ตอนที่ 29 ผู้ฝึกยุทธ์รวยจริงๆ

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน

ตอนที่ 29 ผู้ฝึกยุทธ์รวยจริงๆ!

ตัวร้ายมักตายเพราะปากมาก ฟางผิงเข้าใจหลักการนี้ดี

หวงปินอยากพูด ที่จริงเขาไม่อยากให้อีกฝ่ายพูดอะไร

แต่ยามนี้ เรื่องที่เขารู้มีน้อยเกินไป ตำแหน่งฐานะของเขาก็ถูกกำหนดแล้วว่า ไม่อาจได้รับข้อมูลที่มีประโยชน์อะไร

ดังนั้นแม้ว่าจะไม่เต็มใจ แต่ฟางผิงยังคิดจะให้หวงปินแลกเปลี่ยนกับเขาสักสองสามประโยค

เขาก็ไม่กลัวว่าคนผู้นี้จะตะโกนร้องเสียงดัง แค่เห็นก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนดี ไม่อย่างนั้นตอนที่เขาพูดว่าจะจับส่งตำรวจ ก็คงไม่ดิ้นรนขนาดนั้นหรอก

ครู่ต่อมา หวงปินก็เริ่มหอบหายใจแรง

ฟางผิงมัดเขาไว้แน่นเกินไป ทั้งยังปิดปากเขาไว้ หน้าอกก็คล้ายจะมีกระดูกหักด้วย

นี่เป็นเหตุให้เขาหายใจไม่สะดวกนัก

รอจนฟางผิงใช้มีดปลายปืนกรีดเทปบนปากเปิดช่องว่าง สิ่งแรกที่หวงปินทำก็คือโกยอากาศหายใจ

เมื่อหอบหายใจสักพัก หวงปินก็บิดหน้ามองฟางผิงที่อยู่ห่างออกไป แววตาปรากฏไอสังหารขึ้นมา

คาดไม่ถึงว่า ตัวเองจะเสียท่าให้เด็กเหลือขอนี่จริงๆ!

แต่หวงปินยังคงอดพูดออกไปไม่ได้ “พวกเราไม่มีความแค้นอะไรกันสักหน่อย?”

เขาไม่เข้าใจว่า เหตุใดเจ้าเด็กนี้ต้องจัดการเขา!

หากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ เขายังพอยอมรับได้ แต่อีกฝ่ายไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์เสียด้วยซ้ำ!

ฟางผิงก็ไม่คิดจะตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา เขาไม่อาจพูดว่าตัวเองกลัวอีกฝ่ายจะลงมือกับตัวเอง ดังนั้นเขาจึงชิงลงมือก่อน

ความจริง จวบจนยามนี้แล้ว ฟางผิงกลับสัมผัสได้อย่างเลือนรางว่า ตัวเองทำผิดไปอยู่บ้าง

ชายผู้นี้ อาจจะไม่ได้คิดลงมือกับเขา แต่แค่จะซ่อนเร้นตัวตนเท่านั้น

เห็นเขาเตรียมเงินสด อาวุธ อาหารและน้ำ…

การเตรียมการเช่นนี้ เป็นไปได้ว่าจะเป็นคนร้ายหนีความผิด

แต่จะให้ฟางผิงยอมรับว่าตัวเองทำผิดอย่างนั้นรึ?

เมื่อหวงปินถาม ฟางผิงจึงตอบกลับไป “ฉันเป็นนักเรียนที่ดี จับคนชั่วเป็นหน้าที่ของฉันอยู่แล้ว!”

‘หน้าที่บ้านปู่แกสิ!’

หวงปินก่นด่าในใจ ตัวเองขึ้นเหนือล่องใต้ไปทั่ว กลับมาเสียท่าให้กับไอ้เด็กเวรนี้ ให้ตายยังไงก็รับไม่ได้

ฟางผิงก็ไม่ให้โอกาสเขาถามอีก นำขวดยาพวกนั้นออกมาจากกระเป๋า

“ขวดพวกนี้เป็นยาอะไร? อย่าโกหกฉัน ถ้าแกพูดซี้ซั้ว ฉันไปหาข้อมูลเองก็รู้แล้ว”

หวงปินไม่คิดจะปิดบังเรื่องนี้ เป็นดังที่ฟางผิงว่า หากเขาไปหาข้อมูลจริงๆ ก็รู้ได้แล้ว

เห็นเจ้าเด็กนี่สนใจของพวกนั้น หวงปินกลับโล่งใจขึ้นมา อยากได้ก็ดีแล้ว

“สามขวดนั้นมีฉลากติดอยู่ นายคงจะเห็นแล้ว ยาบำรุงกำลังสองขวด ยาบำรุงเลือดและปราณหนึ่งขวด”

“ผู้ฝึกยุทธ์ก็ใช้ยาพวกนี้เหมือนกันเหรอ?”

“แน่นอน!”

หวงปินเอ่ยทันที “ยาพวกนี้ล้วนใช้บำรุงปราณ ผู้ฝึกยุทธ์จำเป็นต้องบำรุงปราณอยู่แล้ว ไม่อาจใช้อาหารทดแทนทุกครั้งได้ ดังนั้นยาบำรุงกำลัง ยาบำรุงเลือดและปราณจึงเป็นยาทั่วไปที่ผู้ฝึกยุทธ์ส่วนใหญ่เลือกใช้”

ฟางผิงกระจ่างใจทันที นำขวดยาเล็กๆ อีกขวดขึ้นมาถาม “อันนี้ล่ะ?”

“นี่ก็เป็นยาบำรุงเลือดและปราณ แต่ไม่ใช่แบบธรรมดา เป็นยาบำรุงเลือดและปราณสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่ง”

หวงปินพูดเสริม “ยาบำรุงปราณระดับสูง หลักๆ จะใช้ในการทะลวงด่านครั้งสุดท้ายของผู้ฝึกยุทธ์ อย่างยาบำรุงเลือดและปราณขั้นหนึ่ง เป็นยาที่จำเป็นสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ ใช้ในตอนที่ผู้ฝึกยุทธ์จะทะลวงด่าน สามารถเพิ่มปราณให้มากขึ้นได้! แต่สำหรับฉัน ปกติมักใช้เพื่อเพิ่มปราณ ตอนเจอกับการต่อสู้หรือต้องจู่โจมทางไกล ประสิทธิภาพนั้นดีกว่ายาบำรุงกำลังหรือยาบำรุงปราณทั่วไปอยู่มากโข”

“ยาบำรุงก็แบ่งลำดับขั้น?”

หวงปินไม่ตอบ ไร้สาระสิ้นดี

ปรากฏว่า เห็นฟางผิงถือมีดในมือคล้ายกำลังหาที่ลง หวงปินก็กล่าวทันที “แบ่งสิ ใช้ตามลำดับขั้นของผู้ฝึกยุทธ์”

“เม็ดละเท่าไร?”

ยาบำรุงเลือดและปราณขั้นหนึ่งมีไม่มาก ฟางผิงมองผ่านๆ น่าจะสามเม็ด

“เม็ดละสามแสน!”

ฟางผิงปวดฟันอยู่บ้าง ผู้ฝึกยุทธ์ใช้เงินเก่งจริงๆ ยาบำรุงเม็ดหนึ่งก็ปาไปเป็นแสนแล้ว

ยาบำรุงกำลังและยาบำรุงปราณทั่วไป ราคาในตลาดก็สูงถึงหนึ่งล้านสามแสนสี่หมื่นแล้ว

รวมกับยาบำรุงเลือดและปราณขั้นหนึ่งสามเม็ดนี้ก็เป็นสองล้านสองแสนสี่หมื่น

ฟางผิงชี้ไปยังสองขวดที่เหลือ

หวงปินตอบแต่โดยดี “ขวดหนึ่งเป็นยาเสริมสร้างกระดูก อีกขวดเป็นยาป้องกันอวัยวะภายใน”

ยาสองขวดนี้มีขนาดเล็กอย่างยิ่ง ที่จริงข้างในก็มีเพียงหนึ่งเม็ดเท่านั้น

ครั้งนี้ไม่ต้องให้ฟางผิงถาม หวงปินก็กล่าวเสริม “ยาเสริมสร้างกระดูก ความหมายตามชื่อ เป็นยาที่เพิ่มความแข็งแกร่งกับกระดูก ผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่าง เรื่องหลักที่ต้องให้ความสำคัญคือกระดูกร่างกาย กระดูกแข็งแรง ถึงจะสามารถรองรับการพลุกพล่านของปราณได้ การฝึกฝนร่างกายภายนอก หากได้รับบาดเจ็บที่ผิวหรือเส้นลมปราณ สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ นั่นไม่นับเป็นการบาดเจ็บ กระดูกมีปัญหา ย่อมรักษาได้ช้า ดังนั้นผู้ฝึกยุทธ์จึงจำเป็นต้องฝึกฝนกระดูกเป็นอันดับแรก เมื่อเป็นแบบนี้ไม่ว่าปราณจะพลุกพล่านหรือฝึกฝนในยามปกติ ล้วนไม่อาจบาดเจ็บหนักได้”

“ยามที่ต่อสู้ก็เป็นเช่นนี้ กระดูกอ่อนแอ นายเหวี่ยงหมัดออกไป กระดูกแตกหัก นายก็คงไม่อาจสู้ต่อไปได้ ต้องมีกระดูกที่แข็งแรง ถึงจะมีร่างกายที่แข็งแกร่งได้ ยาป้องกันอวัยวะภายในก็เกี่ยวข้องกับชื่อเหมือนกัน ใช้ในการป้องกันอวัยวะภายใน หากอวัยวะในร่างกายอ่อนแอ ผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่างคงไม่อาจฝึกฝนร่วมกับอวัยวะได้ ฝึกฝนยามปกติยังพอว่า แต่หากทะลวงด่าน การป้องกันอวัยวะนับว่าสำคัญอย่างยิ่ง ไม่มียาป้องกัน หากปราณพลุกพล่านเกินขีดจำกัด ก็จะทำให้อวัยวะภายในได้รับบาดเจ็บได้”

หวงปินอธิบายยกใหญ่ ก่อนจะเอ่ยอย่างร้อนใจ “นี่เป็นยาที่ฉันต้องใช้ทะลวงขั้นสาม ราคาสูงลิ่ว! ไม่ว่าจะเป็นยาเสริมสร้างกระดูกหรือยาป้องกันอวัยวะภายใน ต่างก็เป็นยาบำรุงขั้นสอง ย่อมราคาสูงกว่าท้องตลาด แม้ยาเสริมสร้างกระดูกจะถูกกว่าหน่อย แต่ก็ต้องใช้เงินหนึ่งล้าน ! ส่วนยาป้องกันอวัยวะภายในนั้นแพงอย่างถึงที่สุด ยาป้องกันอวัยวะสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสอง ขายที่เม็ดละสองล้าน!”

ฟางผิงกลืนน้ำลาย เผลอกระชับยาสองขวดนั้นไว้ในมืออย่างไม่ตั้งใจ

ยาเสริมสร้างกระดูกขั้นสอง หนึ่งล้าน ยาป้องกันอวัยวะภายใน สองล้าน ทำไมเขาจึงรู้สึกว่าไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย?

ความจริง ยาสองชนิดนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่หวงปินเตรียมไว้ใช้ในการทะลวงขั้นสาม

การฝึกฝนยามปกติ อย่าพูดว่าหวงปินที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ในสังคมนี้เลย

แม้จะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ในบริษัทใหญ่ ส่วนรัฐบาลหรือในมหาวิทยาลัย ก็ไม่อาจเอื้อมถึงของฟุ่มเฟื่อยอย่างยาพวกนี้ได้หรอก

ยาบำรุงหกขวด ราคาตามท้องตลาดก็ห้าล้านสองแสนสี่หมื่นแล้ว!

ความจริงการค้าขายระหว่างผู้ฝึกยุทธ์ก็จะถูกหน่อย ถ้าเป็นองค์กรอย่างพวกมหาวิทยาลัย ยิ่งถูกเข้าไปใหญ่

แต่หวงปินไม่มีช่องทางพวกนี้ จึงทำได้เพียงซื้อราคาที่สูงกว่าท้องตลาด

แน่นอนว่า ขวดยาในมือหวงปินพวกนี้ ส่วนใหญ่ล้วนปล้นมาทั้งนั้น

เพราะการทะลวงขั้นสอง เขาจึงยากจนอย่างยิ่ง แม้ว่าไม่กี่ปีให้หลังจะพอมีเก็บบ้าง แต่ก็พอประทังชีวิตไปวันๆ เท่านั้น

คิดจะทะลวงขั้นสาม หากเป็นหวังจินหยางที่อยู่ในฐานะนักศึกษาศิลปะการต่อสู้ แค่สามสี่ล้านก็คงพอแล้ว

แต่หวงปิน มีทรัพยากรอย่างจำกัด หากมีเงินน้อยกว่าสิบล้าน เกรงว่าจะยังไม่พอ

การหาเงินเป็นเรื่องยากกว่าใช้เงินอยู่แล้ว เพราะหวงปินรู้สึกหมดหวังและไม่อยากทนต่อไป จึงได้ทำเรื่องปล้นทรัพย์ขึ้นมา

ก่อนหน้านี้หวังจินหยางเคยพูดมาก่อนเช่นกัน ฐานะทางบ้านธรรมดาอย่างพวกฟางผิง หากสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ จะยิ่งสิ้นหวัง ก็เป็นเพราะเหตุนี้

ฝึกฝนในชีวิตประจำวัน บำรุงร่างกายเพิ่มกำลัง ทะลวงด่านล้วนต้องใช้เงินทั้งสิ้น…

เรียกได้ว่า ไม่มียามที่ไม่ใช้เงินเลย!

หลี่หยวนเจียงผู้ที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ได้เมื่อปีที่แล้ว ก่อนหน้านี้ที่ไม่อาจทะลวงขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้ ก็เป็นเพราะสาเหตุนี้เช่นกัน

ก่อนที่จะทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์ อย่างน้อยที่สุดต้องมียาบำรุงเลือดและปราณขั้นหนึ่งหนึ่งเม็ด และยาเสริมสร้างกระดูกหนึ่งเม็ด

ส่วนยาป้องกันอวัยวะภายใน ยามนี้อาจยังไม่จำเป็นต้องใช้ แต่ก็มีความเสี่ยงอยู่บ้าง

หากฐานะทางบ้านดี ก็เตรียมเอาไว้ จะปลอดภัยมากกว่า

แต่ถ้าฐานะธรรมดา จะเตรียมเพียงยาบำรุงเลือดและปราณขั้นหนึ่งแค่เม็ดเดียว นั่นก็อันตรายอย่างยิ่ง หลายคนไม่กล้าที่จะลอง

ยาเสริมสร้างกระดูกขั้นหนึ่งราคาห้าแสนหยวน รวมกับยาบำรุงเลือดและปราณขั้นหนึ่งก็เป็นเงินแปดแสนแล้ว

แม้มหาวิทยาลัยจะจัดสรรทรัพยากรให้ระหว่างที่ศึกษาอยู่ ทั้งราคายังถูกกว่าข้างนอกมาก แต่นักศึกษาเองก็ต้องเตรียมเงินทุนไว้ประมาณสามแสนเช่นกัน

นี่เป็นเพียงครั้งแรก ใช่ว่าผู้ฝึกยุทธ์ฝึกหัดจะสามารถเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวได้ในครั้งแรก หากครั้งที่สอง มหาวิทยาลัยย่อมไม่ช่วยเหลือเรื่องทรัพยากรอีกแล้ว

หลี่หยวนเจียงทะลวงครั้งแรกไม่สำเร็จ ปรากฏว่าครั้งที่สองต้องเป็นคนออกค่าใช้จ่ายเอง

สำหรับนักศึกษาศิลปะการต่อสู้ที่ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ ต้องประคองค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ทั้งทะลวงขั้นอีกครั้ง อย่างน้อยต้องเตรียมเงินไว้ประมาณหนึ่งล้าน

หากไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ จะไปหาเงินจำนวนมากขนาดนี้จากไหนล่ะ?

พวกหวังจินหยางล้วนสามารถทะลวงขั้นได้ในครั้งเดียว บางคนเตรียมแค่ยาบำรุงปราณเม็ดเดียว นอกนั้นก็อาศัยทรัพยากรที่มหาวิทยาลัยจัดสรรให้

รอจนกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ พวกเขาก็จะมีลู่ทางในการหาเงิน นี่จึงเป็นสาเหตุที่คนแข็งแกร่งนับวันก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ส่วนคนอ่อนแอนับวันก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ เช่นกัน

หากดึงตัวออกจากก้าวแรกไม่ได้ นักศึกษาศิลปะการต่อสู้บางคนเรียนจบแล้วยังไม่กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์มีถมเถไป

จากคำพูดของหวงปิน ฟางผิงก็ได้รับข้อมูลมากมาย

นอกจากชายผู้นี้จะเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ยังไม่ใช่เพียงขั้นหนึ่ง แต่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองที่เตรียมจะทะลวงด่าน

นึกมาถึงตรงนี้ ฟางผิงก็กลัวขึ้นมาอยู่บ้าง เขาหุนหันพลันแล่นเกินไปแล้ว!

การวู่วามล้วนให้ผลลัพธ์ที่เลวร้าย ครั้งหน้าต้องระมัดระวังแล้ว

เห็นฟางผิงกำขวดยาแน่น แววตาของหวงปินก็วูบไหว เอ่ยเสียงเบาว่า “ตอนนี้ของพวกนี้เป็นของนายแล้ว! รวมทั้งเงินสดในกระเป๋า มูลค่าทั้งหมดน่าจะประมาณห้าล้าน! แต่ถ้าฉันถูกส่งให้ตำรวจหรือพวกหน่วยสืบสวน ของพวกนี้ก็จะถูกเอาไปด้วย!”

ยามนี้สิ่งที่หวงปินคิดเพียงอย่างเดียวคือ ไม่อาจให้ฟางผิงส่งเขาให้ตำรวจได้

ตำรวจล้วนเป็นคนทั่วไป เขาไม่กลัว

แต่การกระทำผิดของเขา อยู่ที่โรงพักก็เพียงถูกลงบันทึกประจำวันเท่านั้น แต่หากถูกจำได้ ย่อมถูกส่งให้หน่วยสืบสวนต่อทันที

เมื่อเข้าไปในหน่วยสืบสวนแล้ว อย่าพูดว่าเขาเพิ่งเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองเลย อยู่ในรังของคนอื่น แม้จะอยู่ขั้นสี่ก็ต้องยอมคุกเข่าเช่นกัน

ตอนนี้ทำได้เพียงใช้ผลประโยชน์มาหว่านล้อมเท่านั้น

ทรัพย์สินมูลค่ากว่าห้าล้าน ชั่วชีวิตของเจ้าเด็กนี้จะเคยเห็นเงินจำนวนมากขนาดนี้หรือ?

เห็นฟางผิงไม่ปริปาก หวงปินก็เอ่ยทันที “นายก็อย่าได้ฆ่าคนปิดปากเลย เบาะแสที่ฉันเหลือไว้ อย่างมากก็บิดเบือนสายตาของทางการได้แค่สิบวันถึงครึ่งเดือน ผ่านไปไม่กี่วัน อีกฝ่ายคงหาตัวฉันเจอ หากฉันตาย นายก็หนีไม่รอด นายยังเป็นเด็ก อนาคตอีกยาวไกล ฉันรู้ว่าค่าปราณนายสูงมาก มีโอกาสจะสอบมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ได้ นายและฉันพังพินาศไปด้วยกัน ย่อมได้ไม่คุ้มเสีย ตอนนี้นายปล่อยฉัน ฉันก็จะไปทันที ของพวกนี้ให้นายทั้งหมด นายก็ไม่ต้องกังวลความปลอดภัย ฉันไม่อาจล้างแค้น…”

ก่อนจะคิดได้ว่า นี่เป็นการพูดเพียงปากเปล่า หวงปินจึงเอ่ยอีกครั้ง “นายเรียกตำรวจรอที่ประตูโรงพักหรือจะเตรียมโทรหาทุกเมื่อก็ได้ หากฉันเอาคืนนาย ฉันก็หนีไม่พ้น เกิดอะไรขึ้นกับนาย ทางเมืองหยางเฉิงย่อมมาจับกุมฉัน ฉันไม่เอาตัวเองไปเสี่ยงแบบนั้นหรอก ชีวิตสำคัญกว่าเงิน ฉันยังอยากมีชีวิตอยู่ นายคิดว่ายังไง?”

หวงปินพูดอย่างน่าเชื่อถือ ส่วนมากล้วนเป็นเรื่องจริง

ส่วนเรื่องแก้แค้นนั้น กระทั่งตัวหวงปินยังไม่คิดเชื่อคำพูดของตัวเอง

ครั้งนี้เสียท่าให้เจ้าเด็กนี่จนมีสภาพแบบนี้ หากไม่ฆ่าให้ตาย ชั่วชีวิตนี้เขาคงไม่อาจอยู่อย่างสงบใจได้

ยามที่หวงปินรอให้ฟางผิงเอ่ยปาก จู่ๆ ฟางผิงก็กล่าวทั้งรอยยิ้ม “บนตัวนายยังพอมีของดีอยู่หรือเปล่า? บางทีอาจเป็นของที่มีราคากว่ายาเม็ดพวกนี้ จุๆ ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองคนหนึ่ง พกทรัพย์สินติดตัวเป็นล้าน ผู้ฝึกยุทธ์นี้รวยจริงๆ!”

หวงปินมุมปากกระตุกเล็กน้อย จนถึงยามนี้แล้ว นายยังมีใจห่วงเรื่องเงินอีก?

สิ่งที่ฉันพูดไป เจ้าเด็กนี่ได้ฟังหรือเปล่าเนี่ย!

———————–