บทที่ 219-2 ข้าคือขุนนางสวี่ชีอัน
“ทหารของอวิ๋นโจวโหดเหี้ยมยิ่งนัก นึกจะทำก็ทำอย่างเอิกเกริก ไม่กลัวตายเอาเสียเลย” หลี่เมี่ยวเจินมือกุมหอกเงินแล้วมองลงไปพร้อมกับเขา
“เมื่อคืนข้ารีบมายังจุดพักม้าเพราะกลัวว่าใต้เท้าผู้ตรวจการจะทำอะไรเกินควร แล้วผลักให้เรื่องไปถึงจุดที่ไม่อาจถอยกลับได้”
สวี่ชีอันพยักหน้า เหตุโจรร้ายในอวิ๋นโจวโกลาหลวุ่นวาย เป็นทหารในอวิ๋นโจวแต่ไม่ดุดันโหดเหี้ยมสิถึงจะแปลก ทหารที่สู้รบมาทั้งปีเต็มเปี่ยมไปด้วยความดุร้าย พวกเขามักจะรู้จักเพียงผู้นำที่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับตน คนนอกยากจะเข้าไปควบคุม
ไม่เหมือนกับทหารในพื้นที่สงบที่รักตัวกลัวตายเหล่านั้น
“กระบวนทัพเล็กนั่นมาจากกองทัพไหนกัน” สวี่ชีอันถาม
ทหารคุ้มกันผู้บัญชาการที่อยู่ด้านล่างนั้นขึ้นตรงกับเมืองไป๋ตี้ หรือเรียกชื่ออีกอย่างหนึ่งว่าทหารคุ้มกัน ระดับถัดมาก็คือกอง ซึ่งดูจากกระบวนทัพเล็กๆ ที่อยู่ข้างๆ นั่นแล้ว กะได้คร่าวๆ ประมาณสี่ถึงห้าร้อยคน สวี่ชีอันเดาว่านั่นคือ ‘กองทัพ’ ที่ขึ้นตรงต่อระดับอำเภอ
หลี่เมี่ยวเจินพลันกระอักกระอ่วน “กองทัพนางแอ่นเหินของข้าเอง”
เจ้าเป็นนกสองหัว? ในสายตาของสวี่ชีอันที่มองนางนั้นเต็มไปด้วยความไม่ไว้ใจ
หลี่เมี่ยวเจินอธิบาย “ข้าเคยคิดจะใช้กองทัพมากดดันจริงๆ นี่เป็นข้อเสียที่ถูกเลี้ยงดูมาในกองทัพของอวิ๋นโจว”
นางโยนหม้อไปให้กับกองทัพอวิ๋นโจวแทน
“เช่นนั้นตอนนี้เราจะทำอย่างไร ออกไปนอกเมืองหรือ” สวี่ชีอันลองถาม
“อืม” หลี่เมี่ยวเจินพยักหน้า
“ข้าไม่ไปได้หรือไม่”
“เจ้าเป็นตัวแทนของใต้เท้าผู้ตรวจการ” หลี่เมี่ยวเจินปรายตามองเขา “ผู้บัญชาการทัพทหารคุ้มกันสวีหู่เฉินเป็นคนอารมณ์ร้อน อีกทั้งยังดื้อแพ่งไม่สนใจใคร ในเมื่อเจ้าคิดจะขจัดความขัดแย้ง ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอดทน”
“อาศัยหน้าเจ้าก็ไม่ได้หรือ”
หลี่เมี่ยวเจินแค่นเสียง ‘เฮอะ’ ออกมา “ถ้าข้าไม่ไปกับเจ้าด้วย เขาได้ฟันฆ้องทองแดงอย่างเจ้าตายแน่”
“ฮึ ทหารไม่คุยกันด้วยเหตุผลจริงๆ”
ประตูเมืองเปิดออกเสียงเอี๊ยด หัวหน้ากองพันของทหารป้องกันเมืองส่งทั้งคู่ออกจากเมืองไปแล้วโบกไม้โบกมือ “รักษาตัวด้วย”
สวี่ชีอันนั่งอยู่บนม้าแล้วหันกลับไปมอง “ใต้เท้านายพัน ท่านไปกับพวกเราดีหรือไม่”
หัวหน้ากองพันกล่าว “ตรงนี้ลมแรง ใต้เท้าว่าอย่างไรนะ ข้าน้อยฟังไม่ถนัด…อ้อ ใต้เท้าบอกให้ปิดประตูเมืองหรือ ได้ๆ ต่อให้ตายข้าน้อยก็จะไม่เปิดประตูอีก”
ประตูเมืองค่อยๆ ปิดลง
“….” สวี่ชีอันคิดในใจ ‘กรรมแท้ๆ’
หลี่เมี่ยวเจินไม่ได้ตรงไปหาทหารคุ้มกัน แต่หันหัวม้าไปทางกองทัพนางแอ่นเหินของตนแล้วตะโกนเรียกตัวทหารม้าสิบนาย จากนั้นค่อยเคลื่อนตัวไปหากองทัพทหารคุ้มกันสามพันนาย
“กองทัพนางแอ่นเหินของข้ามีพลังฝึกตนต่ำสุดอยู่ที่ระดับหลอมจิต มีทั้งหมดสี่ร้อยสามสิบเจ็ดคน กองห้ามีระดับหลอมจิตขั้นสูงสุด กองสิบมีระดับหลอมปราณ ส่วนกองร้อยอยู่ระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดง”
สุ้มเสียงของหลี่เมี่ยวเจินไพเราะแจ่มชัด ทั้งยังเอ่ยแนะนำกองทัพส่วนตัวของตนให้สวี่ชีอันฟังอย่างภาคภูมิใจ
ระดับหกสี่คน ระดับหลอมปราณอีกสี่สิบคน…แม่เจ้าโว้ย ผู้หญิงคนนี้จะน่ากลัวเกินไปแล้ว
สวี่ชีอันกลืนน้ำลาย “ทหารแบบนี้คงไม่มีในอวิ๋นโจวหรอกกระมัง”
หลี่เมี่ยวเจิน ‘อืม’ แล้วกล่าวอย่างภาคภูมิ “ทุกคนล้วนแต่ติดตามข้ามาที่อวิ๋นโจวเพราะเห็นแก่หน้าข้า”
หน้าเจ้าใหญ่แค่ไหนกันเนี่ย สวี่ชีอันหันหน้าไปมองทหารหญิงคนงามผูกผมหางม้าสูงและขี่ม้าถือหอกเงิน พร้อมกับต้องประเมินพลังของนางใหม่อีกครั้ง
ภาพจำแรกที่สวี่ชีอันมีต่อนางคือ นางเป็นเทพธิดาของนิกายสวรรค์ รองลงมาคือเป็นจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหิน แต่ดูจากตอนนี้ ฉายาจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินได้ขึ้นมาอยู่ลำดับแรกเสียแล้ว
บางทีความสัมพันธ์และเส้นสายของหลี่เมี่ยวเจินในยุทธภพอาจจะล้ำลึกกว่าที่เขาจินตนาการก็เป็นได้
คนในพรรคฟ้าดินล้วนแต่เป็นพวกอัจฉริยะ ฆ้องทองแดงตัวเล็กจ้อยอย่างข้าต้องพยายามให้มากหน่อยแล้ว…อืม ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ไว้ก่อน ข้าต้องกลายเป็นลูกชายของเว่ยเยวียนให้ได้…
“แล้วสวีหู่เฉินอยู่ระดับฝึกตนใดหรือ” สวี่ชีอันพลันเอ่ยถาม
“ระดับหลอมวิญญาณขั้นสูงสุด” หลี่เมี่ยวเจินตอบ
“ระดับไม่ค่อยสูงแฮะ” สวี่ชีอันถามอย่างประหลาดใจ
“เว่ยเยวียนเป็นแค่คนธรรมดา แต่ก็ยังบัญชาการสามทัพได้เหมือนกันมิใช่หรือ” หลี่เมี่ยวเจินส่ายหน้าขณะกล่าว “การรบทัพจับศึกนั้นไม่ได้อาศัยความกล้าหาญดุดัน นักรบที่มีตำแหน่งระดับสูงสามารถต่อกรกับหนึ่งร้อยหรือหนึ่งพันคนได้ด้วยตัวคนเดียว แต่ก็ใช่ว่าจะควบคุมกองทัพหนึ่งพันนายได้ และจากความสามารถของข้า การคุมแค่ห้าร้อยคนก็คือขีดสุดแล้ว แต่สวีหู่เฉินสามารถควบคุมกองทัพตั้งแต่สามพันถึงห้าพันคนได้ หากต้องเผชิญหน้ากันในสนามรบ ข้าคงแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย”
ความรุนแรงคือสุนทรียศาสตร์ การสู้รบคือศิลปะ เป็นสองแนวคิดที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
หลี่เมี่ยวเจินหยุดอยู่ห่างจากกองทัพทหารคุ้มกันห้าจั้ง แล้วตะโกนบอก “ผู้บัญชาการสวี ออกมาคุยกันหน่อย”
แม่ทัพที่ขี่ม้านำหน้ามาร่างกายสูงแปดฉื่อ ม้าที่เขานั่งอยู่นั้นสูงใหญ่กว่าม้าทั่วไป ในมือถือทวนยาวหนึ่งด้าม
ผู้ที่กล้าใช้ทวนยาว ล้วนเป็นแม่ทัพองอาจกันทั้งสิ้น
สวีหู่เฉินถือทวนยาวไว้ในมือ แววตาคมกริบ กรามสีเขียวเข้มจากการโกนหนวด เขาพยักหน้าเล็กน้อยให้แก่หลี่เมี่ยวเจิน
“แม่ทัพหลี่ก็มาช่วยใต้เท้าผู้บัญชาการเหมือนกันกับข้าหรือ”
หลี่เมี่ยวเจินส่ายหน้า “ใต้เท้าหยางปลอดภัยดีทุกประการ แต่แม่ทัพสวีบุ่มบ่ามเกินไปแล้ว ท่านรู้ผลลัพธ์ของการทำเช่นนี้หรือไม่”
“อย่างมากก็แค่ตาย”
สวีหู่เฉินช่างแข็งทื่อยิ่งนัก เขาเบ้ปากกล่าว “ข้ามีชีวิตได้ก็เพราะใต้เท้าผู้บัญชาการช่วยเอาไว้ เมื่อราชสำนักอยากจัดการเขา ข้าก็จะขอแลกด้วยชีวิต”
จู่ๆ สวี่ชีอันก็ถามขึ้น “พวกเจ้ารู้ข่าวนี้ได้อย่างไร”
สวีหู่เฉินปรายตามองสวี่ชีอันแล้วยิ้มเย็นว่า “ที่แท้ก็เป็นกรงเล็บเหยี่ยว ลูกน้องของเว่ยเยวียนนั่นเอง”
เจ้าจะว่าข้าก็ช่าง แต่ว่าบิดาข้ามันล้ำเส้นแล้ว…สวี่ชีอันดีดนิ้วหัวแม่มือ ดาบยาวสีดำทองที่เอวถูกชักออกมาจากฝักครึ่งชุ่น จากนั้นก็เอ่ยเสียงขรึม
“แม่ทัพสวี อย่าได้ท้าทายอำนาจของราชสำนัก ข้ามาด้วยความจริงใจ หากท่านไม่เห็นคุณค่า เมื่อครู่นี้ข้าสามารถฟันท่านตกม้าได้ในครั้งเดียว”
คำพูดที่หลี่เมี่ยวเจินพูดออกมามากมาย ความจริงมีแค่ความหมายเดียวคือ ‘อย่าใช้เหตุผลกับทหาร’
การใช้เหตุผลเป็นเรื่องของปัญญาชน พวกทหารคุยกันด้วยกำปั้นเท่านั้น หากกำปั้นทรงพลัง เจ้าก็ได้รับความเคารพ
วิธีการของสวี่ชีอันก็คือแสดงพลังยุทธ์ออกมาเพื่อให้ได้ความเคารพ แล้วสั่นสะเทือนเจ้าพวกไม่กลัวตายเหล่านี้เสีย จากนั้นค่อยคุยด้วยเหตุผลดีๆ
สวีหู่เฉินกริ่งเกรงหลี่เมี่ยวเจิน แต่กลับเยาะเย้ยถากถางเขาตรงๆ นี่คือท่าทางไม่ให้ความเคารพ
แต่ให้ฟันคนตรงๆ นั้นย่อมทำไม่ได้แน่ แบบนั้นจะยิ่งทำให้ความขัดแย้งทวีคูณขึ้นอีก
‘กุบกับๆๆ…’
เขาหันหัวม้าไปทางอื่นเงียบงันไม่ส่งเสียง
สวีหู่เฉินและหลี่เมี่ยวเจิน รวมถึงทหารม้าหลายสิบคนจากกองทัพนางแอ่นเหินมองตามเขาไป
“ฮึ่ม! ข้าจะพบผู้ตรวจการ ฆ้องทองแดงคู่ควรมาคุยกับข้าหรือ” สวีหู่เฉินยิ้มเยาะอย่างหยามเหยียด “เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม คิดว่าที่นี่เป็นเมืองหลวงที่ทุกคนจะเกรงกลัวหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลหรืออย่างไร แม่ทัพหลี่ ตอนนี้ใต้เท้าผู้บัญชาการเป็นอย่างไรกันแน่”
หลี่เมี่ยวเจินส่ายหน้า เพียงมองแผ่นหลังของสวี่ชีอัน
สวีหู่เฉินร้อนรนเล็กน้อย นิสัยของเขาคือใจร้อนโมโหง่าย เขาไม่พอใจยิ่งที่ใต้เท้าผู้ตรวจการหลีกเลี่ยงไม่ยอมพบหน้า แต่กลับส่งฆ้องทองแดงคนหนึ่งมาจัดการกับตน
เขาแทบอยากจะสังหารฆ้องทองแดงคนนี้แล้วพุ่งไปต่อต้านผู้ตรวจการเสียเดี๋ยวนี้เลย
แต่เพราะเห็นแก่หน้าแม่ทัพรับจ้างหลี่เมี่ยวเจิน เขาจึงยอมออกมาพูดด้วย
ตอนนี้เอง ฆ้องทองแดงผู้นั้นก็หยุดชะงัก แล้วหันหน้ามามองสวีหู่เฉิน ใบหน้าแสยะยิ้ม
จากนั้น นิ้วหัวแม่โป้งมือซ้ายก็ดีดขึ้น ชักดาบออกมาจากฝักครึ่งชุ่น มือขวากดด้ามดาบเอาไว้ แล้วสั่งสมพลังอยู่ครู่หนึ่ง….
‘ชิ้ง!’
เสียงชักดาบออกจากฝักดังเสียดหูสะท้อนก้องอยู่กลางอากาศ สายตาของพวกสวีหู่เฉินและกองทัพนับพันเห็นเพียงอากาศบิดเบี้ยวไปชั่วขณะ ราวกับมีอะไรตัดผ่าน
พริบตาต่อมา เสียงดังอื้ออึงก็สะเทือนลั่น พื้นดินแตกเป็นรอยแยก ตั้งแต่ใต้เท้าของสวี่ชีอันเรื่อยมาจนถึงด้านหน้ากองทัพเป็นระยะยาวสิบกว่าจั้ง
ทหารม้าที่อยู่แถวหน้าเกิดโกลาหลขึ้นมาราวกับม้าตกใจ
สวี่หู่เฉินเบิกตาโพลง รู้สึกยากจะเชื่อ ‘นี่เขา…เมื่อกี้เขาสามารถฟันข้าตกม้าได้จริงๆ’
แม่ทัพแข็งแกร่งผู้นำทัพสู้ศึกเกิดความกริ่งเกรงเล็กน้อยขึ้นมาในใจ และยอมรับความจริงใจของสวี่ชีอันแล้ว
หลี่เมี่ยวเจินจ้องสวี่ชีอันอย่างประหลาดใจ สมองมีเครื่องหมายคำถามเป็นชุด
จากการประเมินด้วยสายตาของเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์อย่างนาง ดาบนี้คมกริบเหลือแสน รวดเร็วปานสายฟ้า แม้จะเป็นชาวยุทธ์ที่เพิ่งบรรลุระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดงขั้นหกก็ยังไม่อาจใช้ร่างกายไปรับได้
นี่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ระดับหลอมปราณสามารถฟาดฟันออกมาได้หรือ?
จากนั้นนางก็นึกถึงคำพูดที่หมายเลขหนึ่งเคยว่าไว้ สวี่ชีอันผู้นี้เคยฟันฆ้องเงินคนหนึ่งมาก่อน และฆ้องเงินผู้นั้นก็เป็นยอดฝีมือระดับหลอมวิญญาณ
เขาในเวลานั้นก็สามารถฟันคนข้ามระดับได้แล้ว ส่วนวันนี้ เขาอยู่ที่ระดับครึ่งก้าวสู่ขั้นหลอมวิญญาณ
‘ช่างอัจฉริยะยิ่ง แต่นักบวชเต๋าจินเหลียนกลับไม่คิดเชิญเขาเข้าพรรค แต่ไปเลือกญาติผู้น้องของเขาแทน ญาติผู้น้องผู้นั้นช่าง…น่ากลัวยิ่งนัก’
“โอ้”
เบื้องหลัง เหล่ายอดฝีมือกองทัพนางแอ่นเหินต่างตกตะลึง
‘กุบกับๆๆ…’
ฆ้องทองแดงตัวเล็กผู้นั้นขี่ม้ากลับมา พยายามฝืนร่างกายอันอ่อนล้าของตนแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “แม่ทัพสวี ข้าคือขุนนางสวี่ชีอัน เป็นตัวแทนใต้เท้าผู้ตรวจการมาเจรจากับท่าน”
“…” สวีหู่เฉินเอ่ยเสียงขรึม “ใต้เท้าเชิญกล่าว”
…………………………………………………
นิยายเรื่องนี้เข้าร่วมโปรโมชั่น
อัปเพิ่มต่อ +1
เพิ่มตอนจากปกติ เวลา 16.00 น. ตลอดช่วงแคมเปญ
18-31 ก.ค. 65 เท่านั้น!
ฝากติดตามกันด้วยนะคะ
Ink Stone