เล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้น อดยิ้มจนตาหยีไม่ได้
“ก็ดี”
“เช่นนั้นก็ดี”
ตงฟางไป๋ได้ยินพยักหน้าชื่นชม ก่อนเอ่ยขึ้นต่อว่า
“เมื่อครู่พูดเรื่องใดกันหรือ ดูพวกเจ้าหัวเราะสนุกสนานยิ่งนัก”
“โอ คือเช่นนี้ อิงอิง บอกว่าวันนี้คือวันปล่อยโคมลอยที่หนึ่งปีมีเพียงครั้งเดียว ดังนั้นจึงคิดลงเขาไปเดินเล่นกับข้า”
“อืม ที่แท้เป็นเช่นนี้ จริงสิวันนี้เป็นวันที่ไม่เลว ต้องออกไปเดินเล่นถึงจะดี เอาล่ะถึงอย่างไรวันนี้ข้าก็ว่าง เช่นนั้นข้าจะไปพร้อมกับพวกเจ้า!”
เมื่อได้ยินคำพูดของตงฟางไป๋ เล่อเหยาเหยามีสีหน้าตะลึงงันอย่างแปลกใจ
ทว่าสุดท้ายยังพยักหน้าพร้อมเอ่ยอย่างดีใจอย่างยิ่งว่า
“อือ เช่นนั้นก็ดี คนยิ่งมากยิ่งสนุก เช่นนั้นข้าก็จะพาเซวียนเอ๋อร์ลงเขาไปด้วย สถานที่คึกคักเช่นนี้เขาชื่นชอบยิ่งนัก”
“อืม ไปเถิด จำไว้ว่าต้องสวมเสื้อผ้าให้หลายตัว แม้จะเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่กลางคืนยังหนาวเย็น”
เมื่อเห็นเล่อเหยาเหยาจะกลับเรือนดอกท้อ ตงฟางไป๋พลันเอ่ยขึ้น
เล่อเหยาเหยาได้ยินจึงพยักหน้า ก่อนหมุนกายจากไป
หลังเงาร่างเล่อเหยาเหยาจากไป ตงฟางไป๋ยังไม่ละสายตากลับมา ดวงตาดำขลับกวาดมองครู่หนึ่ง คิดไม่ถึงกลับสบเข้ากับดวงตากลมโตดำแป๋วคู่หนึ่ง
เห็นเพียงดวงตากลมโตคู่นี้ห่างจากตนเพียงหนึ่งนิ้ว ใกล้จนเขามองเห็นกระทั่งขนตาของอีกฝ่าย และลมหายใจอันอบอุ่นจากใบหน้า
จึงพลันตกใจ ตงฟางไป๋มีสีหน้าตะลึงชั่วขณะ พลันได้สติอย่างรวดเร็ว ก่อนเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ
“มีสิ่งใดหรือ”
ขณะเอ่ยตงฟางไป๋อดถอยหลังไปหนึ่งก้าวไม่ได้
ก่อนจะพบว่าพ่อบ้านที่อยู่ในห้องยาไม่รู้ว่าหายตัวไปตั้งแต่เมื่อใด เวลานี้ภายในห้องยาเหลือเพียงพวกเขาสองคน
สำหรับท่าทีของตงฟางไป๋ ฉีอิงอิง เพียงใช้มือกอดอก เลิกคิ้วยืนมองตงฟางไป๋อยู่ด้านหน้า
เมื่ออึดอัดยามถูกนางมอง ตงฟางไป๋อดขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อยไม่ได้ และยังไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใด ได้ยินฉีอิงอิง เอ่ยปากขึ้น
“ท่านลุง ท่านคล้ายห่วงใยพี่เหยาเหยายิ่งนัก!”
“เอ่อ”
เมื่อได้ยิน ตงฟางไป๋ตะลึงเล็กน้อย พลันเอ่ยปากขึ้นทันทีโดยไม่คิด
“นี่ย่อมเป็นเรื่องปกติ เพราะนางคือน้องสาวของข้า ข้าไม่ห่วงใยนาง จะห่วงใยผู้ใดกัน!”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ ตงฟางไป๋หยุดชะงัก ก่อนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ยังมี แม้ข้าจะอายุมากกว่าเจ้าสิบปี แต่ปีนี้ก็เพียงยี่สิบหก เจ้าอย่าเรียกข้าท่านลุงได้หรือไม่!”
หากถูกเด็กน้อยผู้อื่นเรียกเขาเช่นนี้ เขายังสามารถรับได้ แต่สาวน้อยตรงหน้านี้อายุสิบหกแล้ว เธอเรียกเขาเช่นนี้ ทำให้เขาพลันรู้สึกอายุตนมากเกินไป
ขณะตงฟางไป๋คิดในใจ ฉีอิงอิง หลังได้ยินคำพูดของตงฟางไป๋ อดกระพริบดวงตาแวววาวคู่นั้นครู่หนึ่งไม่ได้ ก่อนขมวดคิ้วเป็นปม แสดงท่าทีไร้เดียงอย่างยิ่งออกมา จากนั้นเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
“แต่ท่านลุงอายุมากกว่าข้าอย่างมาก หากไม่เรียกท่านลุง หรือจะให้เรียกท่านว่า…”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ ฉีอิงอิง ตั้งใจหยุด จากนั้นกระแอมชั่วขณะ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า
“พี่ชาย”
“เอ่อ”
เมื่อได้ยินคำเรียกที่ตั้งใจลากยาวของฉีอิงอิง ดุจเมิ่งเจียงออกตามหาสามีพันลี้ ตงฟางไป๋ฟังจนขนลุกชันไปทั่วร่าง
ใบหน้าหล่อเหลานั้นก็พลันเขียวคล้ำ สุดท้ายคล้ายเข้าใจบางอย่างขึ้นมา จึงกัดฟันกรอดเอ่ยว่า
“เจ้าตั้งใจ!”
“ฮ่า ฮ่า ท่านลุง ท่านฉลาดยิ่งนัก!”
ตรงข้ามกับตงฟางไป๋ที่ถูกตนยั่วโมโหจนหน้าเขียวคล้ำ ฉีอิงอิง กลับอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด เพราะปกติมักสร้างความสุขของตนบนความทุกข์ของคนตรงหน้า
แต่เวลานี้เธอยิ้มอย่างยั่วโมโหอย่างชัดเจน ทว่าคิ้วที่ขัดแย้งคู่นั้น กลับทำให้เธอดูน่าสงสารจับใจยิ่งนัก
แม้คนใจแข็งดุจหินผาได้เห็นต่างใจอ่อนยวบลง
แต่สำหรับตงฟางไป๋กลับต่างออกไป!
ตงฟางไป๋รู้สึกว่าสาวน้อยตรงหน้า เกิดมาเพื่อพิชิตเขา
เพราะเขาคิดว่าสภาพอารมณ์ตนดีอย่างยิ่ง แต่ทุกครั้งที่พบกับสาวน้อยผู้นี้ ต่างถูกคำพูดของเธอทำให้โมโหจนแทบเสียสติ
หลังรับรู้เรื่องนี้ ตงฟางไป๋เพียงกัดฟันกรอดส่งเสียงฮึออกมา ไม่คิดสนใจสาวน้อยผู้นี้อีก
เพราะสุภาพบุรุษไม่ต่อสู้กับสตรี!
เขาเป็นผู้มีความรู้ จึงต้องหนีให้ห่างจากสาวน้อยน่าเกรงกลัวผู้นี้
แต่แม้ตงฟางไป๋จะคิดเช่นนี้ ทว่าบางคนกลับไม่คิดเช่นนี้อย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเห็นท่าทางข่มกลั้นความโมโหของตงฟางไป๋ และไม่คิดสนใจตน ฉีอิงอิง เดินเข้าไปอย่างไม่เขินอาย จากนั้นขยิบตาให้กับตงฟางไป๋อย่างสอดรู้สอดเห็น ก่อนเอ่ยว่า
“นี่ท่านลุง ท่านอายุมากแล้ว เหตุใดจึงยังไม่แต่งงาน หรือว่ามี ‘เรื่องยุ่งยากที่จัดการไม่ได้’ !”
ไม่รู้ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ตงฟางไป๋มักรู้สึกว่า ‘เรื่องยุ่งยากที่จัดการไม่ได้’ ในตอนสุดท้ายของฉีอิงอิง ไม่ได้มีความหมายอื่น เมื่อได้ยิน ตงฟางไป๋ยิ่งมีสีหน้ายิ่งเขียวคล้ำ
“ไม่มี ‘เรื่องยุ่งยากที่จัดการไม่ได้’ อันใดที่คิดทั้งนั้น เด็กน้อยไม่รู้สิ่งใดห้ามพูดจาส่งเดช!”
“เด็กน้อยที่ใด ปีนี้ข้าอายุสิบหกปีแล้ว เป็นผู้ใหญ่แล้ว!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของตงฟางไป๋ ฉีอิงอิง ดวงตาเบิกกว้าง ขณะพูดยังยืดหน้าอกที่กำลังเจริญเติบโตของตนออกมา พร้อมสีหน้าจริงจัง
ทว่าสำหรับท่าทางนี้ของเธอ กลับทำให้ตงฟางไป๋มีสีหน้าเก้อเขิน สองแก้มพลันแดงก่ำ ทำให้เขาดูน่ารักและน่าขบขัน
สำหรับสาวน้อยตรงหน้า ตงฟางไป๋จนปัญญาเป็นที่สุด
โดยเฉพาะท่าทางเวลานี้ของสาวน้อย ทำให้ตงฟางไป๋พลันหันหน้าออกไป ไม่กล้ามองหน้าเธออีก สายตาก็เป็นประกายไม่หยุด แม้จะไม่มองใบหน้าของหญิงสาว
ดังนั้นตงฟางไป๋จึงย่อมไม่รับรู้ว่า แววตาของสาวน้อยพลันปรากฎความเจ้าเล่ห์ขึ้นมา
“ฮ่า ฮ่า ท่านลุง ท่าทางหน้าแดงของท่านช่างนักรักยิ่งนัก!”
“แค่กๆ บุรุษไม่เหมาะกับคำว่าน่ารัก”
ตงฟางไป๋ที่เปี่ยมด้วยความขวยเขิน เมื่อได้ยินคำพูดของฉีอิงอิง อดไอกระแอมครู่หนึ่งไม่ได้ ก่อนเอ่ยขึ้น
“แต่ข้าคิดว่าท่านลุงน่ารักยิ่ง จะทำเช่นไรดี ฮ่า ๆ”
คล้ายกับเมื่อเห็นท่าทางขวยเขินน่ารักยิ่งของตงฟางไป๋ ทำให้ฉีอิงอิง อยากเย้าแหย่เขาไม่หยุด
สุดท้ายตงฟางไป๋พลันไม่รู้ควรเอ่ยเช่นใดดี จึงเม้มริมฝีปากแน่นไม่พูดจา
ทันใดนั้นทั้งสองคนภายในห้องยาต่างไม่พูดไม่จา ตงฟางไป๋จึงรอเล่อเหยาเหยากลับมาอยู่เงียบๆ ส่วนฉีอิงอิง กลับกระพริบตามองตงฟางไป๋อยู่ชั่วขณะ
ตงฟางไป๋ถูกมองจนหวาดกลัวในใจ สุดท้ายอดหันกลับไปมองอีกครั้งไม่ได้ เมื่อสบเข้ากับดวงตากลมโตดำแป๋ว ก็เอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์
“เจ้ายังมีเรื่องใดอยากจะถามอีกหรือ!”
“ฮ่า ๆ ท่านลุงเก่งกาจเสียจริง ข้ายังไม่ได้เอ่ยปาก ก็รู้ว่าข้ามีเรื่องจะเอ่ยถาม”
ฉีอิงอิง ยิ้มตาหยี คิ้วดูขัดแย้งนั้นเพราะเธอยิ้มจึงคลายลง ทำให้เธอดูงดงามอย่างแปลกประหลาด
ดุจบัวขาวแฝงด้วยน้ำค้างในยามเช้าอันละมุนงดงาม
เห็นเช่นนั้น ตงฟางไป๋หวั่นไหวในใจ ก่อนจะได้สติอย่างรวดเร็ว แอบคิดในใจขึ้นมา
เห็นปีศาจแน่ เขากลับรู้สึกว่าสาวน้อยคนนี้งดงาม
เธอคือปีศาจแปลงกายมาจากความยุ่งยากอย่างแท้จริง!
ขณะตงฟางไป๋คิดในใจ พลันได้ยินคำพูดของสาวน้อยดังขึ้นอีกครั้ง
“ท่านลุง ท่านมีสตรีที่ชื่นชอบแล้วหรือไม่!”
แม้จะเป็นประโยคคำถาม แต่ฉีอิงอิง กลับเอ่ยอย่างจริงจังยิ่งนัก
ตงฟางไป๋ได้ยินก็ตกตะลึงในใจ ดวงตาดำขลับพลันเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ก่อนสบเข้ากับดวงตาแฝงด้วยรอยยิ้ม ทว่ากลับแบ่งแยกดำขาวชัดเจนของสาวน้อย
เห็นชัดว่าเป็นเพียงสาวน้อยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ แต่เวลานี้ความใสกระจ่างในดวงตาของเธอ กลับคล้ายเธอรู้ข้อมูลบางอย่าง จึงทำให้ตงฟางไป๋ตกตะลึง
หรือเธอจะรู้อะไรบางอย่าง!