“ปลาดาบนี่!”
“ปลาดาบมากมายเหลือเกิน!”
“ระดับต่ำสุดล้วนเป็นสัตว์อสูรทิพย์ทั้งสิ้น!”
“ตัวที่อยู่หน้าสุดนั่นเป็นสัตว์อสูรเทพนี่นา!”
หลังจากผู้คนบนเรือได้เห็นฝูงปลาดาบแล้วก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ แต่ก็มิได้ตื่นตระหนก เห็นได้ชัดว่ามิได้เพิ่งเคยเจอสถานการณ์เช่นนี้เป็นครั้งแรก
ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูปลาดาบที่มากันเป็นฝูงด้วยความอยากรู้อยากเห็น ไม่รู้ว่าสัตว์อสูรวิเศษในน้ำนี้มีพลังการต่อสู้เป็นเช่นไรบ้าง
“เงี่ยงตรงด้านหน้าของปลาดาบนั้นแหลมคมเป็นอย่างยิ่ง อย่าให้พวกมันเข้ามาใกล้เรือได้ล่ะ!” ซือหม่าโยวหลินออกคำสั่ง
หลังจากที่ปลาดาบเหล่านั้นเข้ามาใกล้ลำเรือแล้วก็เริ่มต้นโจมตีพวกเขา สายน้ำลำแล้วลำเล่าพุ่งออกมาจากปากของพวกมัน บรรพวิญญาณเหล่านั้นรีบโคจรปราณวิญญาณโจมตีกลับไป สายน้ำเหล่านั้นจึงสลายตัวไปตั้งแต่อยู่กลางอากาศแล้วร่วงหล่นลงสู่ทะเล
ซือหม่าโยวเย่ว์ก็เข้าร่วมการต่อสู้ด้วย เธอโคจรปราณวิญญาณโจมตีเข้าใส่ปลาดาบเหล่านั้น โดยเน้นการโจมตีไปยังเงี่ยงของพวกมันอย่างแม่นยำแทบทุกครั้ง
เงี่ยงของปลาดาบจำนวนไม่น้อยถูกทำลาย เลือดอาบย้อมผิวน้ำทะเลจนแดงฉาน
“สัตว์อสูรเทพสองตัวนั้นเข้าใกล้ลำเรือแล้ว!” มีคนตะโกนเสียงดังลั่น
“เฮอะ!”
ราชันวิญญาณสองคนส่งเสียงเฮอะแล้วทะยานร่างขึ้นไปกลางท้องฟ้า ปะทะกับสัตว์อสูรเทพสองตัวนั้น
สัตว์อสูรวิเศษทั้งสองตัวเป็นเพียงแค่ขั้นหนึ่งขั้นสองเท่านั้น พลังการต่อสู้พอๆ กันกับราชันวิญญาณขั้นสามขั้นสี่ แต่ราชันวิญญาณสองคนนั้นไปถึงขั้นห้ากันหมดแล้ว จึงต่อสู้กับพวกมันได้
ซือหม่าโยวเย่ว์ดูการต่อสู้ของพวกเขาอย่างละเอียดอยู่บนกราบข้างเรือ ในตอนแรกไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดพลังการต่อสู้ของสัตว์อสูรทะเลจึงแกร่งกล้ากว่าสัตว์อสูรวิเศษบนพื้นดิน ต่อมาจึงได้เข้าใจว่าเพราะน้ำทะเลให้การปกป้องพวกมัน จึงช่วยลดความแรงของพลังการโจมตีได้ในระดับหนึ่ง
เธอเรียกเจ้าวิหคน้อยออกมาแล้วสั่งการว่า “เจ้าไปจับปลาดาบขึ้นมาให้ข้าสักสองตัวสิ อ้อ… หากเป็นสัตว์อสูรเทพสองตัวนั้นจะดีที่สุดเลย”
“ได้เลย เจ้านาย!” เจ้าวิหคน้อยรับคำสั่งก่อนจะสยายปีกโจมตีเข้าใส่ปลาดาบตัวหนึ่งในนั้น
“วิหคสี่ปีก!”
เมื่อเห็นเจ้าวิหคน้อย ผู้คนไม่น้อยต่างก็จำได้
“สัตว์อสูรเทพ!”
“เป็นสัตว์อสูรเทพจริงด้วย!”
“นี่คือสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของคุณชายโยวเย่ว์!”
“สัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของคุณชายโยวเย่ว์มิใช่สัตว์อสูรเทพจิ้งจอกตนนั้นหรอกหรือ”
“เขามีสัตว์อสูรเทพสองตน!”
“มิใช่เพียงแค่คุณชายโยวหลินเท่านั้นที่มีสัตว์อสูรเทพผูกพันธสัญญาสองตน แต่เขาก็มีสองตนด้วยเช่นกัน!”
“พึ่บพั่บๆ”
เจ้าวิหคน้อยบินไปเหนือปลาดาบแล้วโฉบลงมา อย่างรวดเร็ว ทุกคนรู้สึกได้เพียงแค่ว่าเบื้องหน้ามีลำแสงสายหนึ่งวาบผ่านไป สัตว์อสูรเทพปลาดาบตัวนั้นก็ถูกมันจับเอาไว้ได้แล้ว
“พรึ่บ…”
กรงเล็บทั้งสองของเจ้าวิหคน้อยนั้นแข็งแกร่งราวเหล็กกล้า ออกแรงทีเดียว ปลาดาบที่กำลังดิ้นรนอยู่ก็ถูกมันฉีกออกเป็นสองซีก
มันโยนปลาดาบมาบนกราบข้างเรือ ในขณะที่เตรียมตัวจะไปจับอีกตัวหนึ่งอยู่นั้นเอง ก็พบว่าอีกฝ่ายได้นำฝูงปลาดำดิ่งกลับลงไปใต้ทะเลเสียแล้ว
“เจ้านาย ขอโทษด้วย จับได้เพียงตัวเดียวเท่านั้น” เจ้าวิหคน้อยพูดอย่างรู้สึกผิด
ซือหม่าโยวเย่ว์โบกไม้โบกมือพลางเอ่ยว่า “ไม่เป็นไรหรอก แค่ตัวนี้ตัวเดียวก็พอกินแล้วล่ะ”
ซือหม่าโยวหลานเดินเข้ามา ก็เห็นปลาดาบที่อยู่ข้างกายเธอในตอนนี้ จึงเอ่ยว่า “เจ้ายังจะกินจริงๆ หรือ”
“แน่นอนอยู่แล้วสิ!” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าด้วยความจริงจังอย่างยิ่งแล้วเอ่ยว่า “เมื่อครู่โยวหลินมิได้บอกว่ารสชาติของสัตว์อสูรทะเลนี้อร่อยยิ่งนักหรอกหรือ นอกจากนี้ในเนื้อยังมีปราณวิญญาณแทรกอยู่ด้วย กินลงไปแล้วยังช่วยบำรุงพละกำลังของพวกเราได้ด้วยนะ”
“เช่นนั้นเจ้าคิดจะทำอย่างไรกับมันหรือ” ซือหม่าโยวหลานถาม
ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบถ้วยชามหม้อไหออกมาแล้วเอ่ยว่า “เอาส่วนหนึ่งมาย่าง เอาส่วนหนึ่งมาต้มน้ำแกงปลา เอาอีกส่วนมาผัด น้ำแกงปลา ปลาเปรี้ยวหวาน ปลานึ่ง ก็ได้ทั้งนั้นแหละ”
ผู้ร่วมทางเห็นเธอพูดได้อย่างคล่องแคล่วเช่นนั้นก็รู้ว่าเธอจะต้องเป็นนักกินตัวยงคนหนึ่งอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ได้เห็นว่าเธอมีอุปกรณ์เครื่องครัวอย่างครบครันแล้วก็ยิ่งแน่ใจในความคิดของตน
ซือหม่าโยวหลานเองก็ตกตะลึงกับซือหม่าโยวเย่ว์ผู้นี้ด้วย นางจับสิ่งโน้นทีสิ่งนี้ทีแล้วเอ่ยถามว่า “เจ้าพกอุปกรณ์เครื่องครัวเหล่านี้ไว้กับตัวตลอดเลยหรือ”
“แน่นอนอยู่แล้ว!” ซือหม่าโยวเย่ว์จัดการกับเนื้อปลาอย่างรวดเร็วแล้วพูดว่า “พวกเจ้าพาตัวพวกท่านปู่ของข้าไปสองสามเดือน พวกเราก็ไปยังเทือกเขาสั่วเฟยย่ากันแล้ว ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นสองปีกว่า ก็ย่อมต้องเตรียมของให้พร้อมสรรพอยู่แล้วสิ”
“แต่ปรมาจารย์วิญญาณไม่จำเป็นต้องกินข้าวก็ได้นี่” ซือหม่าโยวหลานพูด
“ข้าเคยชินเสียแล้วละ หากไม่กินข้าวสักวันหนึ่งก็จะรู้สึกว่าขาดอะไรบางอย่างไป” ซือหม่าโยวเย่ว์ยักไหล่
ซือหม่าโยวหลินมองดูถ้วยชามหม้อไหเหล่านั้นแล้วพบว่ามิใช่ของใช้ในบ้านทั่วไป จึงเอ่ยถามว่า “ของเหล่านี้คืออาวุธวิญญาณทั้งหมดเลยหรือ”
“ถูกต้อง เจ้าอ้วนเป็นผู้หลอมขึ้นมาทั้งหมดเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ในช่วงนั้นเจ้านั่นเพิ่งจะเริ่มศึกษาการหลอมวัตถุจึงอยากฝึกฝีมือ ข้าก็เลยให้เขาหลอมวัตถุพวกนี้ขึ้นมาให้ข้า แต่อย่าพูดไปนะว่าอาหารที่ทำขึ้นจากอาวุธวิญญาณเหล่านี้อร่อยกว่าอุปกรณ์ธรรมดาทั่วไป”
เมื่อได้ฟังวาจาของเธอแล้ว ทุกคนล้วนจนคำพูด ใช้อาวุธวิญญาณมาทำอาหาร คาดว่าเรื่องนี้คงจะมีแต่เธอเท่านั้นที่คิดออกมาได้ และคาดว่านักหลอมวัตถุที่เต็มใจหลอมถ้วยชามหม้อไหออกมานั้นก็คงมีแค่คนอย่างเจ้าอ้วนเท่านั้น ใครใช้ให้เขาชมชอบการกินกันเล่า!
ภายในเจดีย์วิญญาณ เจ้าคำรามน้อยดึงดันจะออกมา เพราะมันรู้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์กำลังทำอาหารอยู่ข้างนอก
โยวเย่ว์มิได้ทำอาหารรสเลิศให้ทุกคนกินกันมานานแล้ว
เมื่อเห็นเจ้าคำรามน้อย ซือหม่าโยวหลานก็นึกขึ้นมาได้ว่าตอนอยู่ที่อาณาจักรตงเฉินนั้นมันคำรามเสียงดังไม่กี่ทีก็ทำให้หนูปีศาจหกนิ้วแหลกสลายไปได้แล้ว ในใจยังหวาดหวั่นอยู่บ้าง แต่เพียงไม่นานนางก็หายกลัว เพราะนางค้นพบว่าเจ้าคำรามน้อยเป็นเพียงแค่ผู้ทรงพลังที่ไร้ยางอายเท่านั้น!
“โยวเย่ว์ เจ้ารีบหน่อยสิ ข้าหิวจะตายอยู่แล้วนะ!” มันเอนตัวลงบนบ่าซือหม่าโยวเย่ว์ สายตาจ้องมองปลาดาบในมือเธอเขม็ง
“พรืด…”
ซือหม่าโยวหลานมองเจ้าคำรามน้อยอย่างขำขัน ระดับอย่างพวกมันคงไม่รู้สึกถึงความหิวแล้วกระมัง ยังจะมาบอกว่าหิวแทบตาย น่าขำเสียจริง!
ซือหม่าโยวหลินมองเจ้าคำรามน้อยแล้วก็พบว่าตนมองร่างจริงของมันไม่ออกเลย รู้สึกได้เพียงแค่ว่าดูเหมือนมันจะแกร่งกล้าเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังดูเหมือนว่าจะไม่มีพลังการโจมตี
“โยวเย่ว์ นี่คือสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาอะไรหรือ” เมื่อไม่เข้าใจจึงถาม เขายึดมั่นในหลักการนี้มาโดยตลอด
“เจ้าคำรามน้อยหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เหลือบมองเจ้าคำรามน้อยที่น้ำลายจะหกอยู่แล้ว พลางเอ่ยว่า “ก็แค่ตัวขี้เกียจที่ทำได้แค่กิน แต่ทำอย่างอื่นไม่ได้ตัวหนึ่งเท่านั้นเอง”
เธอมิได้เชื่อมั่นไว้ใจในตัวเขาอย่างเต็มร้อย ย่อมไม่มีทางบอกตัวตนจริงของเจ้าคำรามน้อยกับเขาอยู่แล้ว ต่อให้ตอนนั้นซือหม่าโยวหลานจะเคยเห็น นางก็ไม่รู้หรอกว่าแท้จริงแล้วมันมีตัวตนเช่นไร
เพียงไม่นานเธอก็จัดการกับปลาดาบเสร็จเรียบร้อย ส่วนหนึ่งนำมาทำน้ำแกงปลาดาบ ส่วนหนึ่งนำมาทำปลานึ่ง ส่วนหนึ่งนำมาทอด และยังนำอีกจำนวนไม่น้อยมาผัด เพียงไม่นานอาหารโอชารสเต็มโต๊ะก็เสร็จเรียบร้อย
เธอเรียกพวกซือหม่าโยวหลานทั้งสองคนมากินด้วยกัน คนเฝ้ายามเหล่านั้นก็ช่างเถิด เธอมิได้มีเรี่ยวแรงมากมายพอที่จะทำให้คนหลายสิบคนกิน นอกจากนี้หลังจากที่เรือกลับสู่สภาวะปกติแล้วแต่ละคนต่างก็แยกย้ายกลับไปยังห้องของตัวเองกันหมดแล้ว
“รสชาติดีเสียจริง!” นางชิมน้ำแกงปลาคำหนึ่งแล้วพบว่ารสชาติที่เคี่ยวออกมาจากสัตว์อสูรทะเลนั้นช่างสดอร่อยโดยแท้ จึงอดที่จะหลับตาเสพสุขมิได้
ซือหม่าโยวหลินก็ชิมคำหนึ่งเช่นกัน ท่วงท่าของเขาสง่างามอย่างยิ่ง คล้ายกับว่าการกินอาหารก็เป็นเรื่องที่สูงส่งเรื่องหนึ่งเช่นเดียวกัน แตกต่างกับท่าทางการกินราวกับเสือเขมือบเหยื่อของซือหม่าโยวเย่ว์อย่างมหาศาล
เลิศรส!
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีความต้องการอาหาร แต่ขณะนี้ก็ถูกรสชาติอันโอชะในปากดึงดูดเอาไว้ด้วยเช่นกัน
“แม้แต่กินข้าวก็ยังระมัดระวังถึงเพียงนี้! อยากเห็นท่าทียามเจ้าวิ่งหนีเสียจริงว่าจะเป็นเช่นไร!” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นท่วงท่าสูงส่งนั้นของเขาแล้วก็อดที่จะบ่นพึมพำเสียงเบามิได้
ซือหม่าโยวหลานมิได้รักษาท่าทีในการกินเช่นนั้น นางกวาดอาหารโอชะเหล่านั้นกับซือหม่าโยวเย่ว์และเจ้าคำรามน้อยจนหมดเกลี้ยง
แต่สุดท้ายซือหม่าโยวเย่ว์ก็ค้นพบว่าถึงแม้ซือหม่าโยวหลินจะกินอย่างสุภาพเรียบร้อยอย่างยิ่ง แต่เขาก็กินได้อย่างรวดเร็วจนเศษก้างปลาก็มิได้น้อยไปกว่าพวกเธอเลย
……………………………………
ตอนต่อไป →