ตอนที่ 136 เจียงซย่า

ชายาเคียงหทัย

หลังจากฝนตกหนักผ่านไป เยี่ยหลีที่บังคับม้าเดินนำหน้ากองทัพอยู่นั้น ขมวดคิ้วมุ่นนิ่งคิดไม่พูดอันใดสักคำ คณะหนานโหวที่อยู่ข้างกาย เมื่อเห็นสีหน้าของนางเช่นนี้ จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “พระชายาเป็นอันใดหรือ”

 

 

เยี่ยหลีส่ายหน้า เอ่ยว่า “ไม่มีอันใด เพียงแค่กังวลสถานการณ์ทางฝั่งซิ่นหยางเล็กน้อยเท่านั้น”

 

 

หนานโหวเลิกคิ้วขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ อย่างไรก็ต้องเสียเมืองซิ่นหยางไปแน่แล้ว ยังมีอันใดต้องกังวลอีกหรือ

 

 

เยี่ยหลีขมวดคิ้วหันมองข้างทาง ด้วยเพราะเส้นทางที่พวกนางใช้มิใช่ทางสายหลัก ตลอดทางจึงพบเจอแต่ชาวบ้านที่หนีความวุ่นวายจากทางตะวันตกเฉียงเหนือมากันไม่ได้หยุด เมื่อได้เห็นชาวบ้านที่หอบหิ้วครอบครัวหนีมาด้วยความทุลักทุเลแล้ว ก็ทำให้เยี่ยหลีเกิดความรู้สึกหลากหลายขึ้น

 

 

อันที่จริงที่สถานการณ์ศึกกลายมาเป็นเช่นนี้ กว่าครึ่งก็ด้วยเพราะการแก่งแย่งชิงดีกันภายในราชสำนัก หากมีการเตรียมการแต่เนิ่นๆ และสามารถส่งกำลังเสริมมาได้ทันการณ์ สถานการณ์ก็คงไม่เป็นเช่นนี้ ไม่ว่ายุคสมัยใด คนที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดท่ามกลางไฟสงคราม อย่างไรก็คือชาวบ้านตาดำๆ

 

 

เยี่ยหลีนึกย้อนไปถึงคำที่อาจารย์เคยสอนไว้ในชาติที่แล้วที่ว่า – บ้านเมืองรุ่งเรือง ชาวบ้านลำบาก บ้านเมืองล่มสลาย ชาวบ้านก็ลำบาก

 

 

“พระชายา” จั๋วจิ้งบังคับม้าตามขึ้นมาจากด้านหลัง ก่อนหยุดลงถัดจากเยี่ยหลีไปครึ่งช่วงตัวม้า แล้วเอ่ยเรียกเสียงเบา

 

 

เยี่ยหลีดึงบังเ**ยนเล็กน้อยให้ม้าชะลอฝีเท้าลง ผินหน้าไปมองจั๋วจิ้ง

 

 

จั๋วจิ้งเอ่ยเสียงขรึมว่า “เมื่อครู่มีข่าวส่งมาว่า เมืองซิ่นหยางแตกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า ด้วยสีหน้าเป็นปกติ เมืองซิ่นหยางจะรักษาไว้ไม่ได้นั้นเดิมทีเป็นเรื่องที่อยู่ในการคาดการณ์อยู่แล้ว นางนิ่งเงียบไปเล็กน้อย ก่อนเอ่ยถามว่า “แม่ทัพหยวนสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

“แม่ทัพหยวนได้ถอนกำลังกลับไปยังเจียงซย่าแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่…” จั๋วจิ้งลังเลเล็กน้อย “ข่าวที่ได้รับเมื่อครู่แจ้งว่า กองทัพซีหลิง…ส่งฆ่าล้างเมืองซิ่นหยางพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

“อันใดนะ!” เยี่ยหลีหน้าบึ้งลงทันที ใบหน้านิ่งเรียบค่อยๆ มีรังสีสังหารอันเย็นเยียบปกคลุมขึ้น

 

 

หนานโหวที่อยู่ใกล้นางที่สุดเมื่อได้ยินจั๋วจิ้งเอ่ยเช่นนี้ เชือกในมือถึงกับกระตุก ก่อนสงบลงอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เพียงมองจั๋วจิ้งนิ่งๆ มิได้เปิดปากเอ่ยอันใด

 

 

จั๋วจิ้งเอ่ยเสียงต่ำว่า “หลังจากทัพใหญ่ของซีหลิงเข้าเมืองไปได้ ก็เกิดมีเหตุวิวาทกับชาวบ้านภายในเมือง จากนั้นเจิ้งเปี้ยน ผู้บัญชาการทหารที่นำทัพบุกเข้าไปในเมืองก็สั่งให้ฆ่าล้างเมืองซิ่นหยางพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“เจิ้นหนานอ๋องแห่งแคว้นซีหลิงมีท่าทีเช่นไร”

 

 

“เจิ้นหนานอ๋องมิได้อยู่ในทัพแนวหน้าด้วย กว่าเขาจะมีคำสั่งให้หยุดการสังหารก็ไม่ทันการณ์แล้วพ่ะย่ะค่ะ ซิ่นหยาง…มีชาวบ้านอย่างน้อยสองในสามส่วนที่ถูกสังหารไปพ่ะย่ะค่ะ…”

 

 

น้ำเสียงของจั๋วจิ้งสะดุดไปเล็กน้อย ตั้งแต่สถาปนาแคว้นต้าฉู่ขึ้นมา เพิ่งเคยเกิดเหตุฆ่าล้างเมืองขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เหล่านายทหารทั้งหลายรับไม่ได้

 

 

เยี่ยหลีหัวเราะเสียงเย็น สะบัดบังเ**ยนบังคับให้ม้าวิ่งออกไปทันที

 

 

หนานโหวอึ้งไป หันมองจั๋วจิ้งด้วยความไม่เข้าใจ

 

 

จั๋วจิ้งลังเลเล็กน้อย ก่อนบังคับม้าให้ออกวิ่งตามไป

 

 

เยี่ยหลีมิได้ไปไกลนัก เพียงหยุดมองชาวบ้านที่หนีตายผ่านมาตามทางเงียบๆ

 

 

จั๋วจิ้งเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า “พระชายา”

 

 

เยี่ยหลีหันกลับไปมอง มือจับสายบังเ**ยนเล่นอย่างใจลอยพร้อมเอ่ยว่า “เคยมีคนบอกกับข้าว่า การให้ชาวบ้านต้องพบเจอกับสงคราม ถือเป็นความอับอายของทหารและแว่นแคว้น”

 

 

จั๋วจิ้งเอ่ยปลอบนางว่า “นี่มิใช่ความผิดของพระชายานะพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีส่ายหน้า หัวเราอย่างเยาะหยัน “เจิ้งเปี้ยนใช่หรือไม่…หัวของเขาตำหนักติ้งอ๋องจองไว้แล้ว ข้าจะเอาหัวของเขามาเซ่นไหว้วิญญาณของชาวบ้านเมืองซิ่นหยาง!”

 

 

“ข้าน้อยเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ รับประกันว่าภายในสิบวัน หัวของเจิ้งเปี้ยนจะต้องแขวนอยู่บนกำแพงเมืองของซิ่นหยาง!”

 

 

 

 

เจ็ดวันให้หลัง เมื่อทัพของเจิ้นหนานอ๋องก็เคลื่อนพลเข้าใกล้เมืองเจียงซย่า ก็มีจดหมายลับจากเหลยเถิงเฟิงที่รักษาการณ์อยู่ที่เมืองซิ่นหยางส่งมาถึง ความว่า เจิ้งเปี้ยนที่รักษาการณ์อยู่ที่เมืองซิ่นหยาง ถูกคนฆ่าตายภายในห้องพักของตน ส่วนหัวของเขาถูกจับแขวนไว้บนกำแพงเมือง ถัดจากหัวเขาไปยังมีผ้าลายมังกรโบยบินหงส์เริงระบำที่เขียนตัวอักษรติ้งอยู่บนนั้น ชัดเจนว่าผู้ที่สังหารเขาเป็นคนของตำหนักติ้งอ๋อง

 

 

เมื่อได้รับจดหมายลับจากเหลยเถิงเฟิง สีหน้าเจิ้นหนานอ๋องก็นิ่งเรียบประหนึ่งผิวน้ำ เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเขียนจดหมายตอบกลับเหลยเถิงเฟิง จากนั้นถึงได้มีคำสั่งให้เร่งเดินทางไปโจมตีเมืองเจียงซย่า

 

 

เมืองเจียงซย่า เป็นเมืองเล็กๆ ตั้งอยู่ห่างจากซิ่นหยางไปไม่เกินสองร้อยลี้ ขนาดของเมืองใหญ่ไม่ถึงหนึ่งในสามของเมืองซิ่นหยาง เมืองทั้งสามด้านลอบรอบไปด้วยภูเขา มีพื้นที่แคบเล็ก

 

 

แต่ด้วยเมืองเล็กๆ แห่งนี้เอง ที่ทำให้ซีหลิงต้องเสียกำลังพลในการโจมตีเทียบเท่ากับการโจมตีเมืองหลายๆ เมืองก่อนหน้านี้รวมกัน จากเดิมที่ทุกอย่างราบรื่นประหนึ่งตัดไผ่ ในที่สุด ทัพใหญ่ของซีหลิงที่แทบไม่เคยพ่ายแพ้ในการทำศึก ก็ได้รับรู้ถึงความสามารถที่แท้จริงของทัพต้าฉู่ ทำให้เจิ้นหนานอ๋องที่ไม่เคยร่วมทัพแม้จะโจมตีเมืองใหญ่อย่างซิ่นหยาง ต้องออกโรงยืนอยู่เบื้องหลังทัพใหญ่ด้วยตนเอง

 

 

เจิ้นหนานอ๋องยืนอยู่บนเนินเขามองทหารทั้งสองฝ่ายที่ห้ำหั่นฆ่าฟันกันอยู่นอกเมืองอย่างเอาเป็นเอาตาย เขามองทหารศึกในชุดสีดำที่ฆ่าฟันทหารฝ่ายศัตรูที่คิดปีนข้ามกำแพงเมืองเข้าไปประหนึ่งไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย

 

 

“ท่านอ๋อง ไม่คิดเลยว่าเมืองเล็กๆ ที่มีคนอยู่เพียงห้าหมื่นคนจะจัดการได้ยากเย็นเช่นนี้ พวกเราควรคิดหาวิธีอื่นหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ผู้บัญชาการทหารที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาเอ่ยถามเสียงต่ำ สายตาที่ทอดมองไปยังเงาดำบนกำแพงเมืองเต็มไปด้วยความเงามืดและความพ่ายแพ้ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่กองทัพตระกูลม่อได้ใช้หยาดเลือดและชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนมาสลักเป็นรอยลึกไว้ในใจของศัตรูตลอดร้อยปีที่ผ่านมา

 

 

เจิ้นหนานอ๋องถอนใจเบาๆ “โชคดีที่ฮ่องเต้ของต้าฉู่มิได้เชื่อใจตำหนักติ้งอ๋องนัก”

 

 

ผู้บัญชาการทหารที่อยู่เบื้องหลัง มิมีผู้ใดเอ่ยถามว่าเพราะเหตุใด ด้วยเพราะพวกเขาต่างก็ยินดีที่เป็นเช่นนี้ หากประมุขและขุนนางของต้าฉู่รู้จักและไว้เนื้อเชื่อใจกัน ใต้หล้าจะไม่สงบได้อย่างไร

 

 

“บุกให้หนักยิ่งขึ้น ต่อเนื่องทั้งกลางวันกลางคืน จะต้องยึดเมืองเจียงซย่าให้ได้ก่อนทัพเสริมของตำหนักติ้งอ๋องจะมาถึง!” เจิ้นหนานอ๋องเอ่ยสั่งเสียงเข้ม

 

 

“รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

 

 

บนกำแพงเมืองที่อยู่ไกลออกไป แม่ทัพอาวุโสหยวนเผยที่ผมเป็นสีดอกเลาไปทั้งศีรษะยืนขมวดคิ้วมุ่นจับจ้องไปยังทหารฝ่ายศัตรูที่ดูจะไม่มีวันล่าถอยกลับไป สายตาที่ผ่านโลกมามากแดงระเรื่อและดูเหน็ดเหนื่อย แต่แผ่นหลังของเขากลับยังคงตั้งตรงอย่างผ่าเผย สายตาที่จับจับไปยังเบื้องล่างเต็มไปด้วยความแน่วแน่ที่จะเป็นตายไปพร้อมกับเมืองเจียงซย่า

 

 

“แม่ทัพหยวน” เหลิงฉิงหวี่รีบร้อนเดินเข้ามาหา ตั้งแต่ออกรบมาได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน ใบหน้าหนุ่มที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งของเหลิ่งฉิงอวี่ดูเปลี่ยนไปอย่างมากและเต็มไปด้วยความท้อแท้

 

 

หยวนเผยหันมองเขาพร้อมส่ายหน้า ทอดถอนใจเบาๆ เอ่ยว่า “แม่ทัพเหลิ่ง มีอันใดหรือ”

 

 

เหลิ่งฉิงอวี่กวาดตามองทิวธงที่ปลิวไสวอยู่ไกลออกไป ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “แม่ทัพหยวน พวกเราปิดประตูเมืองไม่ยอมออกไปเช่นนี้ เกรงว่าจะเป็นการทำลายความขวัญกำลังใจของเหล่าทหารจนเกินไป”

 

 

หยวนเผยเอ่ยว่า “แม่ทัพเหลิ่งวางใจเถิด ขวัญกำลังใจของกองทัพตระกูลม่อไม่ถูกทำลายง่ายๆ แค่เพียงไม่กี่วันนี้หรอก ทุกคนต่างรู้ดีว่า กำลังพลของเราในยามนี้ยังมิอาจต่อสู้กับซีหลิงได้ รักษาเมืองรอทัพเสริมเป็นเพียงสิ่งเดียวที่พวกเราสามารถทำได้ในยามนี้”

 

 

เหลิ่งฉิงอวี่หันมองเหล่าทหารที่ยืนหยัดรักษาเมืองอยู่บนกำแพง ก่อนแววตาจะขรึมลง หยวนเผยกล่าวได้ถูกต้อง สิ่งที่ถูกทำลายจริงๆ มิใช่ขวัญกำลังใจของกองทัพตระกูลม่อ แต่เป็นขวัญกำลังใจของทหารจำนวนไม่ถึงหมื่นนายที่เขานำมาจากเมืองซิ่นหยางต่างหาก

 

 

หลังจากผ่านความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่มา พลทหารที่พ่ายแพ้อย่างน่าสมเพชเหล่านี้ต่างหมดกำลังใจกันจนสิ้นแล้ว ยิ่งหลายวันนี้ที่ทหารซีหลิงบุกโจมตีโดยไม่หยุดพัก ยิ่งทำให้พวกเขากลายเป็นประหนึ่งลูกนกที่ตื่นตระหนก หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ต้องรอจนเจียงซย่าถูกตีจนแตกหรอก เกรงว่าคงเกิดความวุ่นวายขึ้นก่อนเป็นแน่

 

 

“ที่นี่คือสนามรบ หน้าที่ของข้าคือการรักษาเมืองเจียงซย่าไว้ให้ได้ แม่ทัพเหลิ่ง การทำศึกตามอารมณ์ไม่มีข้อดีต่อสถานการณ์ในยามนี้ ทหารของซีหลิงก็ไม่ใช่พวกไร้สมอง พวกเรามีกันเพียงไม่กี่หมื่นคน หากต้องเข้าไปสู้กับคนนับแสน คงไม่ต่างอันใดกับการเทน้ำลงมหาสมุทร คงถูกพวกเขากลืนกินเข้าไปเป็นแน่” หยวนเผยเอ่ยออกมาจากใจ

 

 

เหลิ่งฉิงอวี่นิ่งเงียบมิได้เอ่ยอันใด ที่หยวนเผยพูดมิใช่ว่าเขาไม่เช้าใจ เพียงแต่เขามิอาจทนอยู่กับสถานการณ์ตรงหน้าเช่นนี้ได้จริงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้นำทัพมาออกศึกก็ต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้เสียแล้ว อันที่จริง การรบในครานี้จะแพ้หรือชนะก็มิได้เกี่ยวกับเขาสักเท่าไรนัก เขาสามารถคาดเดาได้ว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ สิ่งที่รอเขาอยู่หากมิใช่การลงอาญาจากฝ่าบาท เขาก็คงไม่ถูกใช้งานอีกเลย ชีวิตนี้เขาคงไม่มีโอกาสนำทัพมาออกศึกอีกแล้ว

 

 

โจมตีเมือง รักษาเมือง ทหารทั้งสองฝ่ายต่างเข่นฆ่ากันอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย ด้านนอกเมืองมีศพกองพะเนินและหยาดเลือดที่ไหลเป็นสายน้ำ ศพคนของเรา ศพของศัตรูต่างแยกไม่ออก ดูเหมือนทุกคนจะต่างใช้ความสามารถของคนเองในการห้ำหั่นกับศัตรูอย่างเต็มที่

 

 

กำลังพลของเจียงซย่ามีอยู่เพียงห้าหมื่นนาย ซึ่งในจำนวนนี้ยังรวมถึงนายทหารที่เสียชีวิตในยามไปช่วยเสริมทัพให้เมืองซิ่นหยางแล้วด้วย อันที่จริงจึงมีกำลังพลอยู่ไม่ถึงสี่หมื่นนาย ถึงแม้จะนับรวมทหารที่พ่ายแพ้และล่าถอยมาจากเมืองซิ่นหยาง ก็ยังมีไม่ถึงห้าหมื่นนายอยู่ดี แต่ฟากศัตรูของพวกเขากลับมีทหารฝีมือดีอยู่กว่าสองแสนนาย ซึ่งกำลังพลเหล่านี้ เป็นนายทหารที่เจิ้นหนานอ๋องทุ่มเทแรงกายแรงใจจำนวนมหาศาลตลอดสิบกว่าปีในการฝึกปรือพวกเขา และเป็นยอดฝีมือของยอดฝีมือเช่นกัน

 

 

กำลังพลของเมืองเจียงซย่าน้อยลงเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ดูเหมือนประตูเมืองจะถูกตีแตก แต่ช่วงเวลานั้นกลับผ่านไปเรื่อยๆ และธงที่ปักอยู่เหนือกำแพงเมืองก็ยังคงเป็นธงของต้าฉู่และกองทัพตระกูลม่อ

 

 

เบื้องหลังทัพใหญ่ของซีหลิง เจิ้นหนานอ๋องจ้องมองประตูที่ยังคงปิดสนิทอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

 

 

“ท่านอ๋อง พวกมันยื้อไว้ไม่ไหวแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องมิได้เอ่ยอันใด ในแววตาเต็มไปด้วยความเคารพในศัตรู การโจมตีอย่างหนักหน่วงต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเวลาห้าวันตลอดสิบสองชั่วยามโดยไม่หยุดพัก โดยมีกำลังพลอยู่เพียงหลักหมื่นคนนั้น ต่อให้เป็นตัวเขาเองก็ไม่แน่ว่าจะสามารถยื้อไว้ได้จนถึงยามนี้ นี่มิใช่สิ่งที่หัวหน้าผู้บัญชาการที่มีเพียงกลยุทธ์และมีความสามารถจะสามารถทำได้ แต่จะต้องอาศัยความศรัทธาและความแน่วแน่ของพลทหารร่วมด้วย

 

 

ครู่หนึ่ง เจิ้นหนานอ๋องถึงได้เอ่ยเสียงขรึมขึ้นว่า “บุกต่อไป! ตีเจียงซย่าให้ได้ภายในหนึ่งชั่วยาม!”

 

 

เวลากว่าหนึ่งชั่วยามผ่านไป ในที่สุดประตูเมืองใหญ่ของเจียงซย่าก็ค่อยๆ พังลง บนกำแพงเมือง หยวนเผยที่มีคราบเลือดอยู่เต็มตัวถอดเครื่องแบบรบบนตัวออก เขากวาดตามองทหารที่อยู่บนกำแพงเมือง พร้อมตะโกนเสียงเข้มขึ้นว่า “ฆ่าให้หมด!”

 

 

ดวงตานายทหารทุกคนต่างแดงก่ำ การที่เมืองที่กองทัพตระกูลม่อรักษาการอยู่มีศัตรูก้าวข้ามเข้ามาได้ถือเป็นความอัปยศของพวกเขา และพวกเขาจะต้องใช้เลือดของศัตรูมาล้างความอัปยศนี้ให้จงได้

 

 

นายทหารทุกคนต่างพุ่งเข้าใจศัตรูที่อยู่ใกล้พวกตนมากที่สุด และเกิดการฆ่าฟันกันขึ้นทั้งบนกำแพงเมือง ปากประตูเมือง และบนถนน

 

 

เหลิ่งฉิงอวี่ยืนอยู่มุมถนนหนึ่ง ดวงตาที่มองการฆ่าฟันตรงหน้าแดงก่ำประหนึ่งจะมีหยดเลือดไหลออกมา เบื้องหลังของเขาเป็นทหารที่พ่ายแพ้การศึกกลุ่มหนึ่ง ที่หนีตายมาจากเมืองซิ่นหยางจนไม่อาจร่วมทำศึกได้อีก และไม่มีผู้ใดร้องขอให้พวกเขาหยิบอาวุธขึ้นมาอีกครั้งเช่นกัน

 

 

เหลิ่งฉิงอวี่หันหน้าไปมองพวกเขา เอ่ยเสียงขรึมว่า “เห็นแล้วใช่ไหม พวกเขาก็เป็นทหารของต้าฉู่เช่นเดียวกับพวกเจ้า! ถูกตีเมืองแตกเช่นเดียวกับพวกเจ้า แล้วพวกเขาทำอันใด พวกเราทำอันใด เพราะข้าไม่มีความสามารถรักษาเมืองซิ่นหยางไว้ได้ พวกเจ้าจัดการตัวเองก็แล้วกัน!” พูดจบ เขากับชักดาบออกมาก่อนพุ่งตัวออกไปทันที

 

 

พลทหารที่น่าสมเพชทั้งหลายเหลือบมองหน้ากัน พักใหญ่ถึงมีพลทหารนายหนึ่งกระชับอาวุธในมือก่อนพุ่งตัวออกไป พุ่งเข้าใส่ทหารฝ่ายศัตรูที่กรูเข้ามาทางปากประตู ทหารซีหลิงที่เข้าเมืองมาแล้วถูกขวางไว้ ยิ่งเพิ่มความเ**้ยมโหดในใจขึ้น ตะโกนร้องพร้อมพุ่งเข้าใส่ทหารของต้าฉู่ทุกคน เพียงพริบตาบนถนนก็เต็มไปด้วยเลือดสดๆ ทันที

 

 

“ตึงๆๆ…”

 

 

เสียงอันดังสะเทือนเลื่อนลั่นค่อยๆ ดังใกล้เข้ามา ทุกคนต่างอึ้งไปอย่างควบคุมไม่ได้ กองทัพตระกูลม่อที่ยังมีชีวิตอยู่ ต่างเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี “เฮยอวิ๋นฉี! เฮยอวิ๋นฉีมาแล้ว! ทัพเสริมมาแล้ว!”

 

 

บนถนนที่กว้างใหญ่ กลุ่มคนสีดำทมิฬพุ่งตัวเข้ามาด้วยความเร่งร้อนและดุดัน มีชายในชุดสีแดงนำหน้าขี่ม้าวิ่งห้อเข้ามาด้วยความเร็วสูง เสียงกังวานใสเต็มไปด้วยรังสีสังหาร “ขวางกำแพงเมืองไว้ ทหารชั่วที่อยู่ในเมืองอย่าให้หลุดออกมาได้แม้แต่ผู้เดียว ปีกซ้ายปีกขวา ขึ้นไปบนกำแพงเมือง!”

 

 

“ขอรับ!”