บทที่ 222 เซียนแพทย์เทวะลงเขา

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

จางรั่วถงทั้งฉลาด บริสุทธิ์ และรู้ความเป็นอย่างมาก ในใจของเธอคิดว่าเย่เทียนเฉินเป็นคนดีคนหนึ่ง ถึงแม้ดูผิวเผินจะดูพึ่งพาไม่ได้และชอบทำตัวเรื่อยเฉื่อยอยู่บ้าง แต่ในตอนที่เขาลงมือก็จะจริงจัง มีเสน่ห์ของพี่ใหญ่

สรุปแล้วเย่เทียนเฉินได้ช่วยตนเองและช่วยกำจัดพิษให้มู่หรงซิน ในใจของจางรั่วถงเย่เทียนเฉินก็เลยเห็นว่าเป็นคนดี เป็นเหมือนพี่ใหญ่ที่ทำให้เธอคิดจะใช้เวลาด้วยให้มากขึ้น

“งั้นพวกเราก็ตกลงตามนี้ บอกก่อนว่าฉันเป็นคนกินเยอะ ถึงตอนนั้นเธอก็อย่ารู้สึกว่าเป็นการรบกวนก็แล้วกัน!” เย่เทียนเฉินยืนขึ้นบิดขี้เกียจด้วยความพึงพอใจ จากนั้นจึงพูดกับจางรั่วถงด้วยรอยยิ้ม

“จะเป็นแบบนั้นได้ไงคะ ขอแค่พี่มาเยี่ยมหนูบ้าง หนูก็จะทำของอร่อยๆ ให้พี่กิน!”

“งั้นก็เอาตามที่เธอพูด มาเกี่ยวก้อยสัญญากันเถอะ!”

เย่เทียนเฉินเองก็มีความประทับใจต่อจางรั่วถงไม่เลวเลยเช่นกัน ถึงแม้ทั้งสองจะเพิ่งได้พบหน้ากัน แต่ก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ระหว่างคนสองคนความจริงใจก็คือกุญแจสำคัญ เย่เทียนเฉินสามารถรับรู้ได้จากสายตาและคำพูดของจางรั่วถงว่าเด็กสาวคนนี้เป็นคนดีอย่างแท้จริง ทำให้เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะต้องการรู้จักน้องสาวตัวน้อยให้มากขึ้น

“ค่ะ!” จางรั่วถงเองก็ยื่นนิ้วก้อยมือขวาของเธอออกไป เกี่ยวก้อยกับเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“เอาล่ะ ฉันกับคุณปู่ของเธอจะออกไปข้างนอกสักพัก เธอก็ทำอะไรของเธอไปเถอะ!”

เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินเดินออกไปจากห้องกินข้าวอย่างเบิกบานใจ จางรั่วถงก็เก็บถ้วยเก็บตะเกียบ เธอคิดถึงเรื่องที่เพิ่งจะเกี่ยวก้อยกับเย่เทียนเฉินเมื่อสักครู่นี้ก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดง ตั้งแต่เล็กจนโต นี่เป็นครั้งแรกที่มีผู้ชายมาแตะต้องตัวเธอ ยิ่งไปกว่านั้นจางรั่วถงยังไม่รู้ว่าทำไม เมื่อคืนเธอถึงฝันว่าได้พบกับเย่เทียนเฉิน ฝันเห็นเรื่องที่เขาแก้พิษให้มู่หรงซินอย่างบริสุทธิ์ใจ ฝันเห็นเงาร่างอันหล่อเหลาของเขากำลังสู้กับคาเอดะอิจิโร่

หัวใจของเด็กสาวค่อยๆ เต้นแรง จางรั่วถงอดไม่ได้ที่จะย้อนคิดไปถึงภาพนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างต่างก็เกี่ยวข้องกับเย่เทียนเฉิน โดยเฉพาะรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเย่เทียนเฉิน คำพูดอันธพาลที่ดูไร้แก่นสารของเขายิ่งทำให้เธอรู้สึกว่ามีเสน่ห์

ในตอนที่เย่เทียนเฉินเดินไปถึงลาน พบว่าจางอีเต๋อพกล่องยานั่งอยู่ข้างโต๊ะหินในลานก่อนแล้ว ชายชราที่ทั้งผมและหนวดเคราขาวโพลนไปหมดแล้วคนนี้มีท่าทางราวกับเซียน ในฐานะที่เป็นเซียนแพทย์เทวะ เย่เทียนเฉินรู้ว่าชีวิตของจางอีเต๋อในตอนนี้สงบสุขมาก หากไม่ใช่เพราะมู่หรงอวี๋ตูมาหาเขา เขาคงไม่ปรากฏตัวออกมาสู่โลกภายนอกเป็นอันขาด

จางอีเต๋อสามารถรักษาให้ประชาชนคนธรรมดาทั่วไปได้โดยที่ไม่คิดเงิน แต่ก็ไม่แน่ว่าผู้มีเงินทองหรือผู้มีอำนาจจะสามารถเชิญเขาไปได้ นี่คือหลักการในการรักษาคนของจางอีเต๋อ จะไม่แบ่งแยกผู้ป่วยจากทรัพย์สินเงินทองหรืออำนาจเป็นอันขาด นี่จึงจะเป็นภาวะสูงที่สุดของผู้เป็นหมอ จิตใจโอบอ้อมอารีของผู้เป็นหมอที่ประดุจดั่งบุพการีต่างก็ปรากฏอยู่ในนี้แล้ว

“ผู้อาวุโสจาง ผมขอเตือนคุณไว้สักหน่อย ผู้ป่วยที่ผมคิดจะเชิญคุณไปรักษานั้นป่วยเป็นโรคมะเร็ง และยังเป็นระยะสุดท้ายด้วย มีชีวิตอยู่ได้เพียงแค่ไม่กี่เดือน!” เย่เทียนเฉินเดินไปเบื้องหน้าจางอีเต๋อ มองจางอีเต๋อแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง

“ไปดูสักหน่อยก็แล้วกัน โรคมะเร็งเป็นโรคที่ในสังคมปัจจุบันนี้รักษาไม่หาย ผมเองก็ไม่แน่ว่าจะทำได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถทำให้เธอมีชีวิตยืนยาวไปได้อีกหลายปี นี่เป็นข้อจำกัดที่สุดแล้ว!” จางอีเต๋อกล่าวตามจริง

เย่เทียนเฉินพยักหน้า เขารู้ว่าจางอีเต๋อไม่ได้พูดโกหก โรคมะเร็งในช่วงยุคสิ้นโลกอาจจะไม่นับว่าเป็นอะไรได้ แต่หากต้องการรักษาให้หายในโลกแห่งนี้นับเป็นเรื่องเพ้อฝันอย่างแน่นอน ปัญหาที่สำคัญก็คือขาดแคลนยารักษาโรคประเภทนี้ ไม่เหมือนกับในช่วงยุคสิ้นโลกที่มีความพิสดาร มีกระทั่งยาที่สามารถทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาได้

จางอีเต๋อและเย่เทียนเฉินเดินออกมาจากลานบ้านตระกูลจาง ในตอนที่พวกเขาเพิ่งจะเดินไปถึงประตูนั้น จางรั่วถงก็ตามมา ในมือถือกล่องข้าวกล่องนึง เธอส่งไปให้เย่เทียนเฉินแล้วพูดว่า “พี่เทียนเฉิน หนูเห็นว่าพี่ชอบกินเนื้อกระต่ายน้ำแดงนี้มาก ยังเหลืออยู่อีกหน่อย พี่เอากลับไปกินเถอะ!”

“หือ? งั้น…ฉันก็เขินแย่น่ะสิ?”

เย่เทียนเฉินพูดว่าเขินไปพลาง หยิบกล่องข้าวที่จางรั่วถงส่งมาให้ไปพลาง จางรั่วถงเห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มหวานออกมา ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

จางอีเต๋อมองหลานสาว ในสายตาเจือไปด้วยความกังวล ในขณะเดียวกันก็มองไปยังเย่เทียนเฉิน ราวกับตัดสินใจเรื่องอะไรบางอย่างได้ เขาโบกมือเรียกรถแท็กซี่คันหนึ่ง จากนั้นจึงเข้าไปนั่ง เย่เทียนเฉินเองก็ตามเข้าไปนั่งที่ตำแหน่งข้างคนขับหลังจากยิ้มบอกลาจางรั่วถงเรียบร้อยแล้ว

“คุณคนขับครับ ไปโรงพยาบาลเมืองหลวง!” เย่เทียนเฉินมองเนื้อกระต่ายน้ำแดงที่ส่งกลิ่นหอมในกล่องข้าว อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาแล้วหัวเราะฮี่ๆ

ไม่กล่าวไม่ได้ว่า ฝีมือการทำอาหารของจางรั่วถงดีมากจริงๆ หลังจากที่กลับมาเกิดใหม่ในสังคมเมือง เย่เทียนเฉินก็กินอาหารเลิศรสไปไม่น้อย เขามีความพิถีพิถันในการเลือกกินมาก ฝีมือการทำอาหารของหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ก็ดีมากเช่นเดียวกัน ส่วนเย่เชี่ยนเหวินนั่นน่ะเหรอ เขาไม่กล้าชมเชยเลยจริงๆ แน่นอนว่ายังมีอีกคนหนึ่งที่เย่เทียนเฉินอยากจะลืมก็ลืมไม่ลง นั่นก็คือฉีหรูเสวี่ย ถึงแม้เย่เทียนเฉินจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับฉีหรูเสวี่ย แต่ก็ยังเห็นเธอเป็นเพื่อน การที่ทั้งสองทะเลาะกันก็เป็นเรื่องปกติ แต่มีจุดหนึ่งที่เย่เทียนเฉินจำเป็นต้องยอมรับ นั่นก็คืออาหารที่ฉีหรูเสวี่ยทำรสชาติไม่เลวเลยจริงๆ โดยเฉพาะกุ้งมังกรที่เรียกได้ว่ากินร้อยครั้งก็ไม่เบื่อ

“คุณมีแฟนหรือยัง?” ทันใดนั้นจางอีเต๋อก็มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วเอ่ยถามออกมา

“ถามทำไมเนี่ย? ผมบอกคุณไว้ก่อนนะ รสนิยมทางเพศของผมปกติมาก ยิ่งคนแก่ผมยิ่งไม่สนใจ!” เย่เทียนเฉินจงใจพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

ใบหน้าของจางอีเต๋อมืดครึ้ม รู้สึกอยากอัดเย่เทียนเฉินแรงๆ สักครั้ง คนคนนี้บางทีก็กวนประสาทเกินไปแล้ว หากไม่ได้อยู่บนรถแท็กซี่ กลัวว่าจะทำให้คนขับรถตกใจ เกรงว่าจางอีเต๋อที่มีอายุเกือบร้อยปีคงจะทนไม่ไหวไปแล้ว

“ไม่มีอะไร ถามดูเฉยๆ!” จางอีเต๋อพูดด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

“ฮี่ๆ คนหล่อสง่างามอย่างผม มีออร่าซะยิ่งกว่าหิ่งห้อยตอนกลางคืนอีก เป็นเหมือนกับเต่าทองคำในท้องนา เอาวางไว้ที่ไหนก็เปล่งประกายที่นั่น ผู้หญิงสวยๆ ที่ตามจีบผมเยอะมาก แต่ก็ยังไม่เจอผู้หญิงที่ผมถูกใจมาก่อน ผมรอคอยเธอมาโดยตลอด…” เย่เทียนเฉินเก๊กพูดอย่างจริงจังแล้วมองไปเบื้องหน้า

จางอีเต๋ออับจนคำพูดแล้วจริงๆ ชายชราอายุเกือบร้อยปีกับเด็กหนุ่มอายุยี่สิบปีแบบเย่เทียนเฉิน หาหัวข้อเรื่องมาพูดคุยกันยากมาก กลับเป็นคนขับรถด้านข้างที่อายุประมาณสี่สิบปีซึ่งดูเป็นคนร่าเริงและช่างพูดช่างเจรจา เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มแล้วพูดออกมา “เด็กหนุ่มที่ยังอายุน้อยและมั่นใจในตัวเองอย่างคุณมีไม่มากเลยจริงๆ คนหนุ่มสาวก็ควรจะมีความร่าเริง คุณคนที่อยู่ด้านหลังเป็นคุณปู่ของคุณหรอ? สุขภาพดีมากจริงๆ อายุยืนยาวนับร้อยปี!”

เมื่อได้ยินคำพูดของคุณลุงคนขับรถ เย่เทียนเฉินก็รู้สึกเอือมระอา ถึงกลับคิดว่าจางอีเต๋อเป็นคุณปู่ของเขา ส่วนจางอีเต๋อก็ยิ้มอย่างได้ใจ มองท่าทางเซ็งๆ ของเย่เทียนเฉิน เด็กหนุ่มที่วันๆ เอาแต่ล้อเล่นพูดจาเรื่อยเฉื่อยแบบเขาก็มีช่วงเวลาที่เสียเปรียบด้วย?

สำหรับยอดฝีมืออย่างเย่เทียนเฉินและจางอีเต๋อย่อมไม่คิดเล็กคิดน้อยกับคนธรรมดาทั่วไป โดยเฉพาะคนธรรมดาที่มีจิตใจดีงามแบบนี้ ผู้อื่นเขาคุยกับคุณด้วยเจตนาดี ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นมิตรมากด้วย ต่อให้จะเข้าใจผิดก็ไม่ควรที่จะไปอัดคนอื่นเขามั่วๆ

“คุณลุงคนขับรถ สายตาของคุณดีจริงๆ มองแป๊บเดียวก็รู้เลย แต่ผมกับเขาไม่ใช่ปู่หลานกัน!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

 “เอ๋? ขะ ขอโทษด้วยครับ ผมดูผิดไปแล้ว ขอโทษน้องชายจริงๆ !” คนขับรถแท็กซี่พูดด้วยรอยยิ้ม

“ไม่เป็นไร!” เย่เทียนเฉินพยักหน้าแล้วพูดขึ้น

“ไม่ต้องพูดถึงเขาหรอก แต่คุณเรียกผมว่าคุณปู่ก็สมควรแล้ว ผมอายุร้อยปีแล้ว พวกคุณเพิ่งจะเท่าไหร่กันเชียว รีบเรียกคุณปู่สิ!” จางอีเต๋อในตอนนี้ก็เริ่มพูดจาหยอกล้อขึ้นมา

ในตอนนี้เองทำให้เย่เทียนเฉินและคนขับรถรู้สึกอับจนคำพูด ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ดจริงๆ ล้อเล่นน่า พวกผู้เฒ่าเหล่านี้ตอนที่คิดจะหยอกล้อขึ้นมา รับประกันได้เลยว่าไม่ว่าใครก็ต้องหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้

จนกระทั่งถึงเวลาประมาณบ่ายสอง เย่เทียนเฉินและจางอีเต๋อจึงได้มาถึงโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวง เย่เทียนเฉินโทรหาเสี้ยวหยา ให้เธอรีบมาที่โรงพยาบาลแห่งเมืองหลวง บอกว่ามีเซอร์ไพรส์ให้เธอ

เมื่อเย่เทียนเฉินพาจางอีเต๋อเดินเข้าไปในห้องผู้ป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาจึงพบว่าเสี้ยวหยารออยู่ด้านในแล้ว เธอกำลังคุยเล่นกับแม่อย่างเบิกบานใจ สีหน้าของแม่ของเสี้ยวหยายังคงซีดขาวเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกับเมื่อหลายวันก่อนก็ดูซีดลงไปไม่น้อยเลยทีเดียว ท่าทางผู้อำนวยการของโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงจะไม่ได้โกหกเขา แม่ของเสี้ยวหยาอยู่ได้ไม่นานนัก อย่างมากที่สุดก็อยู่ได้อีกครึ่งปี

“หยาเอ๋อร์ คนๆ นี้คือปรมาจารย์จาง มีฝีมือทางการแพทย์ยอดเยี่ยมมาก จะต้องรักษาแม่ของเธอได้แน่ เขารับปากฉันแล้ว!” เย่เทียนเฉินแนะนำจางอีเต๋อให้เสี้ยวหยาด้วยรอยยิ้ม

“คุณปู่จางสวัสดีค่ะ ขอบคุณที่มารักษาให้แม่ของหนู!” เสี้ยวหยามองไปยังจางอีเต๋อด้วยความซาบซึ้งใจ พูดจาอย่างมีมารยาท

“อืม!” จางอีเต๋อพยักหน้า มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างไม่สบอารมณ์ คนคนนี้ยังไม่ทันได้รับคำอนุญาตจากตนเองก็บอกไปว่าสามารถรักษาอาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาได้ ไม่มีความรับผิดชอบเลยจริงๆ

เสี้ยวหยายืนอยู่ด้านข้าง เย่เทียนเฉินมองเธอแล้วยิ้มพลางพยักหน้าให้ เขาไม่ต้องการเห็นเสี้ยวหยาเจ็บปวดใจ ผู้หญิงที่จิตใจดีงามคนนี้ คนที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาแบบนี้ กล่าวได้เลยว่าในใจไม่มีความคิดสกปรกเลยแม้แต่น้อย รวมกับที่เธอมีหน้าตาเหมือนผู้หญิงที่เย่เทียนเฉินรักอย่างลึกซึ้งในช่วงยุคสิ้นโลก ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกปล่อยวางไม่ได้ ปล่อยวางความคิดถึงลงไปไม่ได้

จางอีเต๋อไม่ได้พูดอะไรมาก เขาและเย่เทียนเฉินได้เดิมพันกันไว้แล้ว ในเมื่อเย่เทียนเฉินสามารถรักษาพิษให้มู่หรงซินได้ก็นับว่าได้ช่วยเขาและจางรั่วถงผู้เป็นหลาน เพื่อที่จะทำตามสัญญา การมารักษาให้แม่ของเสี้ยวหยาก็นับว่าสมควรแล้ว

เมื่อเห็นจางอีเต๋อนั่งลงข้างเตียงผู้ป่วยของแ่ของเสี้ยวหยา และยังใช้วิธีการที่เก่าแก่ที่สุดของหมอแผนจีน นั่นคือมองดมถามแมะ ซึ่งเป็นวิธีในการจับชีพจรให้ผู้ป่วย และไม่ได้ทำให้รู้สึกว่ามีจุดแปลกหรือพิสดารอะไร มีเพียงเย่เทียนเฉินที่สัมผัสได้ถึงพลังพิเศษอันแปลกประหลาดสายหนึ่ง นี่คงจะเป็นพลังพิเศษในสายรักษาของจางอีเต๋อที่ใช้ออกมาเป็นพิเศษ สามารถตรวจสอบอาการป่วยใดๆ ก็ตามในร่างกายของผู้ป่วยได้อย่างกระจ่างชัดแม่นยำ

“วางใจเธอ แม่ของเธอจะต้องไม่เป็นอะไรแน่ จะต้องดีขึ้นแน่นอน!” เย่เทียนเฉินพูดออกมากลับเสี้ยวหยาอย่างมาดเท่

…………………..