ตอนที่74 ดินเนอร์

เจวียงหยวนตรงเข้ามาในห้องทำงานของหวังเฉียน และเอ่ยปากบ่นทันทีว่า

“รองผู้จัดการหวัง ฉันมีเรื่องจะมารายงานให้คุณทราบในฐานะตัวแทนของทุกคนในแผนกวางแผน”

หวังฉัยนพยักหน้าและเชิญอีกฝ่ายนั่งลงก่อน

เจวียงหยวนพยักหน้าตอบพร้อมนั่งลง จากนั้นก็เริ่มอธิบายว่า

“ตอนนี้จ้าวเฉียนได้รับคำสั่งใหม่ พอเรียกพวกเราไปประชุมก็สั่งว่า แต่ละคนต้องคิดพล็อตสามแบบให้เสร็จภายในสามวัน โดยปกติแล้ว พวกเราใช้เวลาคิดพล็อตหนึ่งแบบก็ปาเข้าไปสามวันแล้ว แต่นี่ให้คิดคนละสาม! ภาระงานเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดภายในอึดใจ ไม่มีใครทำไหวแน่นอน”

หวังเฉียงขมวดคิ้วแน่น ครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะเอ่ยตอบอย่างช่วยไม่ได้ว่า

“ถึงสิ่งที่จ้าวเฉียนทำไปจะไม่ถูกต้องนัก แต่เหตุผลเพียงแค่นี้มันไม่สามารถทำให้ประธานฟาง ลงมาตำหนิเขาได้ด้วยซ้ำ ในทางตรงข้าม กลับเป็นนายมากกว่าที่ซวย…เข้าใจที่ฉันหมายถึงไหม?”

เจวียงหยวนถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เอ่ยต่อว่า

“เรื่องนั้นผมเข้าใจดี แค่รองผู้จัดการหวัง หมอนั่นทำให้คุณอับอายมาแล้วสารพัด…คุณไม่รู้สึกโมโหบ้างเลยรึไง?”

หวังเฉียงระเบิดหัวเราะขึ้นในทันใด เบื้องลึกในแววตาคู่นั้นของเขาเปี่ยมล้นไปด้วยความอาฆาต เกินกว่าคำว่าโมโหไปแล้ว

“โมโหงั้นเหรอ? นายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันอาฆาตมันขนาดไหน! เอาล่ะ ฉันจะพยายามคิดหาวิธีจัดการมันเอง ต้องส่งมันกลับเข้ากรุให้ได้ เจวียงหยวนหลังจากนี้เฝ้าจับตามันให้ดี อย่าเปิดโอกาสให้มันถอยได้เด็ดขาด”

เจวียงหยวนหัวเบิดหัวเราะอย่างตื่นอกตื่นเต้น เขามั่นใจในตัวหวังเฉียงยิ่งว่าจะทำได้สำเร็จ

“ไม่ต้องกังวลเลย ผมไม่ปล่อยให้รองผู้จัดการหวังต้องผิดหวังแน่นอน!”

หวังเฉียงฮัมเพลงคลี่ยิ้ม เจือท่าทีแสนสุขใจ

“เจวียงหยวน ตราบใดที่นายตั้งใจทำงาน ไม่ใช่แค่เรื่องจ้าวเฉียน แต่อุทิศแรงกายแรงใจให้บริษัท ฉันขอรับประกันเลยว่า ตำแหน่งหัวหน้าแผนกวางแผนจะต้องเป็นของนายแน่นอน!”

“รองผู้จัดการหวังสบายใจได้ ผมจะตั้งใจทำงานให้หนักยิ่งขึ้นเพื่อบริษัท!”

“เข้าใจแล้ว นายออกไปเถอะ ฉันต้องทำงานต่อแล้ว”

“ครับ โชคดีครับรองผู้จัดการหวัง”

เจวียหยวนวิ่งหน้าตั้งออกไปอย่างสุขอกสุขใจ รอยยิ้มประดับแช่มบนใบหน้าไม่สามารถปกปิดได้เลย หลังจากกลับไปนั่งประจำที่ ทุกคนต่างส่งข้อความมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาถึงดูมีความสุขขนาดนี้

เจวียงหยวนพิมพ์กลับให้ทุกคนไปว่า

“รองผู้จัดการหวังบอกให้ฉัน เฝ้าจับตาจ้าวเฉียนไว้ หลังจากนี้เขาจะคิดหาวิธีจัดการกับจ้าวเฉียนเอง”

ทุกคนที่เห็นแบบนั้นต่างแผ่นคลายขึ้นมาก ถ้าจ้าวเฉียนยังเผด็จการกับพวกเขาแบบนี้ คงต้องถึงขั้นร่วมกันลงนามเพื่อไล่อีกฝ่ายออกแล้ว แต่ถ้าจ้าวเฉียนทำตัวดีขึ้นกว่าตอนนี้ บางทีพวกเขาอาจจะไม่ว่าอะไร

จ้าวเฉียนกำลังสร้างผลงานชิ้นใหม่ในฐานะหัวหน้าแผนก แน่นอนว่าเขาจะต้องเป็นผู้นำตัวอย่าง ภายในสามวันทุกอย่างต้องเสร็จสมบูรณ์

ระหว่างรับประทานอาหารกลางวันกัน จางหยางก็ส่งเมลถึงพนักงานทุกคน โดยมีเนื้อความว่า ทุกคนคงเหนื่อยกับการทำงานและปรับตัวในช่วงนี้มากแล้ว ทางบริษัทจึงตัดสินใจจัดกิจกรรมพิเศษ พาทุกคนไปทานอาหารค่ำกันในช่วงสุดสัปดาห์ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้ก็เพื่อเสริมสร้างความสามัคคีและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานต่อไปในอนาคต

“ว้าว! สมแล้วที่เป็นเด็กนอกจบจากอเมริกา แนวคิดแบบผู้บริหารระดับสูง!”

“พวกชาวตะวันตกจะให้ความสำคัญกับสังคมภายในทีมอย่างมาก และมักจะมีจัดกิจกรรมเช่นพาไปเลี้ยงอาหารค่ำ หรือไปเที่ยวอะไรเทือกนั้น”

“ฉันเองก็เพิ่งได้รับตำแหน่งงานใหม่ ฉันจะใช้โอกาสนี้สานสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานในแผนก!”

ทุกคนต่างจับกลุ่มกระซิบกระซาบกันอย่างสนุกสนาน จางหยางทราบดีว่าพนักงานเหล่านี้ต้องการอะไรและทำอย่างไรถึงซื้อใจคนเหล่านี้ได้ นี่คือธรรมชาติของมนุษย์ สามารถกินดื่มและเฉลิมฉลองได้แบบฟรีๆ ใครบ้างจะไม่ต้องการ

จ้าวเฉียนอ่านเมลดังกล่าวที่ส่งมาก็คลี่ยิ้มกว้างด้วยความพึงพอใจ เขาเป็นคนที่มีหลักการและไม่ใช่คนที่ไม่เหมาะสมที่จะบริหารกิจการเลย แม้ว่าหวังเฉียงกับจางหยางจะหาเรื่องกำจัดเขาก็ตาม แต่อะไรดีก็ว่าไปตามนี้ ซึ่งการตัดสินใจแบบนี้ เขาเองก็ชื่นชมพวกเขาอยู่ในใจเช่นกัน

“ดูเหมือนว่าจางหยางจะต้องการขึ้นเป็นผู้จัดการจริงๆ แต่ฉันหวังว่าไฟแรงขนาดนี้คงไม่ด่วนมอบดับไปก่อนนะ”

ขณะเลิกงานตอนเย็น หวงหยิงเมิ่งโทรเข้ามาหาจ้าวเฉียน

“ฮาโหล คุณจ้าว คืนนี้พอมีเวลาว่างไหมค่ะ?”

“ครับ มีอะไรรึเปล่า?”

“พอดีพรุ่งนี้ฉันต้องบินกลับบ้านเกิดแล้ว ฉันรู้สึกขอบคุณคุณมากที่ช่วยดูแลตลอดที่ผ่านมา จึงอยากเชิญคุณไปรับประทานอาหารค่ำด้วยกัน ถ้าคุณจ้าวพอมีเวลาว่าง โปรดมาทานด้วยกันสักครั้งนะคะ”

“ฮ่าฮ่า…คุณก็สุภาพเกินไป นี่เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของผมอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณอยากเชิญผมไปทานอาหารสักมื้อ งั้นคุณนั่งแท็กซี่มาที่โรงแรมตงไห่เลย ผมจะรอหน้าโรงแรม”

หวงหยิงเมิ่งส่งเสียงหวานตอบ และรีบลุกไปอาบน้ำแต่งตัวโดยเร็ว และนั่งแท็กซี่ไปที่โรงแรมตงไห่ ส่วนจ้าวเฉียนก็เร่งเก็บข้าวเก็บของขับรถออกจากบริษัทไป

หลังผ่านไปครึ่งชั่วโมง ทั้งสองก็พบกันหน้าโรงแรมตงไห่

“คืนนี้คุณหวงงดงามมากเลยครับ ผมรู้สึกเป็นเกียรติจริงๆ ที่ได้ดินเนอร์กับสาวสวยอย่างคุณหวง”

หวงหยิงเมิ่งใบหน้าแดงก่ำในทันใด เธอรู้สึกเก้อเขินอย่างมากเมื่อได้ยินจ้าวเฉียนพูดแบบนั้น เธอตอบเจือท่าทีเขินว่า

“คุณจ้าวปากหวานเกินไปแล้วนะคะ เข้ากันเถอะค่ะ”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและเดินเข้าไปในโรงแรมพร้อมกับหวงหยิงเมิ่งทันที ขณะบริกรพาทั้งสองเข้ามาถึงหน้าลิฟต์ จ้าวเฉียนก็พบกับกลุ่มคนที่แสนคุ้นหน้าคุ้นตาดี ฟางนี่, จางหยางและหวานฮันซู

“ประธานฟาง ผู้จัดการจาง คุณหวาน รู้จักกันเหรอครับ?”

ทั้งสามที่ได้ยินสุ้มเสียงของจ้าวเฉียน ต่างรีบหันควับมามอง

สีหน้าฟางนี่ดูอึดอัดสุดขีด เธอกลัวจ้าวเฉียนรู้ว่าพวกเธอมาที่นี่เพื่อประชุมเรื่องระดมทุนกัน

แต่จางหยางไม่คิดเกรงใจใดๆ เอ่ยตอบไปตามตรงทันที

“หวานฮันซูเป็นเพื่อนผมเองตอนที่เรียนอยู่ที่อเมริกา พวกเรามาคุยกันเรื่องระดมทุนบริษัทฟางนี่ต่อจากนี้ ทำไมเหรอครับ? คุณเองก็รู้จัก?”

จ้าวเฉียนพยักหน้ายิ้มตอบ และบอกไปว่าหวานฮันซูเป็นคนรู้จักของเขาเช่นกัน ส่วนทางด้านหวานฮันซูแสยะยิ้มอย่างมีนัยนะ เอ่ยตอบขึ้นว่า

“ใช่ พวกเรารู้จักกัน แต่ไม่คิดเลยว่าคุณจ้าวจะเป็นแค่พนักงานคนหนึ่งในบริษัทของคุณฟาง ต่างจากที่ผมคาดคิดไว้เยอะเลย ฮ่าฮ่า… จางหยาง เรื่องบริษัทของนาย ฉันเอาด้วย”

จางหยางระเบิดหัวเราะอย่างสุดแสนจะสุขอกสุขใจ เขากล่าวตอบทันทีว่า

“ฮันซู ฉันรู้ว่านายมีวิสัยทัศน์ด้านธุรกิจขนาดไหน ถ้าทำผลงานกับบริษัทของฉันไว้ดี บางทีนายอาจได้ทำงานในสำนักงานใหญ่ที่อเมริกาแน่นอนในอนาคต!”

หวานฮันซูไม่เอ่ยตอบใดๆ กลับไป แต่เพียงเหลือบมองจ้าวเฉียนด้วยหางตาอย่างเย้ยหยัน ในความเป็นจริง เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าบริษัทฟางนี่จะกำไรหรือขาดทุน ตราบใดที่สามารถควบคุมจ้าวเฉียนได้ เขายินดีลงทุน

จ้าวเฉียนไม่รู้เหตุผลเช่นกันว่าทำไมจู่ๆ หวานฮันซูถึงมาลงทุนในบริษัทฟางนี่ แต่เขาไม่กลัวเลยสักนิด พูดอย่างกับกำลังขู่ว่าพวกมันมีบริษัทยักษ์ใหญ่ของอเมริกาค่อยหนุนหลัง แล้วยังไงล่ะ? เขาเองก็มีบริษัทยักษ์ใหญ่ของจีนหนุนหลังเช่นกัน แล้วทำไมยังต้องกลัว?

คล้ายว่าจางหยางสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง จึงเอ่ยถามจ้าวเฉียนไปว่า

“จ้าวเฉียน นายพาสาวมาเดทในสถานที่ชั้นสูงอย่างที่นี่ได้ด้วยเหรอ? อาหารมื้อหนึ่งอย่างถูกสุดก็หลายแสนแล้วนะ จะติดหนี้เพื่อมาเลี้ยงสาวก็ดูท่าจะไม่ไหวนะ?”

จ้าวเฉียนหัวเราะคิกคัก เอ่ยตอบกลับไปว่า

“ผู้จัดการจางเป็นคนอารมณ์ขันดีจังนะครับ ถ้าผมมีเงินไม่เยอะในกระเป๋า ลงไม่ลงทุนทิ้งๆ ขวางๆ กับบริษัทคุณหรอกจริงไหม? แล้วก็…คนที่มาเสนอเงินสิบล้านให้ผมลงเป็นคุณหวานใช่ไหม? งั้นรีบๆ โอนมาให้ด้วยนะครับ ทีแรกก็กะว่าจะไม่เอาเงิน แต่เห็นคุณหวานมากว้านซื้อแบบนี้ แค่สิบล้านคงขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอกจริงไหม?”

ฟางนี่รีบพยักหน้าตอบกลับว่า

“ไม่ต้องกังวล ทันทีที่คุณหวานโอนเงินมาให้ฉันแล้ว ฉันจะรีบโอนเงิน10ล้านลงในบัญชีนายแน่นอน”

พอได้ยินแบบนี้จางหยางก็เพิ่งคิดได้ว่า จ้าวเฉียนลงทุนไปแค่สามล้าน แต่ภายในระยะเวลาไปถึงปีกลับถอนทุนคืนกลับมา แถมยังได้กำไรไปอีกตั้งเจ็ดล้าน แต่ตอนนี้กลับสายเกินไปแล้วที่จะแก้ไข หากรู้แบบนี้แต่แรก เขาคงเสนอไปแค่ห้าล้านพอ

จางหวานรู้สึกหัวเสียอย่างมากในขณะนี้ โดยธรรมชาติเขาจะต้องรีบหาหนทางแก้แค้นจ้าวเฉียนกลับคืนในทันที

เขาคลี่ยิ้มและเอ่ยถามขึ้นว่า

“จ้าวเฉียน นายจองห้องอาหารอยู่ชั้นไหน? ฉันขอจองห้องอาหารที่ดีกว่าและหรูกว่านาย อุ๊ย! ลืมไปว่าแฟนนายอยู่ตรงนี้ด้วย หวังว่าจะไม่เป็นการหักหน้ากันนะ?”

จ้าวเฉียนตอบสวนกลับไปทันทีพร้อมรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้มว่า

“ฮ่าฮ่า…ผมจองอยู่ชั้นเจ็ดครับ ผู้จัดการจางไม่มีปัญญาจ่ายเงินแบบผมไหวหรอก ผมมักจะมาทานอาหารที่นี่อยู่บ่อยครั้ง จนผมได้เป็นลูกค้าVIPของที่นี่แล้ว ดังนั้นผมจึงได้ห้องส่วนตัวระดับไฮเอนด์ที่สุดของที่นี่ ไม่มีใครเหนือกว่าผมได้อีกแล้ว”

รอยยิ้มบนใบหน้าของจางหยางแข็งค้างไปในทันใด บรรยากาศรอบข้างพลันอึดอัดขึ้น