ฟางเจิ้งยิ้มเฝื่อนในใจ เรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งสองครั้ง เหมือนว่าหลังจากเขามีชื่อเสียงเล็กน้อยบนโลกอินเทอร์เน็ตก็มีคนมาขอถ่ายรูปรวมแบบนี้โดยเฉพาะ ตามมาด้วยญาติโยมที่มาจุดธูปเริ่มเยอะขึ้น ฟางเจิ้งมักจะรู้สึกว่าอุบาสิกาเหล่านี้ไม่ได้มาไหว้พระขอพร แต่มาหยอกเย้า! ถ้าเขาเป็นคนธรรมดาคงยอมถูกหยอก แต่ว่า…เขาเป็นนักบวช! เป็นนักบวชที่อาจจะเกิดความคิดไม่ดีได้ตลอดเวลาแล้วจะถูกฟ้าผ่า! ความรู้สึกนี้ไม่ดีเอามากๆ ไม่ดีสุดๆ!
จะปฏิเสธ? ฟางเจิ้งก็หาเหตุผลที่เหมาะสมไม่ได้จริงๆ ภายใต้สถานการณ์ปกติ ขอเพียงไม่ถ่ายรูปพระพุทธรูปในวัด ที่เหลือก็ไม่ได้เคร่งครัดมากนัก ต่อให้ถ่ายพระพุทธรูปก็ใช่ว่าจะไม่ได้ เพียงแต่ว่าตอนถ่ายจะต้องถ่ายทั้งหมด ห้ามถ่ายภาพแบบครึ่งหัวอะไรพวกนี้
แน่นอนคนส่วนใหญ่ไม่สนใจการถ่ายพระพุทธรูป ถ่ายแล้วเอาไปทำอะไร? เอากลับไปบูชา? แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ ไม่บูชาก็ใช้กล่องทับ นี่เท่ากับไม่เคารพพระพุทธรึเปล่า
และยังมีคนบอกว่าในวัดมีวิญญาณเยอะ พวกนี้มาฟังธรรมกินแสงธูปที่วัด ถ่ายภาพจะติดสิ่งลี้ลับที่พวกเขาตามหาได้ง่าย แต่ฟางเจิ้งก็ได้แต่ยิ้มกับเรื่องนี้
สรุปถ้าถ่ายพระพุทธรูป ฟางเจิ้งก็พอมีเหตุผลปฏิเสธ จะให้ตบคน?
แชะ!
“ขอบคุณค่ะเจ้าอาวาส!” เด็กสาวสองคนวิ่งไปอย่างร่าเริง
ฟางเจิ้งมองเงาแผ่นหลังเด็กสาวสองคนพลางอดถอนหายใจไม่ได้ “อาตมาควรเก็บเงินไหมเนี่ย? อาจจะร่ำรวยก็ได้…”
ตอนนี้เองเสียงคุ้นเคยดังขึ้น
“หลวงพี่ฟางเจิ้ง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ!” ต่อมามีร่างเงาระหงบีบเข้ามาอยู่ตรงหน้าฟางเจิ้ง นั่นคือจูหลินสาวไลฟ์สดที่เจอกันระหว่างทางไปวัดเมฆาขาว
“อมิตาพุทธ สีกา ไม่ได้เจอกันนานจริงๆ” ฟางเจิ้งประมสองมือ
“หลวงพี่ฟางเจิ้ง ครั้งนี้ฉันมาสร้างกระแสให้ดังกว่าเดิมน่ะ ถ่ายอะไรได้บ้างคะ? จะให้ดีที่สุดก็ไลฟ์สด?” จูหลินถามอย่างสนิทสนม
ฟางเจิ้งส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด เขาเคยเห็นจูหลินไลฟ์สดมาก่อน ตอนไลฟ์จะเปลี่ยนเป็นอีกคน คำพูดที่ใช้แค่คิดก็หน้าแดงหูแดง ดังนั้นจึงตอบไปว่า “สีกา ถ่ายรูปก็พอ ไม่ต้องไลฟ์”
“โอเคค่ะ มา โพสท่าหน่อย ยิ้ม!” จูหลินเข้ามาใกล้ทันที เธอรู้ว่าฟางเจิ้งเป็นผู้ชายบริสุทธิ์เลยรักษาระยะห่างปลอดภัยไว้ หลังกดแชะแล้วก็รีบวิ่งไปไลฟ์สดข้างๆ “พวกเกย์ทั้งหลาย ราชินีไม่ได้หลอกใช่ไหมล่ะ? พูดถึงหลวงจีนฉันก็มาทันทีเลยเห็นไหม!”
“จะบอกว่าพวกเราไม่สนิทพอ? นายจะให้ฉันมีสัมพันธ์นิดๆ กับไต้ซือ? มาๆๆ รายงานตัวมา ฉันจะตีแกให้ตาย…”
“ไม่ล้อเล่นแล้ว ไต้ซือเก่งมาก ฉันเคารพมากนะ ไอ้เวร แกนั่นแหละปีศาจ ทั้งบ้านแกจะถูกปีศาจฆ่าตาย!”
………
ไม่นานจูหลินก็เก็บมือถือแล้วเดินไปจุดธูป
จุดธูปขอพรเสร็จ จูหลินมองหลังลานวัดของฟางเจิ้งด้วยความแปลกใจ “หลวงพี่ฟางเจิ้ง ขอไปดูได้ไหมคะ?”
ฟางเจิ้งเพิ่งถ่ายรูปรวมสองรูปเสร็จ เขาปฏิเสธคำขอของจูหลินไม่ได้จริงๆ ถึงอย่างไรก็เคยไปพักบ้านอีกฝ่ายจึงพยักหน้า ให้ลิงพาจูหลินเข้าไป ลิงได้ยินแบบนั้นพลันดีใจใหญ่ ไม่ต้องโดนคนราวกับหมาป่าและเสือพวกนี้ลากไปถ่ายรูปแชะๆ ถ่ายจนมันอยากจะอัดคนพวกนี้! ถ้าไม่เห็นว่าฟางเจิ้งอดทนมาตลอดมันคงหนีขึ้นต้นไม้ไปแล้ว ตอนนี้มีเหตุผลที่เที่ยงธรรมและบริสุทธิ์ใจย่อมดีใจมาก เรียกจูหลินแล้ววิ่งเข้าไปหลังลานวัด
ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นก็ส่ายหน้าน้อยๆ ลิงนี่ยังต้องขัดเกลานิสัยอีก…
เพิ่งถอนหายใจ อาคนหนึ่งเดินเข้ามา ควักมือถือออกมา ไม่ต้องคิด ถ่ายรูปอีกแล้ว ฟางเจิ้งพบว่าเขาก็ต้องขัดเกลาเหมือนกัน…
ตอนใกล้เที่ยง ญาติโยมเริ่มแยกย้ายกันไป ฟางเจิ้งถึงถอนหายใจโล่งอก ขณะหมุนตัวจะไปหลังวัดนั้น พลันได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างหลัง ตามด้วยเสียงตะโกนต่อว่า “เจ้าลูกหมีมานี่!”
ฟางเจิ้งหันไปมอง เห็นผู้หญิงวัยกลางคนสวมเสื้อผ้าพนักงานทำความสะอาด กำลังดันเด็กชายอายุราวสิบขวบเดินมา เด็กชายพยายามดิ้นไปข้างหลังตลอดทาง เหมือนไม่อยากมา แต่ไม่ร้องไห้ เพียงมีท่าทีหัวแข็งไม่ยอม
ฟางเจิ้งเดินเข้าไปด้วยความแปลกใจ ประนมสองมือ “อมิตาพุทธ สีกามาทำอะไรกันหรือ?”
ผู้หญิงคนนั้นเห็นฟางเจิ้งแล้วก็โกรธใหญ่ “เด็กคนนี้โดนของค่ะ ได้ยินว่าหลวงพี่เก่งเลยพาเขามา”
ฟางเจิ้งอึ้งงัน โดนของ?
ฟางเจิ้งเปิดเนตรปัญญามองเด็กชาย แปลก ในตัวเด็กชายมีแรงกรรมหนักขนาดนี้เลย! บนตัวเขามีแต่หมอกดำวนเวียน ฟางเจิ้งมองผู้หญิงอีกครั้ง เธอดูปกติ มีแรงกรรมแต่น้อยมาก และที่มากกว่านั้นคือกลิ่นอายสีทองของบุญกุศล
ฟางเจิ้งขมวดคิ้ว “อุบาสิกา อาตมาฟางเจิ้งเจ้าอาวาสวัดเอกดรรชนี โดนของที่สีกาว่าหมายความว่ายังไง? ในมุมมองอาตมาเด็กคนนี้น่าจะทำความผิดครั้งใหญ่มา แต่น่าจะไม่เกี่ยวกับโดนของ?”
พอได้ยินฟางเจิ้งบอกว่าเป็นเจ้าอาวาสวัดเอกดรรชนี ผู้หญิงอึ้งไปอย่างเห็นได้ชัด เธอได้ยินคนเล่าว่าบนเขาเอกดรรชนีมีวัดศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งเลยพาลูกมา อีกทั้งยังไม่คุ้นชินกับที่นี่มากนักจริงๆ ไม่นึกเลยว่าเจ้าอาวาสจะเป็นเณรอายุน้อยแบบนี้! หลวงจีนวัยรุ่นแบบนี้จะรู้อย่างแตกฉานในพระธรรมได้หรือ? จะแก้ปัญญาของเธอได้?
แม้จะเกิดคำถามในใจ แต่เธอก็แทบไม่หวังอะไรกับฟางเจิ้งแล้ว คิดในใจว่า ‘อาจจมาผิดที่หรือไม่ก็ถูกหลอก’ แต่ก็ยังพูดอย่างมีความหวังอันน้อยนิด “ปกติเด็กคนนี้เชื่อฟังมากค่ะ แต่ไม่รู้เมื่อไรเริ่มติดดูไลฟ์สด แถมยังแอบเอามือถือฉันไปส่งของขวัญให้ในไลฟ์ จะให้สามหยวนห้าหยวนก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ…แต่นี่…” พูดถึงตรงนี้ เธอแทบจะน้ำตาไหล ดวงตาสองข้างแดงเรื่อ ด้วยความโกรธจึงตบหน้าเด็กชายไปสองที
เด็กชายพูดด้วยความไม่ยอม “ก็แค่เงินนิดหน่อยไม่ใช่เหรอ? จะอะไรนักหนา?!”
ผู้หญิงแทบจะกระโดดลอยตัว ก่อนพูดด้วยความหวังจะให้ลูกเป็นเด็กดี “เจ้าอาวาสดูสิคะ ดูแววตาเขาดุร้ายมาก ถ้าไม่โดนของแล้วจะเรียกว่าอะไร? ถ้าไม่โดนของแล้วเด็กบ้านไหนจะเอาเงินน้ำพักน้ำแรงของพ่อแม่ไปให้คนอื่น? ให้ไปทีหลายหมื่น?!”
ฟางเจิ้งเห็นเด็กชายดื้อรั้นไม่ยอมแบบนี้ก็คิดว่าคงจะให้ของขวัญในไลฟ์ไปหลายร้อยหยวน ปัญหาก็ไม่ได้หนักหนามากเกินไป แต่พอได้ยินว่าให้ไปหลายหมื่น ฟางเจิ้งอยากจะตบบ้องหูไอ้เด็กนี่สักสองที! เคยเห็นคนที่ถังแตกมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นคนที่ถังแตกแบบนี้! หาเงินง่ายนักรึ? ถ้าเงินหาง่าย เจ้าอาวาสที่สง่าผ่าเผยอย่างเขาจะยากจนถึงขั้นต้องไปขุดผักป่ากินทุกวันรึไง? ต้องหลอกเมล็ดสนกระรอกมาเป็นอาหารว่างอย่างนั้นเหรอ?
โดยเฉพาะตอนที่ฟางเจิ้งมองเครื่องแบบผู้หญิงอีกครั้ง ในใจเกิดความโกรธอย่างไร้สาเหตุ! มองปราดเดียวก็รู้ว่าเธอเป็นพนักงานทำความสะอาด พนักงานทำความสะอาดคืออะไร? ทุกวันจะต้องกวาดถนนตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ทำงานทั้งวัน งานแบบนี้คือตัวอย่างของงานหนักแต่ได้เงินไม่มาก คนปกติจะไม่ทำกัน
พนักงานทำความสะอาดหนึ่งคนจะหาเงินหลายหมื่นยากแค่ไหน? ฟางเจิ้งเคยอ่านข่าว เงินเดือนพนักงานทำความสะอาดแค่พันกว่าหยวน! พันกว่าหยวนนี้หักค่ากินค่าใช้จำเป็นแล้วจะเหลือเท่าไร? การจะเก็บเงินหลายหมื่นหยวนจะต้องเก็บหลายปี แต่เด็กนี่ส่งของขวัญให้ไลฟ์สดอย่างง่ายๆ แล้วยังมีหน้ามาดื้ออีก?