วมีเพียงเส้นบางๆ กั้นไว้

แต่คิดๆ ดูแล้วก็เหมือนว่าจะไม่ถูก แต่ก็ไม่รู้ว่าตรงไหนที่ไม่ถูกกันแน่

“คุณผู้ชายล่ะ”

ในเวลานี้ จู่ๆ เด็กสาวก็พูดอย่างสงบนิ่ง เธอผลักพี่เลี้ยงที่อยู่ข้างๆ ออกไป แล้วลุกขึ้นยืน

“สามีฉันกลับบ้านหรือยัง”

หวังเคอชะงักค้างอยู่กับที่

โจวเจ๋ออ้าปากค้างเล็กน้อย

บทบาทเปลี่ยนไปแล้วเหรอ

เปลี่ยนไปเป็นบุคลิกของแม่งั้นเหรอ

“อาชิว ผมอยู่นี่” ในตอนนี้เองคุณเจิ้งก็เดินเข้ามา จากนั้นส่งสัญญาณให้กลุ่มคนออกไปก่อน เขาต้องปลอบ ‘ภรรยา’ ของตัวเอง

เมื่อเดินไปที่ระเบียง โจวเจ๋อก็จุดบุหรี่หนึ่งมวน

“มันเกิดอะไรขึ้น” หวังเคอถามขณะยืนอยู่ข้างโจวเจ๋อ ความหวังของเขาอยู่ที่โจวเจ๋อ

โจวเจ๋อส่ายหน้า “ไม่ใช่ผีสิงร่าง”

“มันเป็นปัญหาทางจิตจริงๆ เหรอ” หวังเคอเม้มริมฝีปากที่แห้งแตกของเขา เขาในตอนนี้ขึ้นขี่บนหลังเสือแล้วหล่ะ

อันที่จริงถ้าเขายึดถือหลักการของแพทย์ในการบำบัดเด็กสาวตั้งแต่แรก เรื่องราวน่าจะไม่กลายเป็นอย่างนี้ในตอนนี้

แต่ตอนนี้มาพูดแบบนี้ก็สายเกินไปแล้ว

แต่ว่าจริงๆ แล้วนี่ไม่นับว่าเป็นความผิดของหวังเคอคนเดียว ถ้าเขาอยากได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุน จะพยายามเอาใจนักลงทุนเป็นธรรมดา

นอกจากนี้ เมื่อคุณเจิ้งได้ยินว่าบุคลิกของลูกสาวเปลี่ยนไปเป็นภรรยาของเขา เขาก็เข้ามาทันที และดูจากน้ำเสียงที่เขาเรียก ‘อาชิว’ เห็นได้ว่าปัญหามากกว่าครึ่งเกิดจากตัวเขาเอง

“ห้องนี้มีไว้ทำอะไร” โจวเจ๋อชี้ไปที่ห้องข้างห้องนอนแล้วถาม ด้านในถูกคลุมด้วยผ้าชีฟองสีขาว และหน้าต่างที่สูงจากพื้นจรดเพดานถูกปิดไว้อย่างแน่นหนาเช่นเดียวกัน

ไม่รู้ว่าทำไม โจวเจ๋อมักจะรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างอยู่ในนี้ ที่ทำให้ตัวเองรู้สึกไม่สบายตัว

“เป็นสตูดิโอภาพวาดของคุณผู้หญิง” พ่อบ้านหนุ่มเอ่ยขึ้น

“อ้อ ขอผมเข้าไปข้างในหน่อยได้ไหม” โจวเจ๋อพูด

“นี่…” พ่อบ้านลำบากใจเล็กน้อย จากนั้นมองหวังเคอ

“ให้เขาเข้าไปดูเถอะ” หวังเคอพยักหน้ากล่าว “ศึกษาเรื่องราวของคุณผู้หญิงมากอีกสักหน่อย จะได้เป็นประโยชน์ก้าวหน้าในการรักษา”

“ครับ”

พ่อบ้านรีบไปหยิบกุญแจมาทันที และเปิดประตู จากนั้นยืนอยู่ด้านนอกประตู ให้โจวเจ๋อและหวังเคอเข้าไปด้วยกัน

“นายชอบวาดรูปตั้งแต่เด็กแล้วนี่ ฉันจำได้ว่านายเคยบอกฉัน นายอยากเป็นจิตรกร” หวังเคอเอ่ยด้วยความคิดถึง

“สมัยนั้นสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่มีเงื่อนไขนี้น่ะ” โจวเจ๋อพูด

สำหรับสถานการณ์ของโจวเจ๋อในตอนนั้น การเรียนศิลปะวาดรูป ดูไม่สมกับความเป็นจริง ดังนั้นในท้ายที่สุดหลังจากที่เขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วก็เลือกมหาวิทยาลัยแพทย์เพื่อทำงานเลี้ยงตัวเอง

“ไม่ต้องห่วง ไม่ว่าสุดท้ายแล้วครั้งนี้จะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะไม่รบกวนนายอีก” หวังเค่อยิ้มอย่างขมขื่น “ที่จริงฉันก็กลัวเหมือนกัน ตอนที่ไปหานายครั้งที่แล้ว ฉันอกสั่นขวัญหายไปทั้งตัว”

ลูกสาวของพี่เป็นยมทูต ถ้าพี่รู้เรื่องนี้เข้า ไม่เป็นลมหมดสติไปเลยเหรอ

ในตอนนี้เอง พ่อบ้านตะโกนเรียกอยู่หน้าประตู “หมอหวัง คุณเจิ้งเรียกหาคุณครับ”

“ฉันจะไปดูก่อน รอสักครู่แล้วฉันจะพานายออกไปด้วยกัน” หวังเคอออกไปจากสตูดิโอภาพวาดและทิ้งโจวเจ๋อเอาไว้ในนี้คนเดียว

โจวเจ๋อกำลังเดินเล่นอยู่ในสตูดิโอภาพวาดคนเดียว มองดูภาพวาดบนพื้นและบนกำแพง รู้สึกเคลิบเคลิ้มเล็กน้อย พูดตามตรง แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ สามารถเห็นได้ว่าเป็นผลงานของจิตรกรรุ่นเยาว์ แต่ดูเหมือนว่าแต่ละรูป จะมีจิตวิญญาณที่เป็นเอกลักษณ์ และสะท้อนถึงพรสวรรค์ของศิลปินเอง

ในท้ายที่สุด โจวเจ๋อก็หยุดอยู่หน้าขาตั้งที่คลุมด้วยผ้าสีดำและเอื้อมมือออกไปกระชากผ้าสีดำออกแบบไม่มีแรงกดดันภายในจิตใจ ทันใดนั้น รูม่านตาของโจวเจ๋อหดตัวลงทันที

ภาพบนขาตั้งเป็นรูปหัวกะโหลก

ดูเหมือนจะไม่มีอะไรพิเศษ เพราะภาพหัวกะโหลกแบบนี้หาเจอได้ง่ายตามอินเทอร์เน็ต

แต่หัวกะโหลกนี้ กลับทำให้โจวเจ๋อมีความรู้สึกว่าหัวใจของเขาหยุดเต้น และแม้แต่การหายใจของเขาก็ดูเชื่องช้าลงแทบจะหยุดนิ่ง

นี่เป็นความรู้สึกพิเศษอย่างหนึ่ง เกิดความรู้สึกร่วมที่ไม่ธรรมดาอย่างหนึ่ง

หลังจากหายใจเข้าลึกๆ ถี่ๆ ติดต่อกันหลายครั้งและสงบสติอารมณ์ โจวเจ๋อก็สามารถมองดูภาพวาดได้ละเอียดยิ่งขึ้น จากนั้นโจวเจ๋อก็พบว่ากะโหลกในภาพเป็นพื้นผิวสามมิติ โดยเฉพาะรอยพับด้านซ้ายสุดที่มีความรู้สึกถึงช่องว่าง

มันเหมือนกับความแตกต่างระหว่างการวาดภาพเรียบของปกหนังสือกับการวาดภาพสามมิติของปกหนังสือ

นี่เป็นผลงานลอกเลียนแบบ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของเด็กสาวคนก่อนเป็นสไตล์ของหลิวสุ่ยสาวงามแห่งตำบล แต่ภาพตรงหน้านี้แตกต่างจากสไตล์ของเธอก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง!

เมื่อพิจารณาจากภาพวาด ที่เธอลอกเลียนแบบควรเป็นหนังสือหรือสมุดกันนะ

อีกทั้งหน้าปกของหนังสือเล่มนั้นหรือสมุดคือหัวกะโหลกนี้

โจวเจ๋อเริ่มมองไปรอบๆ ตอนที่เด็กสาววาดภาพนี้ น่าจะวางสิ่งนั้นไว้ด้านหน้าและลอกเลียนแบบ ดังนั้นสิ่งนั้นน่าจะเป็นไปได้มากที่สุดในสตูดิโอนี้

ไม่นาน โจวเจ๋อก็เจอตู้เล็กๆ ที่มุมห้องสตูดิโอภาพวาด บนนั้นไม่ได้ล็อกเอาไว้ โจวเจ๋อเปิดตู้ออก มีหนังสือภาพประกอบและหนังสือวาดภาพอยู่ด้วย หลังจากพลิกดูอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดโจวเจ๋อก็เจอสิ่งที่ตัวเองต้องการ มันเป็นสมุดขนาดเท่าฝ่ามือ ดูเหมือนใบขับขี่เล็กน้อย

นำมันออกมาวางตรงหน้าของตัวเอง ด้านหน้าเป็นหัวกะโหลกเหมือนกับในภาพวาดอย่างไม่มีผิดเพี้ยน

ไม่ผิดแน่ นี่เป็นสิ่งที่เด็กสาวลอกเลียนแบบ

โจวเจ๋อเปิดสมุดโดยไม่รู้ตัว แต่ชั่วขณะที่สมุดถูกพลิกเปิดนั้น

จู่ๆ เด็กสาวที่เพิ่งหลับไปในห้องนอนข้างๆ เบิกตาโพลง ดวงตาแดงก่ำแล้วกระโดดพรวดลงจากเตียง ถ้าพี่เลี้ยงที่อยู่ข้างๆ ไม่กอดเธอไว้อย่างรวดเร็ว เธออาจจะพุ่งออกจากห้องนอนไปแล้ว

“ฮือๆๆๆ…ฮือๆๆๆ…”

เด็กสาวดิ้นรนอย่างสุดกำลัง เล็บของเธอข่วนบนใบหน้าของพี่เลี้ยงจนเลือดซิบเป็นทางยาว

“เกิดอะไรขึ้นอีกแล้ว!”

คุณเจิ้งรีบวิ่งกลับไปที่ห้องนอนอีกครั้ง เมื่อเห็นลูกสาวของเขาแบบนี้ ปวดหัวใจมากเหลือเกิน

และในตำแหน่งที่คั่นด้วยกำแพงนั้น โจวเจ๋อยังคงพลิกเปิดสมุดนิ่งไม่ไหวติง

ทันใดนั้นมีทั้งชายและหญิง ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ผุดขึ้นในหัวของโจวเจ๋ออย่างฉับพลัน พวกเขาปรากฏตัวและหายตัวไปอย่างรวดเร็ว แต่ทุกครั้งข้างๆ ที่พวกเขาโผล่ขึ้นมา ในขณะเดียวกันก็มีลายเส้นสีดำหลายบรรทัดแสดงขึ้นพร้อมๆ กัน เขียนบทสรุปของพวกเขาไว้บนนั้น

มีช่วงเวลาหนึ่งที่ปริมาณข้อมูลอันน่าสะพรึงกลัวทำให้โจวเจ๋อเริ่มเวียนหัว

‘พรึ่บ…’

ทันใดนั้นโจวเจ๋อก็เงยหน้าขึ้นและสูดหายใจเข้าลึกๆ พร้อมทั้งปิดสมุดลง

นี่ไม่ใช่สมุดหัวกะโหลกธรรมดาทั่วไป

ในนี้มีบันทึกของผู้คนมากมายที่ล่วงลับไปแล้วและบันทึกย่อชีวิตของพวกเขา

นี่เป็นสิ่งที่โจวเจ๋อไม่เคยเห็นมาก่อน

ในเวลานี้ โจวเจ๋อพบว่ามีรอยไหม้ตรงกลางหัวกะโหลกบนหน้าปกของสมุด

โจวเจ๋อใช้เล็บตัวเองสัมผัสรอยนี้โดยไม่รู้ตัว

ทันใดนั้น ราวกับว่าเล็บดำทะมึนของโจวเจ๋อยาวออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ ลมปราณของเล็บสีดำม้วนพุ่งเข้าไปในสมุด ทั้งสมุดพับเริ่มร้อนจัดจนลวกมือ แต่ไม่สามารถทิ้งมันได้ ราวกับว่ามันถูกนาบไว้บนเนื้อของโจวเจ๋อ

จู่ๆ เด็กสาวห้องข้างๆ ที่กำลังดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งก็เงียบนิ่งสนิท ราวกับว่าในที่สุดก็ถูกปลดปล่อยและผล็อยหลับไปทันที

ความรู้สึกเจ็บปวดนั้นอยู่ไม่นานนัก แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้โจวเจ๋อเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ราวกับว่าเขากำลังทุกข์ทรมานจากการถูกต้ม!

‘แปะ…’

สมุดร่วงลงมาจากมือของโจวเจ๋อ

โจวเจ๋อก้มหน้าลงและหยาดเหงื่อก็หยดลงมา

แต่เขามองเห็นแผ่นพับที่เดิมทีมีแค่ปกหนังสีดำปรากฏตัวอักษรสีเลือดขึ้นมาสองบรรทัดอย่างชัดเจน

“กฎระเบียบยมโลก

น้ำพุเหลืองข้ามสู่แดนนรก”

……………………………………………………………