บทที่ 252 ตำนานของจักรพรรดิฮวงสือ

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน

บทที่ 252 ตำนานของจักรพรรดิฮวงสือ

ฟางฉางนั่งก้นจ้ำเบ้าบนเวทีประลองเทพสงคราม ดูมึนงงไปหมด

สามนาที…

ไฉนถึงเร็วเช่นนี้

อีกทั้งสามนาทีนี้ยังไม่ใช่การต่อสู้สามนาที

แต่เป็นสามนาทีที่เจ้าเด็กดื้อทุบตีฟางฉางอยู่ฝ่ายเดียว ตีจนเขาหัวโน

ทันทีที่ตราเทพสี่เหลี่ยมนั้นทุบเขาที่หลังศีรษะฟางฉาง เขาก็รู้สึกว่ารวมสมาธิของตนไม่ได้อีก ทุกอย่างตรงหน้าเลือนราง ใบหูยังส่งเสียงดังวิ้งๆๆ

เห็นได้ชัดว่าตราเทพสี่เหลี่ยมนั้นพิเศษมาก มีความสามารถในการจู่โจมจิตวิญญาณของผู้ฝึกบำเพ็ญ

หลังโดนตราเทพสี่เหลี่ยมนั่นทุบแล้ว ฟางฉางก็หมดความเป็นตัวเอง โดนเจ้าเด็กดื้อนั่นขี่คอทุบตีสามนาที

สุดท้ายดวงจิตหอคอยที่มีจิตใจเมตตาทนมองดูต่อไปไม่ได้ถึงได้หยุดการฝึกฝนกลางคันเพื่อไม่ให้ฟางฉางเจ็บปวดไปมากกว่านี้

ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น ตอนนี้บนศีรษะฟางฉางก็ยังมีก้อนสีแดงใหญ่ปูดขึ้นมา ถ้าสวมกาสาวะ จะบอกเขาเป็นพระพุทธแท้จริงจากแดนสุขาวดี บางทีอาจจะมีคนเชื่อ

“เด็กนี่โหดร้ายมาก เจ้านี่เป็นใครกันแน่”

ฟางฉางกัดฟันพลางทายาบนศีรษะตน เจ็บจนแยกเขี้ยวยิงฟัน

ถึงอย่างไรหอคอยเทพสงครามก็ช่วยเขารักษาให้โดยไม่คิดค่าตอบแทนครั้งหนึ่งแล้ว ถ้าจะรักษาอีกต้องเก็บค่ารักษา

แต่ตอนนี้ฟางฉางคิดว่าบาดแผลนิดหน่อยอย่าสิ้นเปลืองแต้มเทพสงครามเลย ถึงอย่างไรการเติมเงินฝึกฝนก็สำคัญกว่า

เสียงดวงจิตหอคอยดังขึ้น “โอรสสวรรค์หนุ่ม ไฉนเจ้าถึงไม่มองศิลาโบราณทางขวามือตัวเองล่ะ”

ฟางฉางถึงได้พบว่าทางขวาของเวทีประลองเทพสงครามมีศิลาโบราณลอยอยู่อันหนึ่ง

ศิลาโบราณนั้นแกะสลักนามของผู้คนไว้ ในนั้นมีหลายคนที่ฟางฉางเคยได้ยินนามมาก่อน

‘หนึ่ง ฮวงสือ โอรสสวรรค์หกดาว

สอง เป่ยเฉินเสวียน โอรสสวรรค์ห้าดาว

สาม เหยาอวี่ซี โอรสสวรรค์ห้าดาว

สี่ ฉู่หรงเหอ โอรสสวรรค์ห้าดาว’

……

‘สิบ ข่งเมิ่ง โอรสสวรรค์ห้าดาว

สิบเอ็ด เยี่ยหมีเทียน โอรสสวรรค์ห้าดาว’

…….

ฟางฉางพิจารณามองตั้งแต่อันดับหนึ่งบนสุดของศิลาเทพสงครามลงมาอันดับร้อยล่างสุดอย่างละเอียดรอบหนึ่ง

“ดูครบแล้ว อย่างไรต่อ! เจ้าหอคอยนี่ไฉนชอบทำให้คนอื่นเขาอยากรู้นักนะ ข้าถามว่า…”

รอเดี๋ยวก่อน! ฟางฉางเหมือนนึกอะไรได้

เขารีบมองไปที่นามที่อยู่บนสุดของศิลาเทพสงคราม

ฮวงสือหรือ

เจ้าเด็กดื้อเมื่อครู่นี้คือจักรพรรดิฮวงสือตอนเยาว์วัยหรือ

นี่แซ่ฟางมีวาสนาได้ประมือกับจักรพรรดิฮวงสือตอนเยาว์วัยรึ

ถ้าแพร่งพรายออกไปต้องมีโอรสสวรรค์อิจฉากันเท่าไร! คุ้มแล้ว ต่อให้เสียพันแต้มเทพสงครามก็คุ้มค่าแล้ว!

ความกลัดกลุ้มในใจฟางฉางหายไปจนหมดสิ้น เพราะนามฮวงสือนี้ เป็นตำนานสำหรับโอรสสวรรค์หนุ่มสาวจริงๆ

จักรพรรดิฮวงสือเกิดเมื่อแปดพันกว่าปีก่อน อยู่ในช่วงที่วิญญาณร้ายต่างแดนถูกตีแตกพ่ายถอยไป แปดทิศห้าดินแดนทำลายกลียุคที่เสื่อมโทรมและรอการฟื้นฟู

ตอนนั้นห้าดินแดนมีวิญญาณร้ายแข็งแกร่งซ่อนอยู่ทุกที่ และยังมีผู้ฝึกบำเพ็ญอีกไม่น้อยที่แสร้งเป็นวิญญาณร้ายก่อกรรมทำชั่ว

นอกจากนี้ช่วงที่ฝ่ายเซียนหลายฝ่ายต่อต้านและตอบโต้วิญญาณร้าย ยังเสียศักยภาพแฝงกันจำนวนมาก

ตอนนี้วิญญาณร้ายถอยไปแล้ว ทุกฝ่ายเซียนก็กำลังช่วงชิงผลประโยชน์กัน

มีฝ่ายเซียนไม่น้อย…ที่ล่มสลายเพราะเหตุนี้

ผลคือทั้งห้าดินแดนวุ่นวายมาก

ในกลียุคนั้นเกิดโอรสสวรรค์นับไม่ถ้วน

และจักรพรรดิฮวงสือก็เป็นสุดยอดผู้ไร้พ่ายในยุคนั้น

เขาเกิดในชนเผ่าธรรมดาแห่งหนึ่งของแดนรกร้างใหญ่ ตัวเป็นเด็กหิน ชาวเผ่าจึงมองว่าเป็นปีศาจมาเกิด ปรากฏว่าเมื่อเปลือกหินแตกก็มีเด็กออกมาจากในนั้น หน้าตาน่ารักไม่ร้องไห้เสียงดัง ดูน่ารักมาก

และสิ่งที่ทำให้ชาวเผ่าตกใจยิ่งกว่าคือตรงคอเด็กคนนี้ยังห้อยตราทองสัมฤทธิ์ขนาดเท่าไข่นกพิราบ เมื่อเขายิ้ม ตราทองสัมฤทธิ์นั้นจะเปล่งแสงสีทองอ่อนๆ ดูไม่ธรรมดาอย่างมาก

ตัวเป็นเด็กหิน มีสมบัติล้ำค่าตามมาเกิด คนเช่นนี้ถูกลิขิตไว้ว่าต้องไม่ธรรมดา ต้องเป็นหนึ่งแห่งยุคแน่นอน

เพียงแต่เผ่าที่ฮวงสืออยู่ห่างไกลผู้คนมากเกินไป แทบจะตัดขาดจากโลกภายนอก

ดังนั้นถึงเขาจะมหัศจรรย์ยิ่งกว่านี้ก็ไม่เป็นที่สนใจของโลกภายนอก

ต่อมาฮวงสือเริ่มเติบใหญ่ขึ้น ยิ่งต่างจากคนธรรมดาชัดเจนยิ่งขึ้น

ตอนเขาอายุหนึ่งขวบก็วิ่งเหมือนเหาะเหิน แบกหินยักษ์ที่ผู้ใหญ่ยังยกลำบากได้

ตอนสามขวบยังไม่หย่านมมารดา แต่มารดาไม่มีน้ำนมไปนานแล้ว ฮวงสือจึงเข้าภูเขาลึกไปตามหาเสือดาว

เสือดาวของแดนรกร้างใหญ่โหดเหี้ยมเพียงใด กระทั่งในนั้นยังมีเตรียมปีศาจที่กินแก่นพลังตะวันและจันทราจนเข้าใกล้ผิวเผินการฝึกบำเพ็ญอีกไม่น้อย

ทว่าเด็กน้อยฮวงสือสามขวบคนนี้กลับทุบตีเสือและเสือดาวตัวเมียพวกนั้นจนยอมสยบ

สุดท้ายก็กอดเสือและเสือดาวตัวเมียที่หน้าปูดบวมดูดนมอย่างมีความสุข

และในช่วงเวลานี้เอง ฮวงสือได้สัมผัสกับเตรียมปีศาจบางส่วน ได้เรียนการดูดซับพลังจากปีศาจพวกนี้

คนปกติต่อให้ฝึกตามวิชาเซียน การจะจับความรู้สึกของพลังไม่ใช่เรื่องง่าย ทว่าโลกนี้ก็มีอัจฉริยะที่สุดแห่งยุค

ฮวงสืออาศัยวิธีการดูดซับพลังของร้อยสัตว์ในป่าเขาเริ่มฝึกบำเพ็ญ

จากนั้นเขาออกจากดินแดนรกร้างใหญ่ เข้าไปฝึกบำเพ็ญบุกฝ่าในสำนักกับแดนลับไม่น้อย

ด้วยความที่เป็นกลียุคจึงไม่มีคนเกิดขึ้นมาเยอะมากนัก อีกทั้งฮวงสือยังเป็นโอรสสวรรค์สุดยอด จึงยากที่จะไม่ถูกจับตามอง

เขาเคยได้รับคำเชิญจากทุกสารทิศมาตลอด เคยถูกคนชั่วหมายตา เคยมีคนสละชีพปกป้องเขา และก็เคยเซ่นไหว้สหายกับสวรรค์

แต่สุดท้ายเขาก็ก้าวไปสู่จุดสูงสุดสำเร็จ ฝ่าด่านเคราะห์เป็นผู้อริยะตอนอายุร้อยปี ทำลายสถิติของห้าดินแดน

และที่ทำให้คนตกใจยิ่งกว่านั้นคือวันที่เขาฝ่าด่านเคราะห์ต้องเจอกับเคราะห์สวรรค์เก้าเก้าที่อยู่สูงสุด ยากจะพานพบได้ในหมื่นปี

หลังฝ่าด่านเคราะห์ฮวงสือย่อมแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็มีศัตรูหมายหัวเขามากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

สุดท้ายเขาสังหารในการต่อสู้หลายต่อหลายครั้งจนโลหิตไหลเป็นสายน้ำ ยิ่งสู้ยิ่งแข็งแกร่ง กระทั่งวิญญาณร้ายต่างแดนระดับเซียนแท้จริงคนหนึ่งยังเคยวิญญาณสลายไปด้วยตราต่างฟ้าของฮวงสือ

จากนั้นมาพลังไร้พ่ายของฮวงสือก็ก่อตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์ ทั้งห้าดินแดนไม่มีใครกล้าสงสัยในศักยภาพและอำนาจไร้พ่ายของเขาอีก

ต่อมา เขาสร้าง ‘ราชวงศ์เซียนแดนรกร้าง’ กับ ‘ตำหนักศึกษาข้าวฟ่าง’ ขึ้นที่ดินแดนทวีปกลาง ผู้คนจากทุกสารทิศพากันเดินทางมา

กล่าวได้ว่าเมื่อเจ็ดพันปีก่อน ฮวงสือก็เป็นราชาไร้มงกุฎของห้าดินแดนแล้ว

วันนี้ในเจ็ดพันปีต่อมา ไม่มีใครรู้ว่าเขาแข็งแกร่งเพียงใด

แต่ฐานะของราชวงศ์เซียนแดนรกร้างก็อยู่เหนือทุกแดนศักดิ์สิทธิ์มาตลอดห้าพันปี

ส่วน ‘ตำหนักศึกษาข้าวฟ่าง’ ที่จักรพรรดิฮวงสือสร้างก็ได้ร่วมกับแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ๆ กลายเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ในใจของเหล่าโอรสสวรรค์ห้าดินแดน

สรุปจักรพรรดิฮวงสือคนนี้คือสุดยอดตำนาน โอรสสวรรค์ทั้งห้าดินแดนไม่มีใครไม่เคารพ

การได้สู้กับจักรพรรดิฮวงสือตอนเยาว์วัย อีกทั้งยังสู้กับเขาได้หลายร้อยกระบวนท่า

สำหรับฟางฉางแล้ว นี่ควรค่ากับการระลึกถึงมาก!

…….

“ดวงจิตหอคอยๆ ข้าขอสู้กับจักรพรรดิฮวงสืออีกครั้งได้หรือไม่”

ฟางฉางลูบหัวโนบนศีรษะตนพลางถามอย่างเฝ้ารอคอย

ชั้นเจ็ดหอคอยเทพสงคราม เยี่ยฉิงชางถึงกับมึนงงไปเล็กน้อย

เจ้าซื่อนี่โดนอิฐทุบจนโง่ไปแล้วรึ โดนทุบตีแล้วยังอยากจะโดนทุบตีอีกรอบรึ

“เพราะเหตุใด”

ฟางฉางพูดด้วยดวงตาเร่าร้อน “เพราะจักรพรรดิฮวงสือเป็นแสงสว่างนำทางในใจแซ่ฟาง เป็นแบบอย่างในวิถีเซียน แซ่ฟางหวังว่าจะได้สู้กับเขาตอนเยาว์วัยอีกครั้ง ได้เห็นความห้าวหาญของผู้อาวุโสอีกครั้ง!”

เยี่ยฉิงชางครุ่นคิด “ที่แท้เขาก็เป็นผู้เลื่อมใสของเจ้าหนูนั่นนี่เอง”

ถ้าฟางฉางไม่อธิบาย เยี่ยฉิงชางก็ไม่เข้าใจจริงๆ

อยากจะใกล้ชิดสนิทสนมกับขวัญใจของตนหรือ

ได้แน่นอนอยู่แล้ว!

แต่ว่า ต้องเติมเงินก่อน!

………………………..