ตอนที่ 31 ขอความช่วยเหลือ

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน

ตอนที่ 31 ขอความช่วยเหลือ

หลังจากนั้นไม่กี่นาที ฟางผิงก็เดินออกมาจากห้อง 201

ฟางผิงปิดประตู ในมือยังถือถุงพลาสติกสีดำใบหนึ่ง

เขาไม่ได้เอาเงินสดพวกนั้นมา มีดทหารเล่มนั้นก็เช่นกัน คว้ามาเพียงยาบำรุงหกขวด

ยาพวกนี้ราคาสูงอย่างยิ่ง ฟางผิงไม่อยากจะทิ้งไว้ที่นี่ หากถูกมือดีขโมยไป เขาคงร้องไห้ไม่ออกเป็นแน่

ส่วนหวงปิน ถูกฟางผิงอุดปากอีกครั้ง ก่อนจะยัดไปไว้ใต้เตียง

เมื่อออกมากจากที่พัก ฟางผิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ฉันเอายาพวกนั้นออกมาแล้ว ยังไม่นับรวมในทรัพย์สินอีก เป็นเพราะไม่ถูกเงื่อนไข หรือของพวกนี้นับรวมเป็นทรัพย์สินไม่ได้ นับเพียงเงินสดเท่านั้น?”

“ปัญหาคงจะไม่ใช่ที่เงินสด ยังไงเมื่อกี้ฉันก็ลองจับเงินมาแล้ว”

ฟางผิงครุ่นคิดในใจพักหนึ่ง เดาว่าเงินและยาพวกนี้ ยังไม่นับว่าเป็นของเขาโดยสมบูรณ์

หากจัดการเรื่องนี้ได้ไม่ดี ท้ายที่สุดของพวกนี้อาจจะไม่ตกเป็นของเขาก็ได้

ค่าทรัพย์สินไม่เพิ่มขึ้น ยังไม่ใช่เรื่องที่ฟางผิงร้อนใจ

เรื่องเร่งด่วนในยามนี้คือจัดการปัญหาใหญ่อย่างหวงปินต่างหาก

เขาจับคนได้แล้ว ตามแผนเดิมคือส่งให้ตำรวจก็เพียงพอแล้ว

แต่ยามนี้ฟางผิงไม่อยากจะส่งคนเข้าไปตรงๆ เช่นนี้

หวงปินไม่ใช่คนใบ้ หากถึงมือตำรวจย่อมบอกเรื่องที่ตัวเองเอาของของเขามา ตอนนี้ตัวเองรับมือกับแรงกดดันของตำรวจไม่ได้หรอก

ฟางผิงคิดดูแล้ว เรื่องนี้จำเป็นต้องให้คนอื่นช่วย อย่างน้อยก็ช่วยกันแบ่งรับแรงกดดัน

อย่างมากก็ทรัพย์สินพวกนี้คนละครึ่ง

หากฟางผิงมีความสามารถจัดการเรื่องราวได้ จากนิสัยของเขาย่อมกอบโกยเพียงคนเดียว

แต่ยามนี้เขายังไร้ความสามารถ

จึงทำได้เพียงยอมแบ่งผลประโยชน์ แก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าไปก่อน ยังไงก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

จะหาใครมาช่วยแบ่งเบาแรงกดดันดี?

ในสมองฟางผิงพลันปรากฏเงาของหวังจินหยางขึ้นมา

นี่เป็นเพราะอับจนหนทาง ไม่ใช่ว่าเขาล่วงรู้เรื่องที่หวังจินหยางกำลังตามจับหวงปิน

และฟางผิงก็รู้จักผู้ฝึกยุทธ์เพียงคนเดียว!

ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ ย่อมไม่มีความสามารถจัดการกับเรื่องนี้ ไม่ว่าจะพ่อแม่หรืออาจารย์ที่โรงเรียน รวมทั้งคนอื่นๆ ที่ฟางผิงรู้จักเช่นกัน

ในหมู่คนที่เขารู้จัก คนเดียวที่มีความสามารถ ทั้งมีโอกาสที่เขาจะยอมรับทรัพย์สินพวกนี้ มีเพียงหวังจินหยางคนเดียวเท่านั้น

นอกจากนี้หวังจินหยางยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ นี่ก็เป็นฐานะที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง

ฟางผิงมีโอกาสทำความรู้จักกับอีกฝ่ายแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ไม่อาจนับได้ว่าเข้าใจตัวตนอีกฝ่ายมากมายนัก

แต่จากคำพูดคำจาก็พอคาดเดาได้ว่า หวังจินหยางไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร

แม้ว่าจะแบ่งกันไม่ลงตัว มีความเป็นไปได้ที่หมอนั่นจะฮุบกินคนเดียว แต่ก็ไม่ถึงกับเอาชีวิตเขาหรอก

เขาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ เป็นผู้ฝึกยุทธ์อย่างเป็นทางการ อนาคตไกลไม่รู้ตั้งเท่าใด

เพื่อเงินไม่กี่ล้าน จะยอมฆ่าตัวเองเพื่อชุบมือเปิบนั้นเป็นไปได้น้อย

ส่วนผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด นั่นก็คือหวังจินหยางอาจจะชิงผลประโยชน์ทั้งหมดไปคนเดียว

แต่หากดีหน่อย หวังจินหยางอาจจะแบ่งเอาส่วนใหญ่ไป เหลือให้เขาส่วนหนึ่ง

หากดีขึ้นมาอีกหน่อย ก็จะเป็นดังที่ฟางผิงคาดการณ์ แบ่งกันคนละครึ่ง สำหรับฟางผิงแล้ว นี่เป็นตอนจบที่ดีที่สุด

เมื่อตรึกตรองเรื่องราวดีแล้ว มั่นใจว่าตัวเองปลอดภัย ฟางผิงก็ตัดสินใจทันที

ยามนี้ ความคิดเดียวของฟางผิงก็คือเขายังอ่อนแอเกินไป

หากเขาแข็งแกร่งกว่านี้ กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ชุบมือเปิบจะนับเป็นเรื่องอะไร?

จับคนร้ายหนีคดีได้ ไม่ทันระวังจึงทำอีกฝ่ายตาย ก็นับว่าเป็นการป้องกันตัวเอง ทางการของหยางเฉิงจะทำอย่างไรกับเขาได้?

ผู้ฝึกยุทธ์ของหยางเฉิงมีไม่มาก ตำแหน่งเป็นที่น่านับถือ

แม้จะรู้ว่าเขาคิดจะชุบมือเปิบ ก็คงไม่อาจทำอะไรได้

แต่ยามนี้ยังไม่ได้ เขาเป็นเพียงนักเรียนมอปลาย ใครจะเห็นความสำคัญของเขากัน

ไม่ว่าหวงปินจะตายหรือส่งเขาให้ตำรวจ ขอเพียงแค่ตรวจสอบว่าฟางผิงมีส่วนเกี่ยวข้อง ฟางผิงก็อย่าได้คิดจะได้ประโยชน์อะไรเลย

อย่างมากก็มีเพียงรางวัลสำหรับผู้กล้าหาญให้เขาเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น

แต่เทียบกับทรัพย์สินหลายล้านนั้นแล้ว รางวัลเล็กน้อยจะสู้ได้อย่างไร ฟางผิงย่อมไม่สนใจเรื่องนี้

สิบนาทีให้หลัง เวลาสิบเอ็ดโมงกว่า

โรงเรียนมัธยมหยางเฉิงอันดับหนึ่ง

คาบสุดท้ายเป็นอันสิ้นสุดลง

อู๋จื้อหาวเพิ่งจะออกจากห้องเรียน ก็เห็นฟางผิงที่ลาช่วงเช้าโบกมือเรียกอยู่นอกห้อง

อู๋จื้อหาวเห็นเช่นนั้นก็เดินเข้าไป เอ่ยอย่างสงสัย “ฟางผิง นายป่วยเหรอ? เมื่อเช้าอาจารย์บอกว่านายรู้สึกไม่ค่อยดี”

“ไม่เป็นไรแล้ว ออกกำลังกายมากเกินไป พักผ่อนสักหน่อยก็หายดีแล้ว”

ฟางผิงไม่มากความ ถามทันที “ก่อนหน้านี้ที่พวกเราไปรับพี่หวัง นายยังพอมีเบอร์ติดต่อของเขาอยู่หรือเปล่า?”

“มีสิ!”

อู๋จื้อหาวมีมือถือ ก่อนไปรับคน โรงเรียนก็ให้เบอร์โทรหวังจินหยางกับเขาไว้ เพื่อที่จะสะดวกไปรับ

อีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ เบอร์โทรนั้นหาไม่ได้ง่ายๆ อู๋จื้อหาวจะไม่เก็บไว้ได้อย่างไร

“งั้นก็ดี ฉันขอยืมใช้มือถือนายสักเดี๋ยวได้หรือเปล่า?”

“นาย…”

อู๋จื้อหาวไม่แน่ใจอยู่บ้าง “หรือนายจะโทรหาพี่หวัง?”

“อืม ฉันมีเรื่องต้องให้พี่หวังช่วยสักหน่อย”

อู๋จื้อหาวตกใจอย่างยิ่ง รีบเอ่ยโน้มน้าว “ฟางผิง ยังไงพี่หวังก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ แม้จะให้ความเกรงใจกับพวกเรา แต่นี่อยู่ดีๆ จะ…”

ฟางผิงเข้าใจความหมายของเขา เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “วางใจเถอะ เป็นเรื่องดี หากนายกังวล เอาแค่เบอร์โทรให้ฉันก็ได้ ฉันจะออกไปโทรเอง”

“เอ่อ…”

อู๋จื้อหาวลังเลอยู่บ้าง ท้ายที่สุดยังควักมือถือของตัวเองส่งให้ฟางผิง “นายโทรเถอะ แต่พูดเกรงใจหน่อยแล้วกัน หากพี่หวังไม่ช่วย ก็อย่าได้ถือสา ไม่อาจล่วงเกินได้เชียว”

“ฉันโง่ขนาดนั้นหรือไง?”

ฟางผิงหลุดขำ รับโทรศัพท์มาก่อนจะรีบค้นหาหมายเลข

รอจนเห็นรายชื่อผู้ติดต่อ ‘รุ่นพี่หวังจินหยาง’ ฟางผิงก็กดโทรออกทันที

เขาชางซาน

ทางเข้าเขาฝั่งเมืองหยางเฉิง

ขึ้นเขาตั้งแต่ช่วงบ่ายวันที่เก้า หวังจินหยางใช้เวลาหนึ่งวันเต็มจนถึงเย็นของวันที่สิบ วิ่งค้นหาบริเวณรอบเขาหยางเฉิงเกือบทั่วแล้ว

ผลลัพธ์คงไม่ต้องพูดถึง ไม่ได้อะไรกลับมาสักอย่าง

ตระหนักได้ว่ายังต้องกลับไปมหาวิทยาลัย แม้หวังจินหยางจะเสียดายอยู่บ้าง แต่ก็ทำได้เพียงเลือกออกจากเขา

หวังจินหยางที่เพิ่งจะออกจากเขามีสีหน้าเหนื่อยล้า ทั้งอารมณ์ขุ่นมัว

ครั้งนี้เสียเวลาไปสามวันเต็ม นอกจากได้เงินเล็กน้อยจากโรงเรียนแล้ว ก็ไม่ได้อะไรกลับมาเลย

เอาเงินรางวัลห้าแสนมาไม่ได้ เกรงว่าจะสิ้นเปลืองเวลาอีกช่วงหนึ่ง ถึงจะสามารถสะสมทรัพยากรได้

ปลายภาคนี้ เกรงว่าตัวเองคงไม่อาจทะลวงขั้นสามได้แล้ว

หวังจินหยางถอนหายใจ เขาก็ไม่ใช่คนที่เอาแต่พะวงส่วนได้ส่วนเสีย อย่างมากก็รับภารกิจใหม่เท่านั้น

เขาคว้าเป้ เตรียมจะกลับบ้านอีกสักเที่ยว ตอนเย็นค่อยนั่งรถกลับมหาวิทยาลัย

แต่เพิ่งจะเดินมาถึงข้างถนนปากทางขึ้นเขา มือถือในกระเป๋าก็สั่นขึ้นมา

มือถือเครื่องนี้ไม่ค่อยได้ใช้ รวมทั้งครั้งนี้ขึ้นเขามาจับคน หวังจินหยางจึงทิ้งไว้ในกระเป๋าตลอดเวลา

จังหวะสั่นเบาๆ หากไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ ก็คงไม่อาจสัมผัสได้

หากยังอยู่ในเขา หวังจินหยางคงคร้านที่จะรับ อย่างไรก็รู้ว่าคนที่โทรเข้ามือถือเครื่องนี้คงไม่ใช่คนสำคัญนัก

แต่ยามนี้เขาว่างแล้ว หวังจินหยางจึงเปิดประเป๋า ควักมือถือออกมา

กวาดสายตาดูหมายเลข เป็นของเมืองหยางเฉิง ไม่รู้ว่าเป็นทางโรงเรียน หรือเจ้านายทางบริษัทหยางเฉิงที่ติดต่อเขา

ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจรับโทรศัพท์

“พี่หวัง?”

เมื่อรับสาย ก็ได้ยินเสียงอีกฝ่ายตอบกลับมา หวังจินหยางขมวดคิ้วเล็กน้อย

เขาไม่ได้ความจำสั้นขนาดนั้น นี่เพิ่งจะผ่านมาสองสามวัน แม้ว่าเสียงในมือถือจะไม่เหมือนตัวจริงอยู่บ้าง แต่หวังจินหยางก็ฟังออกว่าคือใคร

รุ่นน้องที่โชคดีในโชคร้าย คนที่มีค่าปราณสูงคนนั้น

“ผมเอง รุ่นน้องฟางผิง?”

ฟางผิงเอ่ยออกไปตรงๆ “พี่หวัง มีเรื่องอยากรบกวนนิดหน่อย หากพี่หวังสะดวก กลับมาเมืองหยางเฉิงสักเที่ยวได้หรือเปล่า?”

“หื้ม?”

หวังจินหยางขมวดคิ้ว ไม่ได้พูดไปว่าตัวเองยังอยู่เมืองหยางเฉิง เอ่ยด้วยยิ้มเรียบนิ่ง “ไม่รู้ว่ารุ่นน้องฟางผิงมีเรื่องอะไร ถ้าสะดวกก็พูดในโทรศัพท์เถอะ”

“เรื่องนี้เป็นปัญหาอยู่บ้าง ที่จริงผมก็ไม่รู้ว่าพี่หวังจะช่วยได้หรือเปล่า แต่ผู้ฝึกยุทธ์ที่ผมรู้จักมีแค่พี่หวังเพียงคนเดียว ประเด็นหลักๆ คงไม่อาจพูดในมือถือได้ คร่าวๆ ก็คือผมเจอผู้ชายที่สงสัยว่าจะหนีคดีคนหนึ่ง ปรากฏว่าไม่ทันระวังทำร้ายอีกฝ่ายเข้า ตอนนี้มีปัญหาเล็กน้อย ผมไม่รู้ว่าควรจะส่งเขาให้ตำรวจดีหรือไม่ เผลอทำร้ายคนไป ไม่รู้ว่าจะมีปัญหาตามมาหรือเปล่า ยังไงก็ยังเป็นเด็กมอปลาย หากพลาดจากการสอบเกาเข่า…”

ฟางผิงพูดง่ายๆ ไม่กี่ประโยค ไม่พูดอะไรมากมาย หากหวังจินหยางว่างก็คงจะช่วยเหลือเขา

แต่ฟางผิงไม่ได้พูดอย่างละเอียดนัก ประเด็นคือสื่อว่าอยากขอความช่วยเหลือ

นี่ก็นับเป็นการหยั่งเชิงเล็กๆ ของฟางผิง หยั่งเชิงว่าหวังจินหยางเป็นคนอย่างไร หยั่งเชิงว่าหวังจินหยางมีความสามารถที่จะจัดการปัญหาที่ตามมาได้หรือไม่

รอจนฟางผิงพูดจบ หวังจินหยางก็ใจเต้นระรัวขึ้นมา

ยามนี้เขาอ่อนไหวต่อคำว่า ‘คนหนีคดี’ อย่างยิ่ง

ชั่วขณะนั้นก็นึกถึงหวงปินทันที

แต่เมื่อตรึกตรองแล้ว ก็คิดว่าไม่น่าจะใช่ หวงปินเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ใกล้จะทะลวงขั้นสาม แม้ว่าจะเป็นหวังจินหยางเอง ก็ต้องรับมืออย่างระมัดระวัง

ฟางผิงบอกว่าตัวเองทำร้ายอีกฝ่าย หวังจินหยางจึงตัดหวงปินออกไปจากตัวเลือกทันที

หากตัวเองไปเมืองเจียงเฉิง กลับไปที่มหาวิทยาลัยแล้ว เรื่องนี้หวังจินหยางคงไม่สอดมือยุ่ง เขาไม่ได้รู้จักมักคุ้นกับฟางผิงขนาดนั้น

แต่ยามนี้ตัวเองยังอยู่หยางเฉิง ฟางผิงมีพลังปราณไม่ใช่น้อย มีโอกาสจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ได้

หากผลออกมาราบรื่น ปีนี้อีกฝ่ายอาจจะเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียง ส่งมอบน้ำใจครั้งนี้ ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้

คิดเรื่องพวกนี้ในใจแล้ว หวังจินหยางก็เอ่ยอย่างสบายๆ “ฉันพอจะรู้เรื่องคร่าวๆ แล้ว เอาแบบนี้ ฉันยังอยู่ที่หยางเฉิงพอดี หาสักที่คุยกันให้ละเอียด หากไม่ยุ่งยากมาก ฉันจะจัดการให้นาย”

ทางหน่วยสืบสวน เขายังต้องเข้าไปอีกครั้ง แม้จะจับคนไม่ได้ แต่ก็ยังต้องส่งมอบภารกิจ

หากเรื่องของฟางผิงไม่ใหญ่มาก จะได้พูดกับเจ้าอ้วนนั่นด้วย เรื่องที่เกิดขึ้น หากมีเจ้าอ้วนช่วยเปิดปากให้ ทำร้ายคนหนีคดีจะนับเป็นเรื่องอันใดกัน

แน่นอนว่า หากเรื่องยุ่งยากเกินไป หวังจินหยางย่อมไม่สอดมือยุ่ง

เขาและฟางผิงไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น ช่วยพูดให้อีกฝ่าย ก็นับว่าช่วยเหลือพอแล้ว

โรงเรียนมัธยมหยางเฉิงอันดับหนึ่ง

ฟางผิงวางสายด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม

คาดไม่ถึงว่าหวังจินหยางจะยังอยู่ในเมืองหยางเฉิง นี่นับว่าสะดวกไม่น้อย

อีกอย่างตัวเองยังไม่พูดเรื่องทรัพย์สิน บอกแค่ว่าอยากให้อีกฝ่ายช่วย คาดไม่ถึงว่าหวังจินหยางจะรับปากอย่างรวดเร็ว

ยามนี้ฟางผิงสบายใจขึ้นมาก

จากนิสัยของหวังจินหยาง แม้ว่าจะเอาผลประโยชน์ส่วนมากไป ก็คงให้ตัวเองมีของตกถึงท้องอยู่ดี บางทีนี่อาจจะเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว

“แต่ก็ยังรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง…”

ฟางผิงพึมพำ ก่อนจะส่ายศีรษะ นี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ยามนี้เขาชุบมือเปิบคนเดียว ปัญหาที่ตามมาต่อจากนี้ย่อมร้ายแรงยิ่ง

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ฟางผิงก็กัดฟัน ครั้งนี้ตัวเองต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ให้ได้!

ไม่อย่างนั้น เกรงว่าภายหลังยังอาจมีเรื่องเช่นนี้อีก

——————–