“ตระกูลธรรมดา?” หันหมิงชั่นหัวเราะพลางหมุนตัวไปด้านข้าง “ตระกูลธรรมดาจริงๆ ด้วย คนเขาเป็นตั้งแม่ทัพติ้งหย่วนแน่ะ! ถึงแม้เขาจะเป็นแค่ขุนนางระดับห้า แต่เขาก็ยังหนุ่มยังแน่น ทั้งยังเก่งกาจในวิชาการต่อสู้ ไหนจะเป็นคนที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปราน อนาคตคงต้องถูกแต่งตั้งให้เป็นกงโหวแน่ๆ คงจะได้สวมใส่ชุดขุนนางระดับสูงไม่ช้าไม่นานอยู่แล้ว”
“ข้ากลับไม่ต้องการให้เขาใส่ชุดขุนนางระดับสูงอะไรทั้งนั้น” เหยาเยี่ยนอวี่เปรยด้วยเสียงเบา
หันหมิงชั่นพูดขึ้นยิ้มๆ “เช่นนั้นเจ้าต้องการอะไรจากเขา ตอนนั้นบิดาของข้าสู่ขอเจ้ากับบิดาของเจ้า บิดาของเจ้าบอกว่าต้องให้เจ้าตอบตกลงถึงจะได้ ตอนนั้นข้ายังคิดว่างานสมรสนี้คงเป็นไปไม่ได้แล้ว กลับนึกไม่ถึงว่าฮ่องเต้ทรงพระราชทานงานสมรส? เจ้าอย่าอ้างว่าตัวเองถูกบีบบังคับ คำพูดเช่นนี้ข้าไม่เชื่ออยู่แล้ว ดูจากเว่ยจางแม้นเขาจะดูเป็นแม่ทัพที่เยือกเย็น เกรงว่าเขาก็คงไม่บีบบังคับเจ้าหรอกกระมัง”
เหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจแล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเจียงหนานให้หันหมิงชั่นฟังอย่างคร่าวๆ หนึ่งรอบ สุดท้ายทอดถอนหายใจอีกครั้ง “พี่สาวรู้นิสัยของข้าดี ข้าไม่ชอบทำร้ายคนอื่นที่สุดแล้ว ข้ากลัวว่าข้าจะถูกคนอื่นทำร้ายในภายภาคหน้า เมื่อเทียบกับเรื่องน่าเศร้าที่จะเกิดในอนาคต สู้ให้ข้าวางแผนชีวิตตนเองในตอนนี้ไม่ดีกว่าหรือ”
หันหมิงชั่นได้ยินคำพูดนี้แน่นอนว่าต้องรู้สึกเกรี้ยวโกรธอยู่แล้ว จึงสบถหยาบคนในตระกูลซ่งไปหนึ่งชุด
เหยาเยี่ยนอวี่กลับละทิ้งเรื่องกังวลใจเหล่านั้นไว้แล้วพูดขึ้นต่อ “อีกหนึ่งเหตุผลระยะเวลาที่เดินทางไปใต้ในครั้งนี้ข้าก็เห็นหัวใจที่เขามีต่อข้าแล้ว เขาจริงใจต่อข้าอย่างถ่องแท้ ต่อให้ข้าชักสีหน้าไม่ดีกับเขาครั้งแล้วครั้วเล่า บิดาก็เคยปฏิเสธการสู่ขอต่อหน้าเขา เขากลับไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นเกรงว่าคงจะโมโหไปนานแล้ว เขาปฏิบัติตัวเช่นนี้ต่อข้า ข้าต้องเห็นคุณค่าในตัวเขาอยู่แล้ว”
หันหมิงชั่นได้ยินคำพูดเช่นนี้จึงถอนหายใจเบาๆ แล้วพิงลงบนตั่งไม้พร้อมมองเพดานมุ้งอย่างเหม่อลอย
เขาปฏิบัติเช่นนี้กับข้า ข้าก็ต้องเห็นคุณค่าให้ตัวเขาอยู่แล้ว
หันหมิงชั่นครุ่นคิดถึงคำตอบประโยคสุดท้ายของเหยาเยี่ยนอวี่ในใจอย่างเงียบๆ ภายในใจนึกถึงร่างที่สง่าผ่าเผยของคนผู้หนึ่ง รอยยิ้มรื่นเริง อารมณ์ที่หมองเศร้า และอารมณ์ขันของเขา ตอนที่เขาคลี่ยิ้มก็มักจะเหลือบมองสีหน้าของตน เขาสนใจในความรู้สึกของตนมากเพียงนั้น แม้นจะรู้จักเขาได้ไม่นาน ทว่าคำพูดและรอยยิ้มของเขากลับทำให้นางจดจำไว้ในใจลึกๆ ได้เป็นอย่างดี
ความรู้สึกเช่นนี้ก็ควรค่าที่จะให้ความสำคัญ
สหายคนสนิททั้งสองจึงเข้าพักในบ้านสวนกลางหุบเขา หันหมิงชั่นว่างเสียจนไม่มีการใดทำจึงเดินเล่นรอบบ้านสวน ทั้งยังเด็ดผลไม้หลายอย่างอย่างมีความสุขยิ่งนัก
เหยาเยี่ยนอวี่มุดเข้าไปอยู่ในห้องอักษรของตนเองแล้วมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับอุปกรณ์ทำการทดลองของนาง จากนั้นนางก็รวบรวมสมุนไพรที่ใช้ประจำแล้วเริ่มทำงานวิจัยของตนเอง
ส่วนจวนองค์หญิงต้าจั่ง ซูอวี้เหิงกลับเฝ้าอยู่ตรงหน้าองค์หญิงต้าจั่งด้วยจิตใจที่กระวนกระวาย พอเห็นองค์หญิงต้าจั่งอาเจียนยาต้มถ้วยที่เพิ่งดื่มเข้าไปเมื่อครู่นี้จนเสื้อผ้าตรงหน้าอกเปรอะเปื้อน นอกจากนางจะเอาผ้าไปซับให้แล้ว น้ำตาของนางก็ไหลรินลงมาด้วย
เฟิงฮูหยินน้อยและซุนฮูหยินน้อยต่างก็มาเป็นผู้ช่วยของซูอวี้เหิง ลู่ฮูหยินเฝ้าอยู่ด้านข้าง เหยาเฟิ่งเกอเพิ่งจะอยู่เดือนจึงออกนอกเรือนไม่ได้อยู่แล้ว
ด้านนอกฉากกั้นมีหมอหลวงสองคนจากสำนักหมอหลวงกำลังปรึกษาหารือสูตรปรุงยาอยู่ ดูจากอาการแล้ว องค์หญิงต้าจั่งแค่ได้รับพิษร้อนเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ม้ามและกระเพาะอาหารทำงานผิดปกติ ทว่ากลับเป็นเพราะอายุของนางมากเกินไปทำให้ไม่กล้าให้นางดื่มยาชนิดนี้
ซูกวางฉงเอาสองมือไพล่หลังแล้วขมวดคิ้วพลางถอนหายใจ ซูอวี้ผิง ซูอวี้อัน และซูอวี้เสียงสามพี่น้องต่างก็ยืนก้มหน้าแล้วไม่กล้าหายใจแรง
ในเรือน ซูอวี้เหิงเป็นคนแรกที่อดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไปแล้วหันไปขอร้องลู่ฮูหยิน “ท่านป้าเจ้าคะ ข้าได้ข่าวว่าพี่เหยากลับมาแล้ว ไม่เช่นนั้นก็เชิญนางมารักษาให้ท่านย่าดีหรือไม่”
ลู่ฮูหยินเปรยขึ้น “ยัยเด็กคนนี้…ข้างนอกยังมีหมอหลวงสองคนจากสำนักหมอหลวงอยู่ อีกอย่าง ข้าได้ยินมาว่าตอนนี้คุณหนูไม่อยู่ในเมืองหลวงด้วย”
“นางไม่ใช่ว่าเพิ่งกลับมาหรือ จะไม่อยู่ได้อย่างไร” ซูอวี้เหิงเอ่ยถามด้วยตกตะลึง
ลู่ฮูหยินพูดขึ้นลอยๆ “ข้าได้ยินว่านางทำตามพระบัญชาของฮ่องเต้ให้ไปปรุงยาสูตรลับบางอย่าง ส่วนรายละเอียดข้าก็ไม่รู้กระจ่างแจ้ง ไม่เช่นนั้นพี่สะใภ้สามของเจ้าอยู่เดือน เหตุใดนางถึงไม่มาเล่า?”
องค์หญิงต้าจั่งที่น่ายำเกรงมาหลายสิบปีตอนนี้กลับพิงอยู่บนตั่งไม้และไม่รู้ความถึงบทเสวนาของคนตรงหน้าเตียง
เฟิงฮูหยินน้อยกลับรู้ดีแก่ใจ หลายปีมานี้องค์หญิงต้าจั่งลอบจู่โจมลู่ฮูหยินไปไม่น้อย นิสัยขององค์หญิงเชื้อพระวงศ์ผู้หนึ่ง หากรู้สึกโมโหขึ้นมาก็มักจะสบถหยาบใส่ผู้อื่นโดยไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์แม้แต่น้อย พอมาวันนี้แม้นลู่ฮูหยินมิอาจพูดออกมาว่านางหวังให้องค์หญิงต้าจั่งสิ้นพระชนม์ ทว่าสำหรับเรื่องรักษาอาการขององค์หญิงต้าจั่ง ลู่ฮูหยินต้องไม่จัดการด้วยความจริงใจแน่ๆ
พอมองซูอวี้เหิงเหมือนกำลังร้องไห้ เฟิงฮูหยินน้อยลอบถอนหายใจ หากไม่มีองค์หญิงต้าจั่งแล้ว ซูอวี้เหิงต้องไม่มีที่พึ่งให้นางอาศัยอยู่ในเมืองหลวงต่อ ไม่มีกฎระเบียบใดที่ให้ครอบครัวบุตรคนโตช่วยเลี้ยงดูบุตรของครอบครัวบุตรคนรอง บุตรีอนุภรรยาที่ถูกองค์หญิงต้าจั่งเลี้ยงดูดั่งหัวแก้วหัวแหวนต้องมีชีวิตที่ไม่ดีแน่นอน
หมอหลวงที่อยู่ด้านนอกปรุงยาเสร็จก็ใช้สองมือยื่นให้ซูกวางฉงแล้วกำชับว่าต้องให้องค์หญิงต้าจั่งกินตามเวลา จากนั้นถึงจะถอยออกไปด้วยความเคารพ ซูอวี้เหิงที่อยู่ด้านในได้ยินอย่างชัดเจน ภายในใจกลับรู้สึกสัมผัสได้อย่างลึกซึ้งแล้ว ยังจะกำชับให้กินยาอะไรอีก ตอนนี้แม้กระทั่งดื่มน้ำ องค์หญิงต้าจั่งยังดื่มไม่ลงเลย!
หลังจากส่งหมอหลวงเสร็จ ติ้งโหวก็พาบุตรชายทั้งสามเดินอ้อมฉากกั้นแล้วเข้าไปดูมารดาที่หมดสติอยู่บนเตียงพลางถอนหายใจอย่างแรง
ซูอวี้เหิงเห็นพลันลงจากตั่งไม้แล้วคุกเข่าอยู่บนพื้นพร้อมทั้งพูดด้วยเสียงสะอึกสะอื้นทันที “ท่านลุงเจ้าคะ ก่อนหน้าท่านย่าเคยบอกเหิงเอ๋อร์ นางยังมีความปรารถนาสองอย่างที่ยังไม่สำเร็จ หนึ่งก็คืออยากเห็นพี่สะใภ้สามคลอดบุตร สองก็คืออยากจัดพิธีสมรสของพี่ใหญ่ให้ลุล่วงไปด้วยดี วันนี้…ท่านลุงใหญ่เหิงเอ๋อร์ได้ยินมาว่าพี่เหยากลับมาแล้ว ได้โปรดท่านลุงใหญ่คิดหาวิธีเชิญพี่เหยามาเถอะ ฝีมือการแพทย์ของนางยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว นางต้องคิดหาวิธี…” ขณะที่เอ่ยซูอวี้เหิงก็ร้องไห้เสียงแผ่ว
เฟิงฮูหยินน้อยที่อยู่ด้านข้างก็ปาดน้ำตาเช่นกัน นางค้อมตัวลงไปพยุงซูอวี้เหิงให้ลุกขึ้นแล้วเปรยขึ้น “อย่าร้องไห้อีกเลย ท่านย่าต้องไม่เป็นไร ท่านพ่อและท่านแม่ต้องคิดหาวิธีให้ท่านดีขึ้นแน่นอน”
ซูอวี้เหิงไม่กล้าดื้อดึง ต่อให้ตนเองอยากจะรักษาอาการของท่านย่าให้หาย อย่างไรก็ไม่ควรทำตามอำเภอใจ นางเป็นเพียงหลานสาว หากดื้อรั้งที่จะคุกเข่าไม่ยอมลุกขึ้นเพื่อขอให้ท่านลุงใหญ่ทำเช่นนั้น ท่านลุงใหญ่เป็นถึงบุตรชายขององค์หญิงต้าจั่ง นางที่เป็นเพียงหลานสาวจะเหนือกว่าบุตรชายได้อย่างไร
ติ้งโหวเห็นมารดาผู้บังเกิดเกล้าของตนนอนอยู่บนเตียง ภายในใจรู้สึกร้อนรนยิ่งนัก ดังนั้นจึงเอ่ยถาม “เจ้าสาม คุณหนูรองเหยากลับมาหรือยัง”
ซูอวี้เสียงพลันตอบกลับ “กลับมาแล้ว คืนที่เย่ว์เอ๋อร์เกิดยังมาเยือนที่จวนอยู่เลย แต่ก็กลับไปในคืนนั้นแล้ว”
ซูกวางฉงพลันพูด “เช่นนั้นเจ้ารีบไปตามหานาง ต้องเชิญนางมารักษาท่านย่าของเจ้าให้ได้ หากท่านย่าของเจ้าสลบหมดสติเช่นนี้แล้วจะป้อนยาเข้าไปได้อย่างไร ควรทำเช่นไรดี”
ซูอวี้เสียงพลันรับคำแล้วกำลังจะจากไป กลับถูกพี่ใหญ่ของเขารั้งไว้ “ช้าก่อน ให้พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าไปดีกว่า”
“คงไม่ต้องหรอกกระมัง” ซูอวี้เสียงขมวดคิ้ว
“เจ้ามั่นใจว่าเจ้าเชิญคุณหนูเหยามาได้?” ซูอวี้ผิงมองซูอวี้เสียงด้วยสายตาเย็นชา เจ้าสามมีความคิดไม่ซื่อแอบแฝง เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร ตอนนี้คุณหนูรองเหยาคือว่าที่ภรรยาของเว่ยจาง งานสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้ ต่อให้ทำเพื่อน้องชายคนนี้ที่ไม่เอาถ่าน ก็ต้องห้ามความคิดไม่บริสุทธิ์ใจของเขาไว้ให้ได้
“ได้!” ซูอวี้เสียงยิ้มเย้ยหยันตัวเอง “อย่างไรข้าก็คือคนที่ไม่เอาถ่านที่สุดในจวนอยู่แล้วนี่”