ภาคที่ 2 บทที่ 256 ขจัดความงุนงง

มู่หนานจือ

ในเมื่อมาแล้ว ก็ขาดการดื่มเหล้าสังสรรค์ไม่ได้

เติ้งเฉิงลู่พยักหน้าตกลง ทุกคนจึงตกลงกันว่าพรุ่งนี้เช้าต้นยามซื่อจะไปด้วยกัน

แน่นอนว่าเจียงเจิ้นหยวนย่อมอยากเห็นเรื่องนี้ประสบความสำเร็จ จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “พรุ่งนี้ข้ากับใต้เท้าฉีต้องไปดูที่ลานฝึก จึงไม่เล่นเป็นเพื่อนคนรุ่นหลังอย่างพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าไปกันเองเถอะ ข้าไม่เข้าร่วมแล้ว!”

ไม่มีเจียงเจิ้นหยวน ทุกคนก็สบายใจขึ้น

ทุกคนขานรับพร้อมกัน และเอ่ยคำพูดเกรงใจที่ไม่ได้ออกมาจากใจจริงสองสามคำ ทำให้เจียงเจิ้นหยวนหัวเราะอย่างมีความสุขและตวาดด่าอยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นเห็นว่าดึกแล้ว จึงพากันลุกขึ้นบอกลา

งานเลี้ยงของเรือนด้านในก็เลิกแล้วเช่นกัน ไป๋ซู่กับพี่น้องสกุลฉีส่งแขกแทนเจียงเซี่ยน

ตอนที่จินย่วนกำลังจะขึ้นรถม้าก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองกองบัญชาการที่ประตูใหญ่สูงตระหง่านครั้งหนึ่ง

พวกผู้ชายที่เรือนด้านหน้าจะดื่มเหล้า ตอนที่งานเลี้ยงของพวกนางเลิก ทางนั้นเพิ่งจะกินไปได้ครึ่งเดียว พวกนางก็ย้ายไปดื่มชาที่โถงบุปผาแล้ว ฮูหยินฝางคอยจับตามองเจียงเซี่ยนตลอด แค่กินบะหมี่ติดกันสองสามคำก็รีบส่งสัญญาณให้พวกสาวใช้คีบอาหารมังสวิรัติให้นางสักหน่อย ประคบประหงมเหมือนแก้วตาดวงใจ และจะไม่ยอมให้สะเพร่าแม้แต่นิดเดียว พอเห็นว่างานเลี้ยงด้านหน้าจะเลิกแล้ว ชีกูยังเข้ามาแอบบอกเจียงเซี่ยนว่า “นายท่านบอกว่าจะกลับจวนแล้วเจ้าค่ะ พรุ่งนี้จะจัดงานเลี้ยงต้อนรับพวกเฉิงเอินกงในจวน ถามว่าท่านอยากกินหรืออยากดื่มอะไรหรือไม่ พรุ่งนี้นายท่านจะให้แม่ครัวทำให้ท่าน คุณท่านของพวกเราเชิญแม่ครัวกลับมาจากเมืองหลวงสามคน คนหนึ่งทำอาหารเมืองหลวง คนหนึ่งทำอาหารเจียงซู แล้วก็อีกคนหนึ่งทำของว่างของเมืองหลวง ท่านอยากกินอะไรก็ทำได้หมด ตอนที่ท่านหญิงออกเรือน แม่ครัวสามคนนี้ก็จะตามท่านไปไท่หยวนด้วยเจ้าค่ะ”

แม้ชีกูจะพูดเสียงเบา ทว่าตอนนั้นนางนั่งอยู่กับเจียงเซี่ยนโดยมีโต๊ะชากั้นอยู่ตรงกลาง จึงยังคงได้ยินอย่างชัดเจน

นางคิดว่าเจียงเซี่ยนจะพยักหน้าและให้ชีกูออกไป แต่ใครจะรู้ว่าเจียงเซี่ยนกลับหัวเราะเสียงเบาและเอ่ยกับชีกูว่า “ข้าไม่ชอบกินของว่างในเมืองหลวงที่สุดแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งของที่ห้องเครื่องทำ หากไม่หวานเกินไปก็นิ่มเกินไป ข้าชอบกินของว่างของเจียงหนาน เจ้าให้เขาหาคนครัวจากเจียงหนานให้ข้าสักคนแล้วกัน”

เจียงเซี่ยนเม้มปากยิ้มก่อนพูด ในดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์อย่างเบาบาง

เห็นได้ชัดว่าหยอกหลี่เชียนเล่น

ชีกูก็มองออกอย่างชัดเจนเช่นกัน นางยิ้มด้วยสายตาเมตตาและเอ่ยว่า “เจ้าค่ะ” แล้วเพิ่มความสนุกให้กับเจียงเซี่ยนโดยหยอกหลี่เชียนเล่นด้วยว่า “ท่านว่าเชิญแบบหอหลิ่วชุ่ยหรือว่าเชิญแบบร้านเสว่เทาดีเจ้าคะ?”

ร้านเสว่เทาของเจียงหนานก่อร่างสร้างตัวด้วยการทำขนมหวาน หลังจากค่อยๆ เติบโตขึ้น ก็เริ่มเปิดร้านของว่าง ของว่างของร้านพวกเขามีแบบมากที่สุด รสชาติแปลกๆ ก็มีหมด ทว่าหอหลิ่วชุ่ยกลับเป็นร้านเก่าแก่ของเจียงหนาน ทำของว่างของซูเจ้อ[1]สืบทอดกันมาหลายรุ่น มีชื่อเสียงในหมู่ขุนนางจากเมืองหลวงที่อยู่แถบซูเจ้อมาก ตระกูลไหนมีงานแต่งงานหากไม่ใช่ของว่างที่สั่งจากร้านของพวกเขา ก็จะแลดูไม่ดีพอ

เจียงเซี่ยนลูบคางพลางยิ้ม และเอ่ยว่า “แน่นอนว่าต้องเป็นรสชาติของหอหลิ่วชุ่ยอยู่แล้ว! ทุกคนต่างก็บอกว่าดีไม่ใช่หรือ?”

ชีกูยิ้มและถอยออกไป

ฮูหยินฝางปล่อยให้เจียงเซี่ยนหยอกหลี่เชียนเล่น และคุยกับฮูหยินฉีโดยแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง

เกรงว่าเด็กสาวอย่างเจียงเซี่ยนคงจะไม่เคยลิ้มลองชีวิตที่โศกเศร้า เสียใจ หวาดหวั่น และระมัดระวังมากจนถึงขั้นหวาดกลัวและไม่สบายใจเลยกระมัง?

จินย่วนถอนหายใจในใจ และตามพี่ชายทั้งสองคนของตนเองไปจวนสกุลหลี่

ตอนที่ลงจากรถม้า นางเห็นชีกูกำลังคุยกับหลี่เชียนอยู่หน้าประตูใหญ่

นางแปลกใจมาก จึงถามหงซิ่วสาวใช้ข้างกายว่า “พวกเขากำลังคุยอะไรกัน?”

หงซิ่วเป็นคนที่จินเซียวอบรมสั่งสอนมาด้วยตนเองและวางไว้ข้างกายจินย่วน พอได้ยินก็เข้าใจ จึงแสร้งทำเป็นเดินผ่านข้างตัวหลี่เชียนไปอย่างไม่สนใจ ก็ได้ยินหลี่เชียนสั่งชีกูว่า “นางอาจจะไม่ชอบของว่างของห้องเครื่องจริงๆ ก็ได้ เจ้าอย่าคิดว่านางพูดออกมาด้วยรอยยิ้มแล้วเจ้าก็ไม่ใส่ใจคำพูดของนาง เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว ข้าจะให้เซี่ยหยวนซีหาผู้ที่ทำของว่างเป็นมาจากหอหลิ่วชุ่ยสักคน”

ชีกูยิ้มพลางรับปาก และกลับกองบัญชาการ

แต่เซี่ยหยวนซีกลับลำบากใจมาก และเอ่ยว่า “หอหลิ่วชุ่ยสืบทอดกันมานานมาก เกรงว่าจะดึงตัวมาลำบาก”

หลี่เชียนยิ้มและเอ่ยว่า “ข้าก็ไม่ได้จะเปิดร้านของว่างเสียหน่อย จะดึงตัวมาทำไมเล่า! เจ้าให้คนไปหาผู้ดูแลร้านสาขาที่เมืองหลวงของหอหลิ่วชุ่ย ให้เขาให้คนมาทำของว่างที่บ้านคนหนึ่ง หากเขาไม่ให้ เจ้าก็ไปหาหัวหน้าพ่อบ้านของตระกูลเจียง”

เซี่ยหยวนซีเอ่ยว่า “หาหัวหน้าพ่อบ้านของตระกูลเจียง แบบนี้ไม่ดีกระมัง?”

“ไม่ดีตรงไหน!” หลี่เชียนยิ้มและเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วยว่า “ข้าไม่ให้ตระกูลเจียงช่วยเหลือ แล้วคนอื่นก็จะคิดว่าข้าฐานะร่ำรวยกว่าตระกูลเจียงอย่างนั้นหรือ? เวลานี้พวกเราเทียบตระกูลเจียงไม่ได้จริงๆ แล้วต่อไปจะไม่มีวันเทียบตระกูลเจียงได้อย่างนั้นหรือ? ตอนนี้ตระกูลเจียงช่วยเหลือพวกเรา บุญคุณนี้จดจำไว้ในใจ ภายภาคหน้าหากตระกูลเจียงต้องการความช่วยเหลือก็ไม่ต้องเก็บซ่อนไว้ในใจแล้ว”

เซี่ยหยวนซีขานว่า “ขอรับ” อย่างนอบน้อม และอดที่จะมองหลี่เชียนใหม่อีกครั้งไม่ได้

ในใต้หล้าไม่รู้ว่ามีคนตั้งเท่าไรที่วิจารณ์ว่าหลี่เชียนเป็นกระต่ายหมายจันทร์ อาศัยตระกูลของพ่อตาแม่ยายเลื่อนตำแหน่งขุนนางและร่ำรวยขึ้น หากเป็นคนทั่วไป ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟไปตั้งนานแล้ว แต่หลี่เชียนไม่เพียงแต่ไม่โกรธ กลับยอมรับอย่างไม่สะทกสะท้านว่าเวลานี้ตนเองไม่คู่ควรกับเจียงเซี่ยนจริงๆ จะทำอะไร ก็ยังจะให้ตระกูลเจียงช่วยเหลือ บางทีในสายตาของคนอื่น อาจจะรู้สึกว่าหลี่เชียนหน้าด้านและไร้ยางอาย ทว่าในมุมมองของเซี่ยหยวนซี นั่นกลับเป็นนิสัยที่ตรงไปตรงมาของหลี่เชียน…ทั้งไม่หลบเลี่ยงความผิดพลาดของตนเอง และจะไม่เปลี่ยนความคิดเพราะคำนินทาเช่นกัน

เขารีบไปเมืองหลวงคืนนั้น

หลี่เชียนยืนอยู่บนขั้นบันไดของห้องหลัก มองท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง แต่ในใจกลับรู้สึกงุนงงเล็กน้อย

ตามหลักแล้ว เจียงเซี่ยนต้องการอะไรหรือมีอะไร ควรจะมั่นใจในตนเองและใจกว้างมากถึงจะถูก

ซึ่งนางก็ใจกว้างจริงๆ แม้แต่ผู้ชายก็เทียบไม่ได้เช่นกัน

ทว่ากลับไม่มั่นใจในตนเองแม้แต่นิดเดียว

ความมั่นใจในตนเองแบบนี้ไม่ได้มาจากการตัดสินใจของนางต่อสิ่งต่างๆ แต่มาจากการยอมรับตนเอง

ภายใต้การกระทำที่ดูเหมือนสงบนิ่งและเฉยชาของนาง กลับซ่อนความขี้ขลาดที่กลัวว่าจะรบกวนคนอื่นทุกเรื่องเอาไว้ มีเรื่องอะไรก็ชอบแอบคิดหาทางแก้ไขเอง และไม่เคยขอร้องคนอื่น นอกเสียจากว่าคนๆ นั้นจะทำให้นางวางใจมาก และได้รับความไว้วางใจจากนางอย่างถึงที่สุด

เป่าหนิงกลายเป็นคนแบบนี้ได้อย่างไร?

หรือว่าเคยถูกใครปฏิเสธอย่างรุนแรงอย่างนั้นหรือ?

จึงทำให้นางรู้สึกว่าการมีอยู่ของนางทำให้คนอื่นไม่มีความสุข?

หลี่เชียนขมวดคิ้วแน่นจนเป็นตัวอักษรชวน

เขาให้คนไปตามชีกูกลับมา แล้วไล่คนรับใช้ข้างกายออกไปและถามนางว่า “ตอนนั้นทำไมเจ้าถึงมาพึ่งพาอาศัยข้า? กระทั่งยอมเป็นแม่บ้านที่เรือนด้านใน”

ชีกูมาจากตระกูลขุนนางอู่หลิน อายุยังน้อยก็แสดงสติปัญญา ความสามารถ และฝีมือออกมาอย่างโดดเด่นในยุทธภพ ตอนหลังสามีที่แต่งงานถึงแม้ตระกูลกับฐานะจะสู้นางไม่ได้ แต่กลับหล่อเหลาสง่างาม เฉลียวฉลาดและมีความสามารถ หลังจากไปพึ่งพาอาศัยกลุ่มอันธพาลได้ไม่นานก็กลายเป็นหัวหน้าสาขาของสาขาเจิ้นเจียงของกลุ่มอันธพาล และเป็นหนึ่งในห้าผู้คุมงานของกลุ่มอันธพาล ทว่านางกลับหย่ากับสามีหลังจากบิดามารดาเสียชีวิตทั้งคู่ ปิดบังชื่อแซ่ที่แท้จริงของตนเองและอาศัยการแสดงศิลปะประทังชีวิตในยุทธภพ ต่อมาก็สมัครใจขายตัวเป็นหญิงรับใช้ข้างกายหลี่เชียน

หลี่เชียนคิดว่า ชีกูสมองมีปัญหาไปแล้วอย่างสิ้นเชิง

จึงไม่ค่อยไว้วางใจชีกูอยู่นานมาก

ชีกูอดไม่ได้ที่จะเผยความเจ็บปวดรวดร้าวออกมาทางสีหน้า และเอ่ยเสียงเบาว่า “โอวอิงรังเกียจที่ข้าหยาบคาย เขาถูกใจผู้หญิงจากตระกูลจวี่เหรินคนหนึ่ง และบังเอิญว่าคนอื่นก็ถูกใจเขาเช่นกัน จึงจำเป็นต้องหย่า การหย่า…ก็เป็นเพียงการไว้หน้าข้าเล็กน้อยเท่านั้น”

หลี่เชียนขมวดคิ้ว

เสียงของชีกูทั้งเหนื่อยล้าและโศกเศร้า ทว่าไม่มีความโกรธแค้นแม้แต่นิดเดียว “สุดท้ายแล้วก็เป็นเพราะข้าไร้ความสามารถเกินไปอยู่ดี และที่บ้านของข้าก็มีน้องชายข้าดูแลตระกูลแล้ว ข้าไม่อยากให้ทุกคนรู้เรื่องนี้ ทำให้ตนเองหน้าตาอัปลักษณ์และแลดูลำบาก และยิ่งไม่อยากทำให้ท่านพ่อกับท่านแม่ที่ล่วงลับไปแล้วเสียชื่อเสียง จึงไปจากตระกูลโอว แต่ข้าก็อยากรู้ว่า ข้าสู้คุณหนูจากตระกูลจวี่เหรินคนนั้นไม่ได้ตรงไหนกันแน่? แค่เพราะนางมาจากตระกูลขุนนางที่คนรุ่นก่อนได้เรียนหนังสือหรือ? แต่โอวอิงก็ไม่ใช่บัณฑิตเหมือนกันนี่นา!”

ถึงเวลานี้แล้ว ในดวงตาของนางก็ยังคงเต็มไปด้วยความเสียใจและเจ็บปวดเช่นเดิม

————————————

[1] ซูเจ้อ ชื่อย่อของมณฑลเจียงซูกับมณฑลเจ้อเจียง ซึ่งเป็นพื้นที่ทางภาคตะวันออกของจีน