ราชามารวิญญาณมรณะลอยล่องอยู่บนหน้าต่าง ดวงตาของมันหุบต่ำลง ทั้งตนทั้งร่างนิ่งงันไม่ไหวติง

 

“ทำไมคุณถึงต้องการสิ่งนี้?” เชื้อไฟเอ่ยถาม

 

“ก็มันดูน่ากลัวดี เลยคิดว่าคงจะสามารถใช้มันช่วยต่อสู้ได้ดีน่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เชื้อไฟจมลงสู่ความเงียบ

 

กู่ฉิงซานชี้ไปยังราชามารวิญญาณมรณะและพูดต่อ “แต้มพลังวิญญาณของฉันพอรึเปล่า? ถ้าพอแล้วก็ช่วยแลกเปลี่ยนมันให้กับฉันด้วย*”

 

*(เผื่อจะลืม ตอนนี้กู่ฉิงซานกำลังแสดงละครว่าไม่รู้หนังสืออยู่)

 

—ด้วยแต้มพลังวิญญาณที่กู่ฉิงซานได้รับมา มันย่อมไม่เพียงพอที่จะแลกเปลี่ยนกับอสูรกายตนนี้อย่างแน่นอน

 

มันเป็นไปไม่ได้สำหรับแต้มพลังวิญญาณของเขาในตอนนี้

 

“มันไม่เพียงพอ” เชื้อไฟตอบกลับ

 

“งั้นหรอ เอาเถอะ แน่ล่ะว่ามันคงไม่พอ ก็เจ้าสิ่งนี้มันดูน่ากลัวมากๆเลยนี่นา”

 

กู่ฉิงซานมองไปยังอสูรกาย มือที่กุมดาบอดรนทนไม่ไหวที่จะเกร็งแน่นขึ้น

 

อสูรกายประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหลเป็นอาวุธสงครามที่ทรงประสิทธิภาพยิ่งกว่าอสูรกายประเภทดัดแปลงมากมายนัก

 

พวกมันทุกตนมีทุกชนิดของความสามารถอันน่าขนพองสยองเกล้า อยู่ยงคงกระพัน และมิอาจต้านทานได้

 

อสูรกายประเภทปฐมบทเพียงตนเดียว ยามเมื่อย่างกรายเข้าสู่สมรภูมิ ส่งครามก็จะมาถึงจุดสิ้นสุดทันที

 

ในชีวิตก่อนหน้า จำเป็นต้องใช้ตัวตนทรงอำนาจในระดับประทับเทพถึงสองคนร่วมมือกัน จึงจะสามารถรับมือกับอสูรกายดัดแปลงได้อย่างฉิวเฉียด

 

แต่ตอนนี้ กู่ฉิงซานที่อยู่ในโลก 900 ล้านชั้น -อสูรกายที่ครั้งหนึ่งเคยสร้างความหวาดผวาให้แก่มวลมนุษย์ กลับกลายเป็นสิ่งที่สามารถใช้แลกเปลี่ยนได้

 

ย้อนระลึกถึงความทรงจำในช่วงชีวิตที่ผ่านมา แล้วมองมายังชีวิตนี้อีกครั้ง ทุกสิ่งราวกับฝันไป

 

รายการแลกเปลี่ยนทั้งหมดได้หายไปจากหน้าต่างเชื้อไฟ

 

เสียงของเชื้อไฟดังขึ้น “ถ้าคิดจะแลกเปลี่ยนกับอสูรกาย คุณจะต้องใช้ความพยายามมากยิ่งกว่านี้เป็นเท่าทวี”

 

กู่ฉิงซานกำหมัดแน่น “ฉันจะพยายาม”

 

เชื้อไฟเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะประกาศออกมา “งั้นก็ได้เวลาเริ่มบอกรายละเอียดเกี่ยวกับภารกิจถัดไปแล้ว”

 

“ภายนอกทุ่งน้ำแข็งนี้ มีวิหารอันวิจิตรงดงามอยู่”

 

“ในสมัยโบราณอันไกลโพ้น เทพบรรพกาลยังคงสถิตอยู่ในโลกใบนี้ และพวกเขาก็ได้สร้างวิหารดังกล่าวขึ้น เพื่อเฝ้ามองสิ่งมีชีวิตทั้งมวลที่เกิดจากน้ำมือของพวกเขา”

 

“คุณจะต้องไปที่นั่น และทำพิธีของเทพบรรพกาลให้สำเร็จลุล่วง”

 

“แล้วรายละเอียดของพิธีล่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“ไปถึงแล้วก็จะรู้เอง”

 

“เอาล่ะ ตอนนี้คุณก็เริ่มเดินทางได้แล้ว”

 

พร้อมกันกับคำอธิบายนี้ของเชื้อไฟ บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ก็ปรากฏเครื่องหมายภารกิจขึ้นมาทันที

 

“โปรดกำหนดภารกิจด้วย”

 

เมื่อต้องเผชิญกับคำถามของระบบเทพสงคราม กู่ฉิงซานก็ครุ่นคิดอย่างเงียบๆ “เราจะยังไม่ปล่อยภารกิจ ทันที จำเป็นที่จะต้องทำการสำรวจก่อนเป็นอันดับแรก”

 

เขาเบนสายตามองไกลออกไป

 

ณ ปลายสุดของทุ่งน้ำแข็งอันกว้างใหญ่ ปรากฏภูเขาน้ำแข็งสูงตระหง่านลูกแล้วลูกเล่าเชื่อมต่อๆกันไป มิอาจหาจุดสิ้นสุดได้

 

และหนึ่งในบรรดายอดภูเขาน้ำแข็งทั้งหลาย ก็มีสิ่งปลูกสร้างอันงดงามตั้งอยู่

 

สิ่งปลูกสร้างที่อยู่บนยอดเขา ทั้งหมดทั้งมวลคล้ายกับว่าถูกสร้างขึ้นมาจากหิมะและน้ำแข็งโดยสิ้นเชิง มองจากระยะไกล ช่างดูวิจิตรและงดงามเหลือเกิน

 

กู่ฉิงซานจมลงสู่ห้วงความคิด

 

ตอนนี้ ซูเซี่ยเอ๋อได้รับการช่วยเหลือไปแล้ว ดังนั้นความต้องการเดียวที่ยังเหลืออยู่ของเขาก็คือการกำจัดเชื้อไฟ

 

แต่เมื่อครู่ … ยังไม่ลืมใช่ไหมว่าเชื้อไฟได้แสดงให้เห็นถึงราชามารวิญญาณมรณะขึ้นมา

 

ตรงจุดนี้สามารถบ่งบอกได้อย่างหนึ่ง

 

ว่าถึงแม้ผู้เข้าสู่วิถีมารจะไม่อาจสะสมแต้มพลังวิญญาณเพื่อทำการอัญเชิญราชามารวิญญาณมรณะออกมาได้ก็ตามที แต่สำหรับเชื้อไฟแล้ว มันสามารถเรียกเจ้าตัวที่ว่าออกมาได้ตลอดเวลา!

 

นี่แหละคือปัญหา

 

เพราะถึงแม้หลังจากที่มีพื้นฐานวรยุทธในขอบเขตประทับเทพขั้นปลาย กู่ฉิงซานจะมิได้หวาดเกรงอสูรกายดัดแปลงเหมือนดั่งเช่นในก่อนหน้านี้อีกต่อไปแล้วก็ตามที

 

ทว่าหากเป็นราชามารวิญญาณมรณะ ที่เป็นอสูรกายประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหลแล้วล่ะก็ … มันย่อมต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าอสูรกายประเภทดัดแปลงอย่างเทียบไม่ติด! มันมิใช่สิ่งที่เขาสามารถรับมือได้ไหวอย่างแน่นอน

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็หลับตาลงเล็กน้อย

 

เขาเริ่มทำการสัมผัสถึงพลังของตนเอง

 

ภายในตันเถียน อุดมไปด้วยพลังวิญญาณ คอยแผ่ขยายไปตามเส้นลมปราณตลอดทั้งร่างกาย เจตจำนงแห่งดาบก็คมชัด ยามเมื่อมันผสานเข้ากับพลังวิญญาณ ก็ย่อมขับเคลื่อนได้ดั่งใจปรารถนา ขณะที่ภายในจิตสัมผัสเทวะเต็มไปด้วยอำนาจ ตราบใดที่เขายื่นมือจีบออกด้วยประทับมนตรา ก็จะสามารถปลดปล่อยเทคนิคมนตราออกมาได้ในทันที

 

กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นมองออกไปอีกครั้ง

 

ท่ามกลางความว่างเปล่าอันกว้างใหญ่ เขาสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง บางสิ่งที่สามารถไขว่คว้ามาเมื่อใดก็ได้หากตนต้องการ

 

นี่คือกฏแห่งฟ้าดินที่กำลังสะท้อน ตอบรับกับตัวเขา

 

ใช่! มันคือสัญญาณบ่งบอกว่าเขากำลังจะทะลวงผ่านขอบเขตประทับเทพได้ในไม่ช้า

 

ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกยุทธ เมื่อใดก็ตามที่สามารถตัดผ่านไปอีกระดับหนึ่งได้ คุณก็จะรับรู้ได้ถึงแรงเหนี่ยวนำ คล้ายกับการดลใจจากกฏของฟ้าดิน

 

และฟ้าดินก็จะส่งมอบงานนี้ให้แด่ทัณฑ์สายฟ้า เมื่อทัณฑ์สายฟ้าปรากฏขึ้น มันก็จะชำระล้างผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งเพียงพอจะข้ามผ่านมันไปได้ แต่ขณะเดียวกันก็จะกำจัดผู้อ่อนแอที่พ่ายแพ้ต่อมันเช่นกัน

 

มีเพียงการเอาชนะ หรือถูกกำจัดเท่านั้น

 

ไม่ว่าจะในโลกไหน หากเป็นผู้ฝึกยุทธแล้วล่ะก็ จะเป็นใครก็ล้วนต้องเผชิญกับโทษทัณฑ์จากสวรรค์กันทั้งนั้น

 

ในใบหยกของโลกล่องเวหา ก็มีบันทึกถึงเรื่องนี้เอาไว้อย่างชัดเจน

 

กฏแห่งฟ้าดินนั้นคือสิ่งที่โหดร้ายเสมอมา

 

แต่พอลองมาคิดดูอีกครั้ง

 

ไม่รู้ว่าต่อจากขอบเขตร่างเทวะ พันวิบัติ ขีดสุดความว่างเปล่า และลมปราณจิต สำหรับผู้ฝึกยุทธแล้วมันจะมีขั้นต่อไปอีกไหมนะ?

 

แล้วผู้ฝึกยุทธ จะก้าวไปสู่ระดับต่อไปได้อย่างไร?

 

ถึงแม้ว่าอาการบาดเจ็บของแบรี่จะยังไม่ฟื้นฟูโดยสมบูรณ์ แต่กู่ฉิงซานก็สามารถตัดสินด้วยสัญชาติญาณได้ว่า ความแข็งแกร่งของแบรี่นั้นเหนือล้ำยิ่งกว่าหวังหงษ์เต๋าเป็นหมื่นเท่า!

 

ถ้าหากเป็นแบบนั้นแล้วล่ะก็ … มันจะมีผู้ฝึกยุทธที่จะสามารถทรงพลังเทียบเท่ากับแบรี่ได้อยู่ไหมนะ?

 

กู่ฉิงซานค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมา

 

เขาหยุดคิด และถอนตัวออกจากห้วงภวังค์

 

ช่างมันเถอะ ดื่มด่ำไปกับจินตนาการอย่างมีสติก็พอ ตอนนี้ก็เริ่มจากก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวก็แล้วกัน

 

ถึงแม้ว่าตนจะสามารถทะลวงขอบเขตประทับเทพมาได้สักพักหนึ่งแล้ว แต่เขาก็ยังมีความรู้สึกบางอย่างอัดแน่นอยู่ในจิตใจไม่เสื่อมคลาย

 

และความรู้สึกเหล่านั้น มันกำลังย้ำเตือนแก่เขาว่า ตอนนี้ยังไม่สมควรแก่เวลาที่จะตัดผ่านไปยังขั้นต่อไป

 

เพราะท้ายที่สุดนี้ หากเทียบเปรียบกับแบรี่ ตัวเขาเองจะอยู่ในขอบเขตประทับเทพ หรือว่าขอบเขตร่างเทวะ ก็แล้วมันจะแตกต่างกันตรงไหน?

 

กู่ฉิงซานกัดฟัน ในที่สุดเขาก็เชื่อมั่นในสัญชาตญาณของตนเอง และล้มเลิกความคิดที่จะตัดผ่านในตอนนี้ไปทันที

 

“ไปกันเถอะ”

 

ฉานนู่พยักหน้า ผลุบกลับเข้าไปในดาบขุนเขาเทวะหกโลกา แล้วซ่อนเข้าไปในความว่างเปล่าเบื้องหลังกู่ฉิงซาน

 

ดาบพิภพและเช่าหยินก็หายไปเช่นกัน

 

กู่ฉิงซานกลับเข้าไปท่ามกลางหมอกเย็น

 

แล้วเขาก็หยิบดิสก์ค่ายกลออกมา ปลดค่ายกลอำพรางทีละชิ้น ทีละชิ้น

 

แล้วร่างของลอร่าก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง

 

เธอยังคงนั่งอยู่บนม้าทมิฬ แต่ขณะเดียวกันก็กำลังตักเค้กกินอย่างช้าๆ

 

“อ้าว จบแล้วหรอ?” เธอถาม

 

“อ่า”

 

“แต่เรายังกินไม่เสร็จเลย” ลอร่างึมงำ

 

“ … ไปกันซักทีเถอะ”

 

กู่ฉิงซานพลิกตัวขึ้นไปบนหลังม้า

 

ลอร่าเลยจำใจต้องเก็บเค้ก แล้วเช็ดมุมปากของเธอ

 

“เจ้าจัดการเร็วเกินไปแล้ว เราอุตส่าห์คิดว่าจะได้พักสักหน่อยแท้ๆ”  เธอบ่น

 

“ก็ถ้าไม่เร่งลงมือให้มันจบๆลงโดยเร็ว เดี๋ยวจะมีปัญหาใหญ่ตามมาน่ะสิ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างหมดหนทาง

 

“ปัญหาใหญ่หรอ?”

 

“อ่า ก็อย่างเช่น พวกเขาจะอัญเชิญบางสิ่งที่มันน่ารำคาญออกมาน่ะ”

 

ระหว่างที่ทั้งสองกำลังสนทนา ม้าทมิฬก็เอ่ยถามขึ้น

 

“ท่านทั้งสองกำลังเร่งรีบหรืออยากชมทิวทัศน์?”

 

“คงต้องรีบแล้วล่ะ – ไม่อย่างนั้นมันจะสายเกินไป” กู่ฉิงซานกล่าว ขณะที่หิมะและลมหนาวพัดขนทั้งคนทั้งร่างเขาลุกชัน

 

“เข้าใจแล้ว”

 

ว่าจบ ม้าทมิฬควบสี่กีบ พุ่งทะยานหายเข้าไปในพายุหิมะ

 

อีกด้านหนึ่ง

 

บนเกาะหมอก

 

ภายใน กรมบังคับกฏ

 

แสงและเงาค่อยๆเลือนลาง

 

กู่ฉิงซานได้หายไปแล้ว

 

จอมมารทะเลเลือดเฝ้ามองซูเซี่ยเอ๋ออย่างลึกซึ้ง โดยมิได้เอ่ยคำใด

 

ทันใดนั้นเอง ซูเซี่ยเอ๋อก็ง้างหัวตัวเอง และเหวี่ยงมันลงกระแทกกับโต๊ะ

 

“นั่นเจ้าคิดจะทำอะไร?” จอมมารทะเลเลือดถาม

 

แล้วเขาก็ดีดนิ้วดังเป๊าะ

 

พริบตานั้นบนโต๊ะก็ถูกปกคลุมไปด้วยหมอนนุ่มๆทันที

 

ซูเซี่ยเอ๋อฝังหน้าตนเองอยู่ในหมอน ร่ำร้องออกมา “น่าอับอายเหลือเกิน”

 

จอมมารทะเลเลือดหัวเราะ และปลอบใจเธอ “ดาบของเขามันแพรวพราว เจ้าเล่ห์ไม่เบาก็จริง แต่ยังไงซะ เขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าอยู่ดี

 

“จริงๆหรือ?” ซูเซี่ยเอ๋อเงยหน้าขึ้นเอ่ยถาม

 

“ใช่สิ ตราบใดที่เจ้ามีเวลามากพอในการร่ายเทคนิคมนตรา เจ้าก็จะสามารถมอบความพ่ายแพ่ให้แก่เขาได้โดยสมบูรณ์” จอมมารทะเลเลือดวนแก้วไวน์ในมือ ปากเอ่ยอย่างภาคภูมิ

 

‘จะบ้าหรือท่านอาจารย์!? ถ้าถึงเวลาสู่จริงๆ ใครมันจะไปรอให้อีกฝ่ายร่ายคาถายาวเหยียดจนจบกัน?’

 

ซูเซี่ยเอ๋อฝังหัวของเธอลงในหมอนอีกครั้งและกล่าว “ท่านอาจารย์ .. อย่ามาให้ความหวังผิดๆกับหนูแบบนี้เลย”

 

จอมมารทะเลเลือดยิ้ม กล่าวอย่างจริงจัง “เจ้าทราบหรือไม่ว่ามีคนที่ใช้อาวุธเย็นมากมายเพียงใดกัน ที่ไม่สามารถเรียนรู้วิธีการต่อสู้เช่นเดียวกับเขาได้?”

 

“ในด้านพละกำลัง เทคนิค และการเคลื่อนไหว เขาอาจจะไม่แข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้คนอีกมากมายก็จริง ทว่าข้ากลับไม่เคยพบเจอกับคนที่ยังเยาว์วัยเท่าเขา แต่กลับสามารถเติบใหญ่ได้อย่างไร้เหตุผลถึงเพียงนี้มาก่อนเลย”

 

“นั่นมันก็ฟังดูไม่มีเหตุผลจริงๆ” ซูเซี่ยเอ๋อเงยหน้าขึ้น เอ่ยถามซอกแซก “ว่าแต่อาจารย์ต้องการจะสื่ออะไรกันแน่?”

 

“ข้ากำลังจะสื่อว่า ต่อให้เจ้ามีสกิลดาบนับหมื่นพัน ทว่าหากเขาใช้เพียงดาบเดียวปลิดชีวิตเจ้าได้ แล้วเจ้าจะมีสกิลดาบนับหมื่นพันไปไว้เพื่ออะไรกัน?”

 

“ทั้งหมดก็ประมาณนี้” จอมมารทะเลือดยกไวน์ขึ้นจิบ แล้วเอ่ยต่อ “คนแบบเขา ไม่รู้ว่าได้พบเจอกับประสบการณ์หรือเรื่องราวแบบใดมา จึงสามารถทำได้ถึงเพียงนี้ทั้งๆที่ยังเยาว์วัยอยู่”

 

“และอีกอย่าง อันที่จริงแล้วเจ้าไม่ควรที่จะวางกับดักเขาเลย”

 

“เอ๋? เพราะอะไรคะ?” ซูเซี่ยเอ๋อค่อนข้างสับสน

 

“เพราะเจ้าสามารถต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาได้ ปล่อยให้เขาพุ่งไปข้างหน้า ขณะที่เจ้าคอยสนับสนุนเขาในฐานะผู้ใช้ไพ่จากเบื้องหลัง – หากเป็นในกรณีนี้ จะนับว่าเป็นการจับคู่ที่ลงตัวทีเดียว” จอมมารทะเลเลือดกล่าว

 

“การต่อสู้แบบนี้ จะช่วยให้เจ้ากับเขาสามารถเข้าใจกันและกันได้มากขึ้น พัฒนาอารมณ์ ความรู้สึกที่มีต่อกันให้ยิ่งลึกซึ้งขึ้นไปได้อีกระดับ”

 

“เจ้าจะยังคงสามารถอยู่ในโลกของทริสเต้ได้ต่อไป แถมวันเวลาเหล่านั้นย่อมจะกลายมาเป็นความทรงจำอันแสนล้ำค่าอย่างแน่นอน”

 

“ท้ายที่สุดนี้ ต้องรู้นะว่าในระหว่างการต่อสู้นี่แหละ คือช่วงเวลาที่จะสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของกันและกันได้ง่ายที่สุดล่ะ”

 

ซูเซี่ยเอ๋อนิ่งงันไป

 

“อ้ากกกกกกกกกก เสีย – ดาย – จริงๆ!”

 

เธอฝังหัวลงในหมอน กรีดร้องตะโกนสุดเสียง

 

หลังจากที่ได้เห็นปฏิกริยาของซูเซี่ยเอ๋อ จอมมารทะเลเลือดก็แสดงออกถึงความพึงพอใจ

 

“แล้วเจ้าวางแผนจะทำอะไรต่อไป?”

 

เขาเฝ้ารอสักพักจึงเอ่ยถาม

 

“ถ้าเรื่องนี้จบลง หนูจะไปขอโทษเขา” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว

 

น้ำเสียงของเธอฟังดูอดสูยิ่ง

 

จอมมารทะเลเลือดนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยว่า “เอาเถอะ การต่อสู้นี้ก็ได้จบลงแล้ว ถ้าเจ้าไม่อยากดู ข้าจะหยุดเทคนิคนี้ทันที – ว่าแต่เจ้าศิษย์รักเอ๋ย ยังอยากจะดูเขาต่อสู้ต่อไปอีกหรือไม่?”

 

ซูเซี่ยเอ๋อยกศีรษะขึ้นทันใด ดวงตาของเธอกระจ่างใส ผงกหัวรัวๆราวไก่จิกเมล็ดข้าว

 

จอมมารทะเลเลือดหัวเราะ และเริ่มร่ายคาถา

 

ม่านแสงและเงาที่พร่ามัว กลับกลายเป็นคมชัดขึ้นอีกครั้ง

 

กู่ฉิงซานปรากฏตัวขึ้นอีกครา

 

เขากำลังควบม้าทมิฬ มุ่งหน้าไปยังภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ไกลออกไป

 

ซูเซี่ยเอ่อจดจ้องไปยังกู่ฉิงซานตาไม่กระพริบ

 

เธอดูมีสมาธิและจริงจังมาก

 

จอมมารทะเลเลือดมองเห็นสีหน้าของซูเซี่ยเอ๋อ เขาก็ผ่อนคลายลง

 

“เจ้าดูไปก่อนนะ อาจารย์ขอออกไปทำธุระข้างนอกสักครู่”

 

“เจ้าค่ะ”

 

จอมมารทะเลเลือดเดินออกจากห้องไป

 

แล้วเขาก็วางเทคนิคมนตราป้องกันรอบๆกรมบังคับกฏอีกที

 

“เจ้าพวกฝูงไก่อ่อนแอ ที่มัวเมาอยู่แต่กับพลังอำนาจจอมปลอม กล้าที่จะมาทำร้ายศิษย์ของข้าอย่างงั้นเรอะ?” เขาบ่นพึมพำ

 

เฝ้ารอจนกระทั่งเทคนิคมนตรานี้เสร็จสมบูรณ์ จอมมารทะเลเลือดก็ปรบมือด้วยความพอใจ

 

แล้วจู่ๆเขาก็หายวับไปทันที

 

วินาทีต่อมา เขาก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางกระแสมิติอันเชี่ยวกราด ซึ่งอยู่ห่างจากอัลเบอัสราวๆ 12 ชั้นโลก

 

พอสัมผัสได้ถึงการเหนี่ยวนำเล็กน้อย จอมมารทะเลเลือดก็พึมพำด้วยความพอใจ “ดีล่ะ ไม่มีใครค้นพบถึงตัวของข้าได้”

 

“ถ้าอย่างงั้นล่ะก็ ก่อนที่สงครามเต็มรูปแบบจะปะทุขึ้น คงต้องลองค้นหาที่ซ่อนตัวของพวกมันให้เจอก่อนเป็นอันดับแรก …”

 

จอมมารทะเลเลือดเพียงเอ่ย ไพ่ที่สาดแสงสีเลือดหลายสิบใบก็ผลุบออกมาทันที

 

และพวกมัน ก็ลอยหายไปตามกระแสลมในมิติที่ว่างเปล่า