ตอนที่ 166 - เมืองฟีนิกซ์

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ตอนที่ 166 – เมืองฟีนิกซ์

หลังจากพบกับบุคคลลึกลับภายในกองคาราวาน เจี้ยนเฉินมีข้อสงสัย จากการตัดสินที่ว่ากัปตันหลานได้ให้ความเคารพต่อผู้อาวุโสในกองคาราวานและเจี้ยนเฉินไม่สามารถวัดความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสได้ทั้งหมด ผู้อาวุโสต้องไม่ใช่เพียงแค่เซียนผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ด้วยการต่อสู้กับเซียนผู้เชี่ยวชาญพิเศษ เจี้ยนเฉินสามารถแยกแยะระดับการบ่มเพาะของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่อพูดถึงผู้อาวุโสท่านนี้ เจี้ยนเฉินกลับไม่รู้

“ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งของเขาอย่างน้อยที่สุดก็คือเซียนปฐพี แต่เขาให้ป้ายนี้กับข้าด้วยเหตุผลอะไร ? ” เจี้ยนเฉินมองกลับไปที่ป้ายที่ทำจากเหรียญม่วงในมือของเขา ป้ายนี้ไม่มีอักษรใด ๆ เกี่ยวกับมัน แต่มีลวดลายหลายรูปแบบที่ปรากฏอยู่บนป้าย

“ช่างมัน ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพยายามคิดให้ออก ข้าจะอยู่บนทางที่ดีที่สุด จนกว่าข้าจะมีกำลังเพียงพอ มันจะเป็นการดีที่สุดที่ข้าจะรอจนกว่าข้าจะไปที่เมืองศักดิ์สิทธิ์” เจี้ยนเฉินตัดสินใจก่อนที่จะเก็บป้ายไว้ในแหวนมิติของเขาและเดินทางต่อไป

ถนนเงียบสงบผิดปกติ มีหลายครั้งที่เขาไม่เห็นใครเลย แต่บางครั้งในตอนกลางวันกองคาราวานและทหารรับจ้างจำนวนมากจะขี่สัตว์อสูรของพวกเขา

ตอนนี้เขามีแผนที่แล้ว เจี้ยนเฉินไม่กังวลเรื่องหลงทางอีกต่อไป ตามแผนที่เจี้ยนเฉินได้เดินทางเป็นเวลา 3 วันและในที่สุดเขาก็มาถึงเมืองฟีนิกซ์

เมืองฟีนิกซ์เป็นเมืองชั้น 2 ที่ครอบคลุมพื้นที่หลายร้อยกิโลเมตร เมื่อเขามาถึงรอบนอกของเมืองมีผู้คนพลุกพล่านไปทั่ว กลุ่มทหารรับจ้างที่สวมใส่ชุดหนังที่ทำจากสัตว์อสูรหลายขนาด ขณะที่กองคาราวานคนอื่น ๆ บรรทุกสินค้าของพวกเขาเคลื่อนไปบนถนนอย่างช้า ๆ ทุกอย่างส่งเป็นเสียงที่ผสมกัน

เจี้ยนเฉินเดินไปตามถนนจนสุดและค่อย ๆ เดินผ่านกำแพงเมือง คนที่เดินข้าง ๆ กับเจี้ยนเฉินเป็นทหารรับจ้างคนอื่นที่เดินทางตามลำพัง ดังนั้นเจี้ยนเฉินจึงไม่ได้เป็นที่ดึงดูดความสนใจใด ๆ

ที่ประตูเมืองของเมืองฟีนิกซ์มีทหารเฝ้าประตูอยู่หลายคนยืนเรียงรายเป็นแถว ในขณะที่พวกเขามองผู้ที่เข้ามาในเมืองด้วยสายตาเย็นชา

“หยุด เจ้ากำลังทำอะไร ! ” ในขณะนั้นเสียงเย็นชาร้องออกมา ทุกคนสามารถเห็นกลุ่มคาราวานถูกหยุดโดยทหารเฝ้าประตูเมืองเพียงคนเดียว

ในขณะเดียวกัน ชายร่างอ้วนเตี้ยพร้อมเสื้อผ้าปักเดินไปข้างหน้าแสร้งทำเป็นดึงมือของทหารเฝ้าประตูเมืองอย่างเป็นมิตรราวกับว่าเขาเป็นเพื่อน เขาทำท่ายินดียัดเหรียญทองสองสามเหรียญไว้ในมือเย็น ๆ ของทหารเฝ้าประตูเมืองคนนั้น ชายคนนั้นยิ้มขณะที่เขาพูดสองสามคำเข้าไปในหูของเขา

ทหารเฝ้าประตูเมืองบีบเหรียญทองที่ชายคนนั้นมอบให้ก่อนที่จะถูมันพร้อมกับใบหน้าที่จริงจังก่อนที่มันจะจางหายไปอย่างช้า ๆ โบกมืออย่างมีความสุขแล้วเขาก็ร้องออกมาว่า “เจ้า เข้าไปได้!”

ในทางปฏิบัติพ่อค้าทุกรายที่ถูกขวางไว้โดยทหารเฝ้าประตูเมืองจะต้องเสียค่าธรรมเนียมเล็กน้อยในการเข้า นี่เป็นวิธีปฏิบัติที่ใช้กันอย่างทั่วไปในทวีปเทียนหยวน แต่มีพ่อค้าบางรายที่ปฏิเสธที่จะจ่ายค่าผ่านทางนี้ แน่นอนว่าทหารเฝ้าประดูเมืองจะใช้ข้ออ้างในการแกล้งทำว่ามีสินค้าอันตรายอยู่ในกองคาราวานและจะไม่อนุญาตให้พวกเขาเข้าไปก่อนบังคับทำการตรวจค้น

ความหยาบคายนี้ทำให้หลายคนไม่พอใจ แต่เนื่องจากทหารเหล่านี้ยังเป็นทหารประจำการอยู่ในเมือง คนจำนวนมากจึงไม่สามารถทำอะไรกับพวกเขาได้ เมื่อพบกับทหารเฝ้าประดูเมืองเหล่านี้ทหารรับจ้างที่มีความก้าวร้าวกว่าจะสามารถดึงความโกรธของพวกเขาได้เท่านั้น

เจี้ยนเฉินสามารถเข้าเมืองฟีนิกซ์ได้โดยไม่ต้องจ่ายภาษี สำหรับเหล่าทหารเฝ้าประตูเมือง เจี้ยนเฉินเป็นนักเดินทางคนเดียวที่ไม่ได้คุ้มกันสิ่งของใด ๆ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สนใจ มันมีเพียงแค่พ่อค้าเท่านั้นที่พวกเขาจะขวางทาง

ในฐานะเมืองชั้นที่ 2 เมืองฟีนิกซ์เป็นเมืองที่ค่อนข้างใหญ่และใหญ่กว่าเมืองเวคมาก ทันทีที่เจี้ยนเฉินเข้ามาในเมือง เขาก็เดินไปที่คอกม้าที่อยู่ใกล้ที่สุดและซื้อม้าที่ดูดีให้กับตัวเองเพื่อขี่ไปยังใจกลางเมือง

เนื่องจากความกว้างของเมืองหากไม่มีม้าขี่ จะต้องใช้เวลาครึ่งวันกว่าจะเดินจากประตูตะวันออกไปประตูตะวันตกของเมืองฟีนิกซ์

หลังจากเดินทางด้วยม้าของเขาสักพักหนึ่ง ในที่สุดเขาก็หยุดที่ร้านแลกเงิน โดยการผูกม้าของเขาไว้แล้วเข้าไปในร้านแลกเงิน

ภายในร้านแลกเงิน เจี้ยนเฉินแปลงเหรียญทองแดง เหรียญเงินและเหรียญทองทั้งหมดให้เป็นเหรียญม่วง มีเพียงไม่กี่เหรียญเท่านั้นที่ยังไม่ได้แลกเปลี่ยนเอาไว้ให้เขาใช้เป็นค่าใช้จ่ายรายวัน เงินส่วนใหญ่ที่เขานำมาแลกเปลี่ยนนั้นได้มาจากช่วงเวลาของเขาในเทือกเขาสัตว์อสูรที่เจี้ยนเฉินนำเงินทั้งหมดมาจากศพทหารรับจ้างและเข็มขัดมิติ

ก่อนที่เจี้ยนเฉินจะนำเหรียญทั้งหมดกลับเข้าไปในเข็มขัดมิติของเขา เขาได้นับจำนวนเหรียญม่วงที่เขามี โดยไม่คาดคิดเขามีเหรียญม่วงประมาณ 30,000 เหรียญและเพิ่มเติมด้วยเหรียญม่วงที่เขามีอยู่เดิมแล้วเขามีเหรียญม่วงรวมกว่า 40,000 เหรียญ

ก่อนที่เขาจะออกจากร้านแลกเงิน เขาได้รับบัตรม่วงจากร้านแลกเงิน บัตรใบนี้เรียกว่าบัตรม่วงโดยทุกคนในทวีปเทียนหยวน

บัตรม่วงถูกใช้ในทวีปเทียนหยวนอย่างกว้างขวางสำหรับผู้ที่ต้องการประหยัดพื้นที่จากการถือเหรียญม่วงจำนวนมาก บัตรม่วงเป็นเหมือนเข็มขัดมิติเพราะมันมีที่ว่างมิติเพื่อเก็บเหรียญ แต่มันถูกใช้เพื่อวัดจำนวนเหรียญม่วง ด้วยบัตรม่วงใคร ๆ ก็สามารถไปที่ร้านแลกเงินใด ๆ ก็ได้เพื่อเข้าถึงเงินของพวกเขา สถาบันชั้นสูงหลายแห่งใช้บัตรม่วงเป็นค่าชำระเงิน ดังนั้นจึงสะดวกกว่าการถือเหรียญม่วง

บัตรม่วงมีขนาดเพียงครึ่งฝ่ามือของเจี้ยนเฉินและถูกสร้างขึ้นด้วยวิธีการปรับแต่งเป็นพิเศษ แม้ว่าตัวบัตรจะดูค่อนข้างอ่อนแอ แต่จริง ๆ แล้วมันแข็งแกร่งมาก แม้แต่เซียนปฐพีก็ไม่สามารถทำความเสียหายกับบัตรใบนี้ได้

การได้รับบัตรม่วงนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ไม่ง่ายนักที่คนธรรมดาจะได้รับ ในการรับบัตร 1 ใบ คนคนนั้นจะต้องมีเหรียญม่วงอย่างน้อย 10,000 เหรียญ

ด้วยบัตรม่วงไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์แสดงตัวตนของตัวเอง แต่ยังรวมถึงความมั่งคั่งด้วย

สำหรับการเพิ่มเหรียญม่วงลงในบัตรม่วงนั้นจำเป็นต้องใช้เครื่องมือพิเศษของร้านแลกเงินดังนั้นคนธรรมดาจึงไม่มีทางที่จะหลอกลวงระบบได้ อย่างไรก็ตาม ร้านแลกเงินจะรับรู้เฉพาะบัตรแต่ไม่รู้เจ้าของ แม้ว่าจะไม่ใช่เจ้าของเดิม บัตรม่วงก็ยังสามารถใช้งานได้โดยร้านแลกเงินใด ๆ ในทวีปเทียนหยวน

เจี้ยนเฉินถือบัตรม่วงไว้ในมือเมื่อเดินออกจากร้านแลกเงิน มันบรรจุเหรียญม่วงทั้งหมด 40,000 เหรียญและเหรียญอื่น ๆ ที่เหลือเพื่อให้เขาใช้จ่ายส่วนตัวของเขาเอง

เมื่อผู้คนในร้านแลกเงินเห็นบัตรม่วงในมือของเจี้ยนเฉิน ทุกคนก็มองเขาด้วยสีหน้าอิจฉากับหลาย ๆ คนที่มองเขาด้วยแนวคิดอื่น

เจี้ยนเฉินมองไปรอบ ๆ ตัวเองที่ผู้คนมองกลับมาที่เขาและยิ้ม เจี้ยนเฉินเก็บบัตรม่วงไว้ในเข็มขัดมิติของเขาและขี่ม้าของเขาจากไป