ตอนที่ 4 นักร้องนำผู้น่าทึ่ง

Perfect Superstar

ตอนที่ 4 นักร้องนำผู้น่าทึ่ง

“วันฝนตก ฉันเดินอยู่บนทางที่โดดเดี่ยวไร้ผู้คน…”

หลังเล่นดนตรีท่อนแรกสั้นๆ จบ ลู่เฉินเปล่งเสียงร้องเคล้าคลอเสียงกีตาร์ “เห็นดอกไม้บานแล้วร่วงโรย…”

แฟนเพลงที่ติดตามถานหงทุกคนต่างเห็นว่าเพลงพิราบโบยบินเป็นหนึ่งในเพลงที่โด่งดังที่สุดของเขา เนื้อหาของเพลงไม่ลึกซึ้งซับซ้อน กล่าวถึงเรื่องวัยรุ่นที่ตามหาอิสระ โหยหาความรัก จินตนาการว่าตัวเองกลายร่างเป็นนกพิราบโบยบินอยู่กลางฟ้า

นี่ก็เป็นเพลงบัลลาดบรรยายความรู้สึกที่เหมาะให้วัยรุ่นร้องและเล่นเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่ชื่นชอบของคนจำนวนมาก สิบกว่าปีผ่านไปก็ยังร้องสืบต่อกันมา มักได้ยินแถวย่านทะเลสาบโฮ่วไห่อยู่เสมอ

แต่เพลงนี้เป็นที่ยอมรับกันว่าร้องยาก เล่นทำนองยาก หากนักร้องที่มีความสามารถแท้จริงไม่มากพออยากจะร้องให้ลึกซึ้งกินใจ นั่นคือการหาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ

จากมาตรฐานการร้องเพลงของลู่เฉิน เขาเลือกเพลงพิราบโบยบินมาเล่นเปิดเวที นับเป็นการไม่รู้จักดูกำลังของตัวเอง!

ทว่าเมื่อเขาเริ่มบรรเลงเพลงเปิดการแสดง ทั้งบาร์เดย์ลิลลี่เงียบลงอย่างรวดเร็ว ลูกค้าหลายคนที่กำลังเสวนาฮาเฮหยุดพูด บาร์เทนเดอร์ที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์หยุดเขย่ากระบอกผสมเครื่องดื่มในมือ แม้แต่บริกรที่เดินไปมายังต้องเคลื่อนตัวอย่างระมัดระวัง เพราะเกรงว่าจะรบกวนคนอื่นเข้า

เสียงใสกังวานของลู่เฉินดังผ่านลำโพงที่ตั้งอยู่แต่ละมุมของบาร์ล่องลอยเข้าโสตประสาทของทุกคนที่นั่นอย่างแจ่มชัด ทำให้แขกทั้งร้านเกิดความรู้สึกร่วมอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ดึงอารมณ์ของพวกเขาให้ลอยล่องไปตามเสียงเพลง

“ฉันยืนอยู่ตรงหน้าเธอ….”

“ในความฝัน ฉันกลายเป็นพิราบโบยบินอยู่กลางฟ้าคราม…”

“ลาลาลา…พิราบที่โบยบิน!”

เพราะคุ้นเคยจึงชื่นชอบ และเพราะคุ้นเคยจึงพิถีพิถันกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ

ลูกค้าที่มาบาร์เดย์ลิลลี่บ่อยๆ หลายคนมีความสามารถในการชื่นชมดื่มด่ำดนตรีหรือเพลงดังไม่เลวเลย แค่นักดนตรีเล่นผิดคีย์เดียว ร้องเพี้ยนไปนิดเดียว พวกเขาจะรับรู้ได้ทันที โดยเฉพาะเพลงคลาสสิคที่คุ้นหูเป็นอย่างดีแบบพิราบโบยบิน สำหรับนักร้องคือการพิสูจน์ฝีมือครั้งใหญ่เลยทีเดียว

การเล่นและร้องของลู่เฉินสมบูรณ์แบบ ทั้งการขยับนิ้ว การหายใจ น้ำเสียง และอารมณ์ ทั้งหมดเข้าถึงเพลง หากจะต้องจู้จี้จับผิดละก็ คงบอกได้แค่ว่าเปรียบเทียบเขากับถานหงแล้วยังอ่อนประสบการณ์กว่าบ้างอย่างเห็นได้ชัด

แต่ชายหนุ่มที่อ่อนประสบการณ์กว่า ก็ยังเป็นคนหนุ่มไม่ใช่หรือ?

ผ่านไปห้านาที เพลงจบลงแล้ว

ทั้งบาร์ไม่มีเสียงเลย ผ่านไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเริ่มก่อน เสียงปรบมือดังกระหึ่มตามมา

ดีก็ว่าดี ร้องเพลงดีย่อมต้องได้รับเสียงปรบมือจากใจจริง

เสียงเป่าปากดังก้อง ทำให้เกิดเสียงหัวเราะมากมายอีกครั้ง ทั้งยังมีเสียงชื่นชมด้วย

“เสี่ยวลู่ วันนี้นายร้องเพลงได้โดนใจมาก พี่สาวชอบเธอมากเลย จินเวยโหลนี้ให้เธอนะ!”

นี่คือคำทักทายด้วยไมตรีจิตจากหญิงสาวพนักงานออฟฟิศที่แสร้งทำเป็นฮิปสเตอร์บางคน!

“ขอบคุณครับ…”

ลู่เฉินยิ้มพลางโบกมือตอบเป็นการแสดงความขอบคุณ…แขกคนนั้นเป็นลูกค้าเก่าที่ชอบล้อเล่น

ความชื่นชอบและการสนับสนุนที่ลูกค้ามีต่อนักร้องมักจะแสดงออกมาในรูปแบบการให้รางวัล นักร้องชายให้เบียร์ นักร้องหญิงให้ดอกไม้ เบียร์จินเวย 12 ขวด ขวดหนึ่งราคา 20 หยวน เท่ากับ 240 หยวน

ลู่เฉินไม่ต้องดื่มเบียร์จนหมด แต่เขานำไปขายต่อได้ในราคา 50% นั่นคือหนึ่งร้อยยี่สิบหยวน!

ฐานะและกลุ่มลูกค้าของบาร์ในย่านทะเลสาบโฮ่วไห่ไม่เหมือนกับย่านซานหลี่ถุนเลยสักนิด ที่นี่ไม่มีคนรวยที่ใช้เงินทีเป็นหมื่น ไม่มีทายาทเศรษฐีรุ่นสองที่สั่งบรั่นดี XO[1]มาทิ้งขวาง และก็ไม่มีวัยรุ่นไร้สมองที่มีเรื่องชกต่อยเพราะจีบสาวด้วย

ได้เป็นรางวัลเป็นเบียร์จินเวยสิบสองขวด อยู่ที่นี่นับว่าเป็นเงินไม่น้อยแล้ว

เมื่อก่อนพี่ซานคนนี้ก็เคยให้เบียร์ลู่เฉินแล้ว แต่อย่างมากสุดก็แค่สองสามขวด วันนี้กลับให้ตั้งหนึ่งโหล ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเพลงที่เขาร้องจบไปเมื่อครู่เป็นที่ชื่นชอบและชื่นชมของอีกฝ่ายมากแค่ไหน

ลู่เฉินเลือกเพลงพิราบโบยบินเป็นเพลงอุ่นเครื่องเพลงแรกนั้นถูกต้องแล้วโดยไม่ต้องสงสัย

เขากอดกีตาร์ไว้ ในใจมีความรู้สึกประหลาด

ด้านหลังเคาน์เตอร์บาร์ ยังมีหญิงเจ้าเสน่ห์คนหนึ่งที่มีความรู้สึกพิเศษมากเช่นกัน

กลีบปากบางของเธออ้าค้างเล็กน้อย ใช้สายตาคาดไม่ถึงจ้องเฉินเจี้ยนหาวเจ้าของบาร์ เอ่ยว่า “พี่เจี้ยนหาว พี่เสียดายไม่อยากปล่อยคนของพี่ไปก็บอกมาตามตรงเถอะ แกล้งฉันอย่างนี้สนุกหรือ”

เฉินเจี้ยนหาวกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ซูชิงเหมย ฉันแกล้งเธอเล่นที่ไหน!”

แม่สาวคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา เขาอายุปูนนี้แล้วไม่กล้าล้อเล่นกับเธอหรอก

“พี่ยังจะพูดอีก…”

ซูชิงเหมยกัดฟันเอ่ย “เสียงของเสี่ยวลู่พิเศษอยู่บ้าง แต่ระดับด้อยไป ร้องเป็นตัวเสริมที่นี่ก็ถึงขีดจำกัดแล้ว ยังต้องอาศัยปรับแต่งเสียงอยู่ข้างหลังเลย เธออยากได้จริงๆ เหรอ?”

เธอกล่าวซ้ำคำพูดของเฉินเจี้ยนหาวที่วิจารณ์ลู่เฉินก่อนหน้านี้อย่างครบถ้วนกระบวนความ ไม่ตกสักคำ!

เฉินเจี้ยนหาวพลันพูดไม่ออก

เขาเองก็แปลกใจมาก ระดับของลู่เฉินเห็นชัดอยู่แล้วว่าไม่ดีพอ แต่วันนี้กลับร้องเล่นได้ยอดเยี่ยมราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อก่อน เหมือนเกิดปาฏิหาริย์สลับตัวขึ้นยังไงยังงั้น!

ก่อนที่ลู่เฉินจะร้องเพลง เฉินเจี้ยนหาวยังไม่ชอบใจที่ชายหนุ่มเลือกเพลงพิราบโบยบินเป็นเพลงเปิดเวทีอยู่เลย

เขาคิดว่าเพลงนี้ยากเกินไป ลู่เฉินไม่มีทางทำได้ดี

ผลกลายเป็นว่าตอนนี้เขาถูกซูชิงเหมยประชดประชัน และไม่อาจโตเถียงได้ พูดได้เพียงว่า “เจ้าเด็กนี่…เฮ้อ!”

“ต้องเป็นเพราะเมื่อสองวันก่อนมีคนเก่งให้คำชี้แนะ คงได้ผลดีเกินคาดเท่านั้นเอง”

เฉินเจี้ยนหาวคิดหาเหตุผลมาอธิบายให้ตัวเอง

“สองวัน?”

ซูชิงเหมยยิ้มเย็น “สองวันก็สอนจนฝีมือดีขนาดนี้ได้? ปรมาจารย์คนไหนเก่งขนาดนั้น ฉันยอมจ่ายเงินจ้างปีละหนึ่งล้านเลย พี่อย่ามาบอกนะว่าฟังไม่ออก เสียงของเขาไม่ได้ถูกปรับแต่งสักนิด!”

เฉินเจี้ยนหาวรู้สึกว่าใบหน้าตัวเองกำลังจะบวมแล้ว

เขารู้เรื่องดนตรี แต่เดิมเป็นคนวงในด้วยซ้ำ กิจการบาร์ก็เป็นกิจการของครอบครัว ทำไมจะฟังไม่ออกว่าเสียงที่นักร้องร้องออกมาถูกปรับแต่งหรือไม่

ต้องเกิดปัญหาที่ห้องควบคุมเสียงแน่นอน!

นี่ยิ่งแสดงถึงความเก่งกาจของลู่เฉิน…เสียงดั้งเดิมที่แท้จริง!

เฉินเจี้ยนหาวต้องเผชิญหน้ากับซูชิงเหมยที่บีบเค้นกดดัน จึงได้แต่ตอบอย่างหนักใจและจนปัญญาว่า “ถ้าอย่างนั้นเธอไปคุยกับเสี่ยวลู่เถอะ ถ้าเขาตกลง ฉันยอมปล่อยเขาไปแน่!”

ความจริงแล้วลู่เฉินกับบาร์เดย์ลิลลี่ไม่มีสัญญาผูกมัดใดๆ ต่อกัน อยากไปเมื่อไรก็ไปได้

ซูชิงเหมยเผยยิ้มอย่างผู้ชนะ “ขอฟังอีกสองเพลง ไม่แน่ว่าอาจจะแสดงดีเกินคาดก็ได้?”

ลู่เฉินที่นั่งกอดกีตาร์อยู่บนเวทีตอนนี้ได้รับรางวัลเป็นเบียร์สามสิบเจ็ดขวดเข้าไปแล้ว

รายได้สามร้อยเจ็ดสิบหยวนที่เข้ามาทำให้หัวใจเขาเกือบโบยบินแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าจะกดข่มความตื่นเต้นลงไปได้ เขาพูดใส่ไมโครโฟนว่า “ขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนมากครับที่ให้การสนับสนุน เพลงต่อไป อืม เป็นเพลงที่พิเศษมาก…”

คำพูดของเขาขาดตอน เงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อว่า “เป็นเพลงที่ผมเขียนขึ้นเอง วันนี้นำออกแสดงครั้งแรก ชื่อเพลงว่า…

เธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉัน[2]”

เธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉันเป็นเพลงแรกที่ลู่เฉินได้มาจากความฝัน เขานำมาแต่งเนื้อร้องทำนองเพิ่ม จากนั้นส่งไปจดทะเบียนลิขสิทธิ์ใน ‘ห้องสมุดดนตรีจีน’ พร้อมกับอีกเพลงหนึ่งเรียบร้อยแล้ว

ด้วยเหตุนี้ตามกฎหมาย เธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉันจึงเป็นเพลงต้นฉบับในกรรมสิทธิ์ของลู่เฉินอย่างสมบูรณ์

แต่ลู่เฉินไม่อาจหลอกตัวเองได้ว่าการทำแบบนี้ไม่ใช่การลอกเลียบแบบ ทว่าเมื่อนึกถึงภาระหนี้สินอันหนักหนาของครอบครัว ความรู้สึกผิดในใจก็บางเบาลงจนไม่เหลือ

ในโลกความฝันที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกตา ความทรงจำของสามช่วงชีวิตเป็นเหมือนของขวัญที่สวรรค์มอบให้เขาเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง!

ลู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ แววตาที่เลื่อนลอยฉายแววแน่วแน่อีกครั้ง นิ้วมือเริ่มกดลงบนสายอีกรอบ

เพลงต้นฉบับ แสดงครั้งแรกที่บาร์เดย์ลิลลี่?

คำพูดของลู่เฉินก่อให้เกิดเสียงซุบซิบในบาร์เดย์ลิลลี่อย่างเลี่ยงไม่ได้ ลูกค้าพากันตกตะลึง คนที่คิดว่าเขาโอ้อวดเพื่อเรียกร้องความสนใจก็มีไม่น้อย

โดยเฉพาะลูกค้าเก่าที่รู้จักลู่เฉิน ตอนแรกตกใจในความสามารถของลู่เฉินเมื่อร้องและเล่นเพลงพิราบโบยบินเมื่อครู่ไปแล้ว ตอนนี้ได้ยินว่าเขาจะร้องเพลงที่ตัวเองแต่งขึ้นอีก จึงไม่อยากจะเชื่อกันอยู่บ้าง

การแต่งเพลงเองเป็นเรื่องง่ายที่ไหน!

ตั้งแต่เริ่มมีเพลงสากลในยุคปัจจุบันกำเนิดขึ้น ทั้งจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกงไต้หวัน ยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น และเกาหลี ล้วนแต่เคยมีผลงานคลาสสิคนับไม่ถ้วน แต่มาถึงวันนี้ ผลงานเพลงชิ้นเยี่ยมลดน้อยลงเรื่อยๆ ถึงขั้นมีคนกล่าวว่าทำนองเพลงดีๆ ถูกนักแต่งเพลงเขียนไปหมดแล้ว

แน่นอนว่าทำนองเพลงไม่มีทางถูกเขียนจนหมด แต่การพูดแบบนี้ก็บอกชัดถึงความยากในการแต่งเพลง

นักร้องโด่งดังมากมายบอกว่าเป็นต้นฉบับแต่งเอง แต่ผลงานมักจับโน่นนี่มาผสมกันหรือไม่ก็จืดชืดไร้อารมณ์ นักร้องจำพวกนี้ก็มีอยู่ตามผับบาร์ พวกเขาหวังว่าผลงานเพลงหนึ่งจะดังเป็นพลุแตกได้ สุดท้ายกลับกลายเป็นตัวตลกให้ผู้เชี่ยวชาญหัวเราะ

ลู่เฉินไม่ได้ล้มหัวฟาดมาใช่ไหม?

คนหนุ่มผลีผลามนับเป็นเรื่องปกติ ใครบ้างไม่มีช่วงวัยที่เลือดร้อน ทุกคนเข้าใจได้

แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาคิดว่าลู่เฉินจะสร้างผลงานเพลงต้นฉบับดีๆ ได้

ทว่าชื่อเพลงฟังดูน่าสนใจมาก…เธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉัน

หลายๆ คนนึกย้อนไปถึงเพื่อนนั่งร่วมโต๊ะเรียนที่เคยมีสมัยวัยรุ่น ใบหน้ารอยเผยยิ้มออกมา

“เพลงออริจินัลเหรอ… ”

ซูชิงเหมยฉีกยิ้ม “พี่เจี้ยนหาว พนักงานของพี่นี่เป็นคมในฝักจริงๆ วันนี้ฉันมาถูกวันแล้ว!”

เจ้าของบาร์ที่ถูกโจมตีไปอย่างหนักตอบกลับเนือยๆ ว่า “ฟังดูก่อน ฟังๆ…”

เพลงต้นฉบับ? เหลวไหลทั้งเพ ลู่เฉินฝีมือเป็นอย่างไรเขาจะไม่รู้เหรอ?

เดิมทีเฉินเจี้ยนหาวให้ลู่เฉินขึ้นเวทีแสดงเพราะเห็นว่ารูปลักษณ์ภายนอกดูดี น้ำเสียงพอไปวัดไปวาได้ พอจะหลอกคนนอกวงการได้โดยไม่เป็นปัญหา ถึงอย่างไรก็เป็นแค่นักร้องตามสั่งเปิดเวที จะร้องดีหรือไม่ก็ไม่เดือดร้อน

ในส่วนความสามารถด้านดนตรี ลู่เฉินเคยมีด้วยหรือ?

แต่เมื่อถูกสั่งสอนไปเมื่อครู่ เฉินเจี้ยนหาวไม่อยากพูดมาก หากโดนตอกหน้ากลับมาอีกที….

เขาจะเอาหน้าแก่ๆ ไปไว้ที่ไหน?

บนเวที เสียงกีตาร์เริ่มบรรเลงขึ้นมา ท่วงทำนองที่เบาสบายลอยเข้าหูของทุกคนในบาร์

“พรุ่งนี้เธอจะนึกออกไหม

ไดอารี่ที่เธอเขียนไว้เมื่อวาน

พรุ่งนี้เธอจะจำได้ไหม

เธอที่ชอบร้องไห้เป็นที่สุด

พวกอาจารย์คงลืมเลือนไปแล้ว

เธอที่เดาคำตอบไม่เคยถูกเลย

ฉันก็บังเอิญเปิดอัลบั้มรูป

จึงนึกถึงเธอที่เคยนั่งอยู่ข้างกัน!

ใครหนอได้แต่งกับเธอผู้อ่อนไหวขี้น้อยใจ

ใครที่ได้อ่านไดอารี่ของเธอ

ใครกันที่มัดผมให้

ใครที่ตัดชุดแต่งงานให้เธอ…”

แขกทั้งบาร์ตะลึงค้าง พวกบริกรก็เช่นเดียวกัน

เฉินเจี้ยนหาวนิ่งอึ้ง ซูชิงเหมยก็ไม่ต่างกัน

น่าทึ่ง!

เพลงบัลลาดคลาสสิคที่เป็นของโลกอีกใบหนึ่งทะลวงเข้าไปถึงจิตใจของเขาและเธอผ่านการขับร้องของลู่เฉิน!

กระทบจิตวิญญาณของทุกคน

……………………………………………………………….

[1] บรั่นดี XO มาจาก Extra Old หมายถึงบรั่นดีที่ต้องผ่านการบ่มอย่างน้อย 10 ปีขึ้นไป

[2] เธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉัน (同桌的你) ผู้แต่งคำร้องและทำนองคือเกาเสี่ยวซง (高晓松)