เล่มที่ 10 บทที่ 291 นางอาบน้ำอยู่ด้านใน

ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต

เพราะเซียวจื่อเมิ่งเกือบโดนลักพาตัว เซียวยวี่ไม่วางใจ จึงอาศัยจังหวะที่ทั้งสองคนยังไม่นอนหลับ มายังห้องของเซียวจื่อเมิ่ง คิดจะพูดคุยกับเซียวจื่อเมิ่งครู่หนึ่ง ให้นางอย่าได้กลัว

เซียวจื่อเมิ่งอาบน้ำเสร็จแล้ว สวมใส่เสื้อซับในที่สะอาดพอดีตัว ผมก็สระจนสะอาดและเช็ดแห้งแล้ว หวีจนเรียบปล่อยสยายอยู่ด้านหลัง ใบหน้าเล็กขาวนวลดุจกระเบื้องเคลือบ ดูดีราวกับเทพธิดาตัวน้อยในภาพวาดก็มิปาน นั่งอยู่บนเตียง พักพิงอยู่ในอ้อมกอดของเซียวยวี่

ส่วนเซียวยวี่ เดิมทีเพียงคิดจะเข้ามาปลอบประโลมน้องสาวของตนเอง แต่ยังไม่ได้เริ่มกล่าวอะไรแม้แต่ประโยคเดียว เขาก็ไม่มีแก่ใจแล้ว

ยามนี้เซี่ยยวี่หลัวกำลังอาบน้ำอยู่ในห้องเล็กข้างๆ

ถึงจะเรียกว่าห้องเล็กข้างๆ ความจริงเพียงเจาะทะลุกำแพงด้านหลัง สร้างห้องอิฐหลังคากระเบื้องห้องใหม่ไว้ในสวนหลังบ้าน ยกสูงจากพื้นดินประมาณหนึ่งนิ้ว ปกติยามอาบน้ำ เซี่ยยวี่หลัวและเซียวจื่อเมิ่งจะอาบในห้องนี้

หากมีน้ำขัง มุมกำแพงบนพื้นมีอิฐก้อนหนึ่งที่สามารถเคลื่อนออกได้ แต่สามารถดึงออกได้จากภายในเท่านั้น ไม่อาจดึงออกจากด้านนอก เช่นนี้สามารถป้องกันหากมีคนคิดจะทำเรื่องไม่ดี หลังจากนำก้อนอิฐออก ก็สามารถกวาดน้ำขังภายในห้องออกไปทางรูเล็กได้ ทั้งปลอดภัยและสะดวก

มองจากด้านนอก ห้องเล็กแห่งนี้ดูแข็งแรงมั่นคงประหนึ่งกำแพงเหล็ก ไม่หละหลวมแม้แต่น้อย

เพียงแต่หากอยู่ด้านใน…

เซียวยวี่รู้สึกว่าความจริงตัวเองไม่ควรมา

ห้องเล็กมีประตูหนึ่งบาน ด้านนอกแขวนผ้าม่านไว้

การอาบน้ำในฤดูร้อนถือเป็นเรื่องลำบากเช่นกัน โดยเฉพาะห้องเล็กด้านในที่ไม่มีหน้าต่าง ไอร้อนอบอวลลอยออกไปไม่ได้ เซี่ยยวี่หลัวเกรงว่าจะร้อน จึงไม่ปิดประตู เพียงปล่อยม่านลง ไอร้อนลอยออกไปผ่านรอยแยกของผ้าม่าน ตัวบ้านมีหน้าต่างหลายบาน สามารถกระจายออกไปได้

เมื่ออากาศร้อน เซี่ยยวี่หลัวก็ทำเช่นนี้มาตลอด

เมื่อครู่นางอาบน้ำให้เซียวจื่อเมิ่งก่อนเหมือนเคย หลังจากเช็ดตัวให้นางและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จจึงอุ้มนางไปวางบนเตียง ให้นางเล่นครู่หนึ่งก่อน จากนั้นเซี่ยยวี่หลัวจึงไปอาบน้ำ

วันนี้เหงื่อออกเต็มตัวทีเดียว

อากาศร้อนจนเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว เซียวจื่อเมิ่งเกือบโดนลักพาตัว ก็ทำให้ตกใจจนเหงื่อเย็นซึมชื้นไปทั้งตัวเช่นกัน

เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกร่างกายเหนียวเหนอะหนะ อึดอัดยิ่งนัก ตอนนี้ไม่มีอะไรให้กังวลใจแล้ว จิตใจผ่อนคลาย จึงตักน้ำสองถัง อาบเนื้อล้างตัว

อากาศเช่นนี้หากใช้อ่างอาบน้ำคงร้อนจนหมดสติ เซี่ยยวี่หลัวจึงใช้น้ำราด ปล่อยผมสยาย ใช้กระบวยตักน้ำมาหนึ่งกระบวย ราดผมให้ชุ่ม เริ่มสระผม

เส้นผมของนางทั้งยาวทั้งดำ สัมผัสอ่อนนุ่มเงางามราวกับผ้าดิ้นก็มิปาน ไม่ต่างกับลักษณะเส้นผมของเซี่ยยวี่หลัวในภพก่อนมากนัก ทั้งดำทั้งหนาและเงางาม เส้นผมดีถึงเพียงนี้ สามารถถ่ายโฆษณาน้ำยาสระผมได้เลย

หลังจากราดผมจนชุ่ม จึงใช้สบู่ดอกจินหยินที่ทำขึ้นเองถูกไปบนฝ่ามือให้เกิดฟอง แล้วจึงถูไปบนเส้นผม ยุคสมัยนี้ไม่มีน้ำยาสระผม มีเวลาเมื่อไรค่อยไปดูบนเขาว่ามีจ้าวเจี่ยวหรือไม่ จะได้เก็บกลับมาทำเอง

สบู่ดอกจินหยินก็ใช้ได้เหมือนกัน ถึงแม้ว่าสระเสร็จแล้วผมจะค่อนข้างแห้ง แต่ก็ยังสะอาดกว่าสระโดยไม่ใช้อะไรมากนัก

ตักน้ำกระบวยแล้วกระบวยเล่า เกิดเสียงดังซ่าซ่า ราวกับเป็นเสียงระฆังที่ถูกตีให้ดังเข้าสู่โสตประสาทของเซียวยวี่ครั้งแล้วครั้งเล่า ดังเข้าสู่ห้องหัวใจของเขา

เซี่ยยวี่หลัวอาบน้ำอยู่ด้านใน!

ร่างกายเซียวยวี่เกร็งขึ้น คอเกิดอาการคัน วาจาที่จะปลอบโยนเซียวจื่อเมิ่งราวกับโดนเข็มและด้ายเย็บไว้ก็มิปาน กล่าวไม่ออกแม้แต่คำเดียว

เซียวจื่อเมิ่งพักพิงอยู่ในอ้อมอกเซียวยวี่ แหงนหน้าเอ่ยถามเซียวยวี่ด้วยความสงสัย “พี่ใหญ่ ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ? หัวใจของท่านเต้นเร็วมากเลย! ”

นั่นสิ เร็วมาก ขึ้นๆ ลงๆ ราวกับจะกระโดดออกจากช่องอกอย่างไรอย่างนั้น

เซียวยวี่ “…” เขากลัวว่าเซี่ยยวี่หลัวจะรู้ว่าตัวเองอยู่ภายในห้อง จึงรีบกล่าวเสียงเบา “พี่ใหญ่ไม่เป็นอะไร ไม่เป็นอะไร”

ทำไมเสียงของพี่ใหญ่ถึงฟังดูแหบแห้ง ราวกับว่ากลืนขนมก้อนหนึ่งไปติดอยู่ในคอจนไม่อาจเอ่ยวาจาได้

เซียวจื่อเมิ่งรู้สึกฉงนสงสัยยิ่งนัก แต่นางไม่ได้กล่าวอะไร ยังคงพักพิงอยู่ในอ้อมอกของพี่ใหญ่ต่อ

พี่ใหญ่คงไม่ได้ป่วยเป็นโรคอะไรกระมัง แต่ทำไมหัวใจถึงเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ ?

ราวกับจะกระโดดออกจากลำคออย่างไรอย่างนั้น

เสียงน้ำซ่าซ่าจากห้องเล็กยังคงดังอย่างต่อเนื่อง เซี่ยยวี่หลัวสระผมเสร็จอย่างอารมณ์ดี ม้วนผมที่เปียกชุ่มขึ้นและรั้งไว้ด้วยปิ่นปักผม จากนั้นจึงอาบเนื้อล้างตัวต่อ

สบู่หอมมาก ถูไปบนตัวส่งกลิ่นหอมละมุน ชะล้างคราบเหงื่อที่เหนียวเหนอะหนะและฝุ่นที่ติดบนตัวจนสะอาดหมดจด นางอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก จึงเริ่มฮัมเพลง

เซียวจื่อเมิ่งกล่าวด้วยท่าทางร่าเริง “พี่สะใภ้ใหญ่ร้องเพลงอีกแล้วเจ้าค่ะ”

ลูกกระเดือกของเซียวยวี่เคลื่อนขึ้นลงทีหนึ่ง หมายจะดึงสติกลับมาจากเสียงน้ำภายในห้องเล็ก เขาเอ่ยถาม “พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้า นางร้องเพลงเป็นประจำอย่างนั้นหรือ? ”

ครั้งก่อนในสวนหลังบ้าน เขาก็ได้ยินเซี่ยยวี่หลัวร้องเพลง ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่านางร้องอะไร แต่น้ำเสียงสดใสทั้งยังแฝงเร้นด้วยความอ่อนละมุน ทำนองแปลกใหม่ เนื้อเพลงสละสลวย แม้แต่เซียวยวี่เองตอนนั้นก็ฟังด้วยอาการนิ่งอึ้ง

“เจ้าค่ะ เวลาพี่สะใภ้ใหญ่อารมณ์ดีจะร้องเพลง นางร้องเพลงเป็นหลายเพลงเลยเจ้าค่ะ” เซียวจื่อเมิ่งกล่าวด้วยท่าทางร่าเริง “พี่สะใภ้ใหญ่ยังสอนข้าร้องหลายเพลงด้วยเจ้าค่ะ”

เซียวยวี่ยิ้ม “เช่นนั้นเจ้าร้องเป็นหรือไม่? ” ยากนักกว่าเขาจะฟื้นฟูสู่สภาวะปกติได้บ้าง

“ร้องเป็นเจ้าค่ะ” เซียวจื่อเมิ่งเริ่มฮัมเพลง

“เจ้าห่านเอยเจ้าห่าน แหงนหน้าขับขานเพลง ขนขาวลอยเหนือน้ำเขียว เท้าแดงแหวกน้ำเป็นคลื่นเบา”

หลังจากเซียวยวี่ได้ฟัง จึงลองท่องเนื้อเพลงอีกครั้ง ยิ้มพร้อมกล่าว “นับว่าแปลกใหม่ บรรยายถึงความสงบและเคลื่อนไหวสลับไป ขับร้องจนเห็นภาพความน่ารักมีชีวิตชีวาของห่านขาวกลางทะเลสาบสีเขียวมรกตที่ส่งเสียงร้องเล่นกัน! ”

“พี่สะใภ้ใหญ่ยังสอนให้ข้าอีกหลายเพลงเจ้าค่ะ ยังมี วสันตฤดูหลับใหลตราบรุ่งอรุณ ยินเสียงสกุณขับขานทุกแห่งหน ราตรีเยือนเคล้าเสียงพายุฝน บุปผาโรยมิรู้ตราบเท่าใด”

เซียวจื่อเมิ่งร้องอีกหนึ่งเพลง

“นี่ก็เป็นเพลงที่พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าสอนหรือ? ” เซียวยวี่ทวนซ้ำอีกสองครั้ง ถึงกับนิ่งอึ้ง

วสันตฤดูหลับใหลตราบรุ่งอรุณ ยินเสียงสกุณขับขานทุกแห่งหน ราตรีเยือนเคล้าเสียงพายุฝน บุปผาโรยมิรู้ตราบเท่าใด

ประโยคง่ายๆ เพียงสี่ประโยค ท่องครั้งแรกรู้สึกเรียบง่ายไม่มีอะไรแปลก แต่หากท่องซ้ำหลายครั้ง ก็จะพบความหมายที่ลึกซึ้งในบทเพลงนี้

ฤดูใบไม้ผลินั่นน่านอน จึงหลับถึงรุ่งอรุณโดยไม่รู้ตัว สิ่งที่รบกวนการนอนหลับคือนกน้อยที่ส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว คืนที่ผ่านมามีเสียงลมและเสียงฝนดังไม่หยุด ไม่รู้ว่าดอกไม้ที่งดงามบอบบางจะโดนลมพัดจนร่วงโรยไปมากแค่ไหน

เป็นธรรมชาติราวเมฆาเคลื่อนสายน้ำไหล แต่หลังจากท่องซ้ำก็ตระหนักถึงความลึกซึ้ง มีขึ้นและลง มหัศจรรย์และโดดเด่นไม่เหมือนใคร แสดงออกถึงความรู้สึกรักในฤดูใบไม้ผลิโดยไม่กล่าวออกมาอย่างโจ่งแจ้งได้อย่างงดงามและแพรวพราว

ความรัก ซ่อนอยู่ภายในใจ ไม่กล่าวออกมา แต่คนทั่วหล้ากลับรับรู้ได้

“พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่านี่คือกลอนบทหนึ่งเจ้าค่ะ นางกลัวว่าข้าจะจำไม่ได้ จึงสอนข้าร้อง ข้าร้องสองครั้งก็จำได้แล้ว พี่สะใภ้ใหญ่ยังชมว่าข้าฉลาดมากเจ้าค่ะ! ” เซียวจื่อเมิ่งตบอกตัวเองเบาๆ หัวเราะพร้อมกล่าวอย่างร่าเริง “ในหัวข้ายังมีอีกหลายเพลงเลยเจ้าค่ะ”

เซียวยวี่กำลังจะให้เซียวจื่อเมิ่งร้องทั้งหมด เสียงของเซี่ยยวี่หลัวก็ดังขึ้นจากภายในห้องเล็ก “จื่อเมิ่ง พี่สะใภ้ใหญ่ลืมหยิบผ้าเช็ดตัว เจ้าช่วยหยิบให้ข้าด้วย วางไว้บนตู้”

เซี่ยยวี่หลัวอาบน้ำเสร็จแล้ว พบว่าตัวเองไม่ได้หยิบผ้าเช็ดตัวเข้ามาด้วย จึงตะโกนจากด้านใน

เซียวจื่อเมิ่งขานตอบทีหนึ่ง “มาแล้วเจ้าค่ะ พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านรอเดี๋ยว”

นางก้าวเท้าเล็กกำลังจะลงจากเตียง เซียวยวี่ลุกขึ้นยืน เอื้อมมือไปหยิบผ้าเช็ดตัว

“จื่อเมิ่ง เจ้าเร็วหน่อย ร้อนเหลือเกิน พี่สะใภ้ใหญ่จะอาบเสียเที่ยวแล้ว” เซี่ยยวี่หลัวเห็นว่าไม่มีเสียงจากด้านนอก จึงตะโกนอีกครั้ง

ภายในห้องเล็กช่างร้อนเหลือเกิน

ไอร้อนลอยวนเวียน เพิ่งอาบน้ำจนสะอาดกลับเหมือนจะเริ่มมีเหงื่อออกอีกแล้ว ไม่ต่างกับอบซางหนา[1]เท่าไร

เซี่ยยวี่หลัวเกิดความวู่วาม อยากเปิดม่านขึ้นแล้วเดินออกไปเองเสียเลย

———————————

เชิงอรรถ

[1] อบซางหนา คือ อบซาวน่า