เล่มที่ 9 บทที่ 248 ระบำนางฟ้า

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

ชุดสำหรับการแสดงระบำนางฟ้าล้วนตัดเย็บโดยท่านแม่ป๋าย นางทุ่มเทแรงกายแรงใจในการตัดเย็บชุดเหล่านี้ อย่าว่าแต่คนด้านนอกเลย แม้แต่หลินเมิ้งหยายังตกตะลึง

“เมิ้งหยา เจ้าแน่ใจหรือว่าฮองเฮาจะจำข้าไม่ได้? วันนี้ข้าสั่งให้สาวใช้แกล้งป่วยแทนข้า ก่อนที่ข้าจะแอบหนีออกมา”

ซ่างกวนฮุ่ยจับมือหลินเมิ้งหยา สายตาแสดงความกังวล

“ไม่หรอก เหล่านางฟ้าเริงระบำจะต้องใส่หน้ากากเพื่อบดบังใบหน้า ยิ่งไปกว่านั้น เวลาฝึกซ้อมช่วงที่ผ่านมาทำให้เจ้าซูบผอมลงกว่าเดิมมาก หากมิใช่สาวใช้ประจำตัวเจ้า ไม่มีใครมองออกอย่างแน่นอน”

หลินเมิ้งหยาเอ่ยปลอบโยน ซ่างกวนฮุ่ยพยักหน้า เหตุเพราะนางมิเคยอยู่ในสายตาผู้อื่น ซ้ำยังมีปัญหากับหลินเมิ้งหยาในวังคราวก่อน ดังนั้นทุกคนล้วนคิดว่าหลินเมิ้งหยากับนางเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าอันที่จริงพวกนางจะแอบเป็นเพื่อนกันอย่างลับๆ

“เอาล่ะ เอาล่ะ วันนี้ต้องลำบากทุกคนมาก ข้าจะขอออกไปเตรียมการก่อน ทุกคนอย่าได้ตื่นเต้นไปเลย แค่ทำเหมือนตอนที่ฝึกซ้อมมาก็พอ”

ก่อนหน้านั้น หลินเมิ้งหยาแอบหานางรำทั้งสิบด้วยตัวเองอย่างเป็นความลับ

โชคดีที่หญิงสาวแห่งต้าจิ้นส่วนใหญ่สามารถร้องเล่นเต้นรำได้ แม้จะมิได้งดงามในทุกการเคลื่อนไหว แต่ถึงกระนั้นนางก็มั่นใจว่าการแสดงคราวนี้จะต้องทำให้ทุกคนตกตะลึงได้

กวาดสายตามองอีกครั้ง หลินเมิ้งหยาพาป๋ายจีและป๋ายจื่อกลับไปยังห้องโถง ป๋ายซ่าวและป๋ายซูจัดการเตรียมงานครั้งสุดท้ายเพื่อป้องกันมิให้ใครเข้ามาก่อเรื่อง

“ท่านอ๋อง สามารถเริ่มการแสดงได้แล้วเพคะ คุณหนูเตรียมตัวพร้อมกันหมดแล้ว”

หลินเมิ้งหยาส่งเสียงเรียบ หลงเทียนอวี้รีบพยักหน้า ก่อนจะสั่งให้เริ่มงาน

สายตาของทุกคนพุ่งตรงมาที่ลานการแสดงกลางห้องโถง แต่คิดไม่ถึงเลยว่านางในคนหนึ่งจะเดินเข้ามาแล้วโปรยผงหอมลงบนพื้น

ทุกคนไม่เข้าใจ หลินเมิ้งหยากำลังจะทำอะไรกันแน่

“นายหญิง นี่ท่าน…”

สาวใช้ทั้งสองเบิกตาโต พวกนางไม่เข้าใจความคิดของหลินเมิ้งหยาเลยแม้แต่น้อย

“ชู่ อย่าส่งเสียงดัง ดูเฉยๆ ก็พอ”

ทุกคนล้วนรู้สึกเช่นเดียวกันกับสาวใช้ทั้งสอง

เสียงดนตรีซื่อจูดังขึ้นอย่างแผ่วเบาราวกับล่องลอยมาจากที่ไกล ก่อนที่เสียงสวดมนต์ของพระรูปหนึ่งจะดังตามมา

เสียงดนตรีเอื่อยเฉื่อยแผ่วเบาทำให้ทุกคนตกอยู่ในภวังค์ แขกเหรื่อที่กำลังตั้งใจชมการแสดงล้วนวางตะเกียบในมือลงเพื่อสดับรับฟัง

เสียงสวดมนต์สอดประสานคล้องจองกับเสียงดนตรีจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สิ่งที่ตามมาหลังจากเสียงดนตรีคือร่างบางของเทพธิดาสาวในชุดผ้าไหมงดงาม

เทพธิดาทั้งสิบสวมชุดผ้าไหมสีทองอ่อน แม้ชุดจะอ่อนนุ่มพลิ้วไหว แต่กลับไม่บางจนเผยกายเนื้อให้เห็น

ใบหน้าของหญิงสาวสวมใส่หน้ากากปิดบังใบหน้า แต่ถึงกระนั้นก็ยังสามารถเห็นโครงหน้าอันงดงามของพวกนางได้เป็นอย่างดี

แม้จะมีบางคนรู้อยู่แล้วว่าลูกสาวของตนกำลังแสดงอยู่บนเวที แต่พวกเขากลับแยกไม่ออกว่าลูกสาวของตนเองคือหญิงสาวคนใด

ในมือของหญิงสาวทั้งสิบ บางคนถือปี่ บางคนถือขลุ่ย บางคนถือขวดหยก บางคนถือตะกร้าซึ่งเต็มไปด้วยกลีบดอกไม้ ท่วงท่าการร่ายรำพลิ้วไหวดุจสายน้ำ

โดยเฉพาะผู้นำเต้นรำ ท่วงท่าของนางอ่อนช้อยพลิ้วไหว ดวงตางดงามมีเสน่ห์เปี่ยมไปด้วยศรัทธาจนคนทั้งงานล้วนคิดว่านางเป็นเทพธิดาของพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง

กอปรกับเสียงเพลงวังเวงแว่ว ทุกคนล้วนมองนางเสมือนดั่งเทพธิดาที่กำลังร่ายรำบนกลีบดอกบัวเบ่งบาน ไม่มีใครกล้าคิดอกุศลต่อนางรำคนนี้เพราะกลัวจะถูกปลิดวิญญาณ

เหตุเพราะการร่ายรำของหญิงสาวทั้งสิบ บรรยากาศภายในงานเลี้ยงจึงตกอยู่ในกลิ่นอายของความซาบซึ้งตรึงใจ กลิ่นหอมเย็นสดชื่นที่โชยออกมาเตะจมูกไม่ได้ทำให้ผู้ได้กลิ่นรู้สึกเสมือนถูกยั่วยวน แต่กลับทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจ

เมื่อหัวใจสงบลง เกลียวคลื่นในหัวใจพลันนิ่งตาม พวกเขาเพ่งความสนใจไปที่เหล่าหญิงสาวเบื้องหน้า แต่ถึงกระนั้นกลับรู้สึกราวกับตกอยู่ในความฝันที่ไม่อยากตื่น

อีกทั้งยังรู้สึกเสมือนแขนขาทั้งสี่ถูกสะกดอย่างไรอย่างนั้น

หลินเมิ้งหยามองดูปฏิกิริยาของคนในงานเลี้ยง ก่อนจะกักเก็บความภูมิใจเอาไว้ในใจ

พวกเขาไม่รู้หรอกว่าผงหอมเหล่านั้นคือยาที่นางกับท่านอาจารย์คิดค้นขึ้น สรรพคุณของตัวยามิใช่เพียงทำให้หัวใจสงบลงได้ แต่ยังมียาพิษชนิดพิเศษที่ทำให้คนสัมผัสรู้สึกเสมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์

ด้วยท่วงท่าการร่ายรำอันแสนงดงามของเหล่าหญิงสาว อุณหภูมิภายในห้องจึงสูงขึ้น ยิ่งเป็นเช่นนี้นานเท่าไหร่ ฤทธิ์ของยาก็จะมากขึ้นตาม

เพียงได้กลิ่นหอมที่กำลังโชยอยู่ในอากาศ กอปรกับอาการตกอยู่ในภวังค์ อาการเจ็บปวดเมื่อยล้าเล็กๆ น้อยๆ ของคนเหล่านี้จะค่อยๆ หายไปโดยที่พวกเขาไม่รู้สึกตัว

นี่คือวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของระบำขอพรในคราวนี้

เอียงศีรษะ กระพริบตาปริบๆ ให้หลงเทียนอวี้อย่างซุกซน ราวกับกำลังบอกเขาว่า…ดูสิ เงินที่ท่านจ่ายไปไม่ไร้ค่า

เมื่อได้เห็นใบหน้านวลที่กำลังมองมาอย่างโอ้อวด หัวใจของหลงเทียนอวี้สั่นไหวแผ่วเบา

เขาเคยผ่านเหตุการณ์แปลกประหลาดมามากมาย แต่ความประหลาดใจขนาดนี้ อย่าว่าแต่เขาเลย เกรงว่าแม้แต่เสด็จพ่อเองก็คงเคยเห็นเพียงไม่กี่ครั้ง

เพราะเหตุนี้เมื่อหลายวันก่อนนางจึงยุ่งมาก ไม่มีเวลาแม้แต่จะมาพูดคุยกับเขา แต่ถึงกระนั้น ทั้งที่เวลามีเพียงไม่กี่วัน นางกลับทำให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

มุมปากหยักยิ้มโดยไม่รู้ตัว เหตุใดนางจึงมักสร้างความประหลาดใจให้เขาอยู่เสมอ?

ทันทีที่ได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของหลงเทียนอวี้ หลินเมิ้งหยารีบก้มหน้าลงเพราะความเขินอาย

แต่ถึงกระนั้นก็ยังแอบก่นด่าหลงเทียนอวี้ในใจ ทุกครั้งที่นางทำให้เรื่องดีๆเขามักจะตอบแทนนางด้วยรอยยิ้มกินใจนั่นเสมอ

ส่วนนางที่ได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาซึ่งกำลังแย้มยิ้มของเขาก็อดไม่ได้ที่จะขวยเขิน

หัวใจเต้นระรัวดั่งเสียงกลอง

จริงๆ เลย! หากวันหนึ่งหัวใจนางเต้นเร็วจนตายขึ้นมา คนร้ายก็คงเป็นผู้ชายคนนี้นี่แหละ!

ท่าทางแสดงความรักอ่อนหวานของทั้งคู่ตกอยู่ในสายตาของไท่จื่อ

อันที่จริงเขาเองก็ตกอยู่ในภาพลวงตาที่หลินเมิ้งหยาสร้าง

แต่เพราะฮองเฮาที่อยู่ด้านข้างหยิกเขาแรงๆ เขาจึงหลุดออกจากความหื่นกระหายมาได้ แต่เมื่อได้เห็นหลินเมิ้งหยาและหลงเทียนอวี้ หัวใจของไท่จื่อเสมือนกำลังดำดิ่งสู่หุบเหว

แน่นอนว่าทั้งหมดล้วนเป็นเพราะหลินเมิ้งหยา

ราวกับว่า…เมล็ดพันธุ์แห่งความอิจฉาหยั่งรากลึกในหัวใจของเขา

เพราะเหตุใดหญิงสาวที่อยู่ข้างกายเขาจึงไม่มีใครจริงใจและงดงามโดดเด่นเช่นนี้ พวกนางล้วนไร้ความอดทนและหยาบคาย เมื่อได้เข้ามาอยู่ในจวนก็ล้วนแสดงท่าทีหยิ่งผยอง

จะมีผู้หญิงคนไหนที่ทำดีกับเขาโดยไม่คิดหวังตำแหน่งไท่จื่อเฟยบ้าง

เขาได้บัลลังก์มังกรแล้วอย่างไรเล่า? หญิงสาวผู้งดงามคนนั้นก็ยังอยู่เคียงข้างหลงเทียนอวี้อยู่ดี

ขณะเดียวกัน ความเคียดแค้นของไท่จื่อที่มีต่อหลงเทียนอวี้ก็ยิ่งพอกพูนขึ้น

“เป็นอะไรไป? ทนไม่ไหวแล้วหรือ?”

เสียงเย็นยะเยียบของฮองเฮาดังขึ้นมาจนไท่จื่อรู้สึกหวั่นเกรง ในสายตาของฮองเฮา เขาเป็นลูกชายที่ไม่ได้เรื่องเสมอ เกรงว่าฮองเฮาที่ไม่เคยชื่นชมเขาจะต้องมองเห็นอะไรบางอย่างอย่างแน่นอน

หากฮองเฮารู้ว่าเขาคิดจะแย่งผู้หญิงของน้องชาย อนาคตของเขามืดบอด

“ทูลหมู่โฮ่ว เอ๋อร์เฉินมิได้คิดเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ เอ๋อร์เฉินเพียงแค่คิดว่าหากเอ๋อร์เฉินเป็นผู้จัดงานเลี้ยงในคราวนี้ เช่นนั้นผลลัพธ์จะต้องน่าตื่นตามากกว่าอย่างแน่นอน น้องสามยังทำงานไม่รอบคอบ”

ฮองเฮายังคงแสดงท่าทางสงบนิ่งจึงดูไม่ออกว่ากำลังโกรธหรือยินดี

“ระบำในวันนี้งดงามยิ่งนัก คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะสามารถสร้างความตื่นตะลึงได้ในระยะเวลาเพียงสั้นๆ ไม่กี่วัน เจ้าเองก็พยายามเรียนรู้เอาไว้ คราวหน้าจะได้ทำได้ดีกว่านี้”

นับตั้งแต่ตอนที่หลินเมิ้งหยาหนีรอดจากเงื้อมมือของนางไปได้ ฮองเฮารู้สึกว่าหากหลงเทียนอวี้และหลินเมิ้งหยายังอยู่ แผนการที่นางได้วางเอาไว้จะต้องไม่สัมฤทธิ์ผลอย่างแน่นอน

คนคู่นี้ฉลาดเฉลียวยิ่งนัก อีกทั้งสกุลหลินยังกุมอำนาจทางการทหารเอาไว้ในมือ นางไม่อาจปล่อยให้ไท่จื่อวางแผนเด็กๆ ทำลายพวกเขาได้อีกต่อไป

คราวหน้าความพ่ายแพ้อาจจะเปลี่ยนเป็นชัยชนะก็ได้

“เอ๋อร์เฉินน้อมรับคำสั่งสอนของหมู่โฮ๋ว”

ไท่จื่อรู้สึกกล้ำกลืนเล็กน้อย ความเกลียดชังที่มีต่อหลงเทียนอวี้ยิ่งเพิ่มมากขึ้น

ตั้งแต่ยังเด็ก เสด็จพ่อมักเปรียบเทียบเขากับหลงเทียนอวี้เสมอ แม้จะถูกเลี้ยงดูอย่างเข้มงวดเช่นเดียวกัน แต่เมื่อเทียบกับพวกลูกสนมเหล่านั้นแล้ว เสด็จพ่อมักจะเอ็นดูพวกเขามากกว่าเสมอ

หากเขาแสดงออกถึงความขุ่นเคือง เสด็จพ่อมักจะตำหนิว่าเขาไม่รู้จักรักและปกป้องน้องๆ

หากเขามิใช่ลูกชายเพียงคนเดียวของฮองเฮา เกรงว่าตำแหน่งไท่จื่อคงไม่มีทางตกเป็นของเขาอย่างแน่นอน

เขาจะต้องคว้ามันไว้ให้แน่นและกำจัดหลงเทียนอวี้

เมื่อการแสดงจบลง ทุกคนรู้สึกเสมือนตื่นจากความฝัน เมื่อกะพริบตาอีกครั้ง พวกเขามองไม่เห็นเทพธิดานางรำอีกต่อไป มีเพียงรอยเท้าจางๆ ที่ปรากฏบนผงหอมบนพื้นเท่านั้น

“น่าแปลกเหลือเกิน เหตุใดจึงเหลือแต่เพียงรอยเท้าบนผงหอม แต่กลับไม่มีรอยเท้าอื่นบนพื้นเล่า?”

แขกเหรื่อต่างเอ่ยถามออกมาด้วยความงุนงง หลินเมิ้งหยาทำเพียงยิ้มโดยไม่พูดอะไร เพื่อการแสดงในคราวนี้ นางจึงต้องใส่ใจทุกรายละเอียด

ชุดและรองเท้าของนางรำล้วนมีกลไกเล็กน้อยเพื่อทำให้ทุกคนรู้สึกว่าพวกนางเป็นนางฟ้าที่ถูกอัญเชิญมาจากสรวงสวรรค์

ทุกคนยังคงประหลาดใจ ราวกับยังคงหลงอยู่ในความฝันของตนเองที่แตกต่างกันออกไป ภายในความฝันเหล่านั้น พวกเขาได้เห็นสิ่งที่หัวใจของตนเองปรารถนาที่สุด