ตอนที่ 298 คลำไปคลำมาดูเข้าท่า

แม่สาวเข็มเงิน

หลังจากที่จิ้นเทียนหยู่ออกไปแล้ว แม้หลี่อันหรูจะยังคงร้องไห้กระซิก ๆ อยู่เล็กน้อย แต่นางก็ดูอารมณ์ดีขึ้นมาก

เจียงป่าวชิงลากเก้าอี้มานั่งลงข้างเตียงหลี่อันหรู ทำท่าเหมือนต้องการจะพูดคุยกันดี ๆ “เจ้าพูดมาเถอะแม่นางหลี่ ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงเริ่มอดอาหารประท้วงล่ะ ?”

หลี่อันหรูปิดหน้า เนื้อตัวสั่นเทาเล็กน้อย “คือข้า… ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว”

เจียงป่าวชิงเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมอยู่ดี ๆ หลี่อันหรูถึงได้พูดคำพูดประมาณนี้ออกมา ถ้าหากว่านางไม่ยอมรับในสิ่งที่หัวหน้ากู่บอกกับนางก่อนหน้านี้ที่ว่าให้นางแต่งงานมีลูกอยู่ที่นี่ และนางอยากตายจริง ๆ ก็คงคิดหาวิธีตายตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ทว่านี่ผ่านมาก็ตั้งหลายวันนางกลับเพิ่งเริ่มอดอาหารประท้วง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็แปลกพิกล

……

ซิ่วผิงไปต้มน้ำที่ครัว ตอนที่นางเดินถือกาน้ำกลับมาก็เห็นหัวหน้าสามยืนยู่ตรงนอกรั้วด้วยสีหน้าอึมครึม ไม่รู้ว่าเขากำลังมองอะไรอยู่

ประตูห้องเปิดออก เจียงป่าวชิงถือกล่องยาออกมา

ซิ่วผิงรีบเข้าไปหาและถามเจียงป่าวชิงทันที “หลี่อันหรูคนนั้นเป็นยังไงบ้างรึ ?”

เจียงป่าวชิงส่ายหน้าระอาใจ ไม่ว่าซิ่วผิงจะถามอย่างไร เจียงป่าวชิงก็ไม่ยอมบอกว่าทำไมนางคนนั้นถึงเริ่มอดอาหารประท้วง

“ไม่มีอะไรมากหรอก” เจียงป่าวชิงพูดขึ้นอย่างช้า ๆ “ไม่กินข้าวก็ช่างนางเถอะ ไว้ข้าค่อยกลับไปให้ยาบำรุง เมื่อถึงตอนนั้นเจ้ากรอกใส่ปากนาง จะได้รักษาให้นางยังคงมีชีวิตอยู่เพื่อรอเวลาที่เหมาะสม”

ทันใดนั้น เสียงร้องไห้กระซิกเบา ๆ ดังออกมาจากในห้องอย่างไม่หยุดหย่อน ดูเหมือนว่าหลี่อันหรูจะตกใจเจียงป่าวชิงเสียแล้ว นางคงเข้าใจผิดเกี่ยวกับเจียงป่าวชิง คิดว่าหมอที่อ่อนโยนมาตลอดอย่างเจียงป่าวชิงจะใช้วิธีหัวรุนแรงไม่เป็น

ซิ่วผิงมองเจียงป่าวชิง นัยน์ตาของนางเปล่งประกายออกมาอย่างชอบใจ นางพยักหน้าขึงขังก่อนจะเอ่ย “หมอเจียง เจ้าพูดแบบนี้ข้าก็เข้าใจได้แล้ว จะได้ไม่ต้องมาสั่งให้กินยานู่นนี่ให้ยุ่งยากอีกต่อไป เปลืองเครื่องปรุงยาเปล่า ๆ ตอนกลางคืนถ้าแม่นางหลี่อันหรูไม่กินโจ๊ก ข้าก็จะกรอกปากนางเอง”

“ดีมาก” เจียงป่าวชิงพยักหน้าพึงพอใจ “เช่นนั้นก็ทำตามนี้แหละ”

“…” หลี่อันหรูสิ้นหวังพูดไม่ออก นี่นางตกอยู่ในน้ำมือของคนแบบไหนกันแน่

เจียงป่าวชิงออกมาจากที่พักของจิ้นเทียนหยู่ และเห็นว่าเขารออยู่ตรงนอกรั้ว ทว่านางไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งนี้ นางคิดว่าจิ้นเทียนหยู่กำลังรอตน จึงพยักหน้าให้เขาเป็นการทักทายและเตรียมเดินต่อไป

“เจียงป่าวชิง!” จิ้นเทียนหยู่เรียกนางไว้และรีบเดินตามเจียงป่าวชิงมาอย่างรวดเร็ว

“มีอะไรรึ ?” เจียงป่าวชิงมองจิ้นเทียนหยู่

จิ้นเทียนหยู่ทนไม่ไหวกับท่าทางไม่รู้อะไรของเจียงป่าวชิงจึงจับแขนนางและรีบเดินไปอย่างรวดเร็ว เขาพาเดินมายังที่สงบและกำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่กลับพบว่าสีหน้าเจียงป่าวชิงซีดเล็กน้อย หัวคิ้วของนางก็ขมวดเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว ที่แท้แขนที่เขาจับอยู่นั้นคือแขนข้างซ้ายซึ่งบาดเจ็บอยู่ยังไม่หายดี วันนี้เพียงแค่ทายาและปิดแผลเพื่อลดอาการปวดลงเท่านั้น

จิ้นเทียนหยู่ปล่อยแขนเจียงป่าวชิงราวกับถูกของร้อนลวก เขารู้สึกโมโหเล็กน้อย “เมื่อครู่ตอนที่ข้าจับโดนแผลเจ้า ทำไมเจ้าไม่พูด ?!”

เจียงป่าวชิงนวดไหล่ช้า ๆ มองจิ้นเทียนหยู่ที่ไม่รู้ว่าไปโกรธมาจากที่ไหนด้วยความงุนงง “หัวหน้าสาม นี่ข้ายังไม่ทันได้ว่าอะไรเลย”

คนที่เจ็บคือนางไม่ใช่หรือไง เจ้าทุกข์อย่างนางยังไม่ได้พูดอะไรเลยแล้วเขาจะโกรธอะไรขนาดนั้น

จิ้นเทียนหยู่สูดหายใจเข้าลึก นิสัยอย่างเจียงป่าวชิงช่างชวนให้คนโมโหจริง ๆ

“ข้าจะถามว่า…” สีหน้าของจิ้นเทียนหยู่ไม่สู้ดีนัก “เจ้าจะแสร้งทำเป็นผู้ชายและโกหกทุกคนไปถึงเมื่อไหร่ ?”

เจียงป่าวชิงหยุดนวดไหล่ตัวเองทันที คิ้วงามขมวดอย่างกลัดกลุ้มเป็นกังวล “เฮ้อ… ข้าเองก็ยังคิดไม่ออก รอให้ผ่านไปสักพักก่อนเถอะ ข้าหลอกคนอื่นมาตั้งนานขนาดนั้น ถ้าบอกไปแล้วหัวหน้ากู่โกรธ ไม่แน่เขาอาจไล่ข้าออกจากหมู่บ้านก็ได้ เจ้าคิดว่าข้าควรเก็บเงินไว้ให้มาก ๆ ก่อนดีไหม ?”

เจียงป่าวชิงเป็นฝ่ายถามจิ้นเทียนหยู่เสียเอง

จิ้นเทียนหยู่ชะงักเพราะคำถามของนาง ถ้าหากว่านางถูกพี่ใหญ่ไล่ออกจากหมู่บ้านจะทำอย่างไร

จิ้นเทียนหยู่แข็งทื่อ ผ่านไปสักครู่เขาเอ่ยขึ้นอย่างฝืนใจ “ช่างเถอะ ทำตามที่เจ้าสบายใจเถอะ” จิ้นเทียนหยู่หยุดชะงักเล็กน้อยก่อนจะพูดเสริมเสียงแข็งกระด้าง “แต่เจ้าเองก็ต้องระวังตัวด้วยเช่นกัน ชายหญิงไม่เหมือนกัน เจ้าตรวจโรคข้าเข้าใจ แต่คลำไปคลำมามันดูไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่นัก”

เขาเห็นเจียงป่าวชิงมองเขาแปลก ๆ จึงพูดเสริมอีกประโยคหนึ่ง “ที่พี่น้องหลายคนยอมให้เจ้าแตะตัวก็เพราะพวกเขาเห็นว่าเจ้าเป็นผู้ชาย ถ้าพวกเขารู้ว่าเจ้าเป็นผู้หญิง พวกเขาจะยอมให้เจ้าแตะตัวขนาดนี้ได้รึ นี่มันถือว่าเป็นการทำให้ศักดิ์ศรีของผู้ชายต้องอับอายอย่างหนึ่งเจ้ารู้ไหม!”

ใช่ นี่ไม่ผิด การที่เขาแนะนำตรงนี้กับนางก็เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของผู้ชายในหมู่บ้าน

เจียงป่าวชิงยิ่งมึนงงมากกว่าเดิม “หัวหน้าสาม ท่านเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ข้าเป็นหมอและนี่เป็นวิธีการรักษา ถ้าข้าไม่จับไม่คลำไม่ตรวจดู ข้าจะรู้อาการไหม หรือว่าท่านคิดว่าข้าแค่กวาดตามองดูก็รู้อาการได้แล้ว นี่ท่านไม่กลัวว่าข้าจะรักษาใครอย่างไม่เข้าท่าจนทำให้พวกเขาตายรึ ?”

‘คนสมัยก่อนนี่ยุ่งยากจริง ๆ’ เจียงป่าวชิงคิดในใจ

จิ้นเทียนหยู่ถูกเจียงป่าวชิงถามกลับจนพูดไม่ออก ได้แต่ต่อยขอนไม้ด้านข้างระบายความหงุดหงิด เสร็จแล้วก็เก็บมือกลับมาก่อนจะเดินจากไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

แปลกคน…

เจียงป่าวชิงคิดเช่นนี้กับจิ้นเทียนหยู่อีกครั้งพลางส่ายหน้าและเดินออกไปบ้าง

……

ตั้งแต่หลี่อันหรูเริ่มอดอาหารประท้วง ในวันนี้ก็ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว ทว่าเมื่อมีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย เจียงป่าวชิงก็เข้าใจความหมายของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

เรื่องที่หลี่อันหรูก่อไว้จะบอกว่าใหญ่ก็ไม่ได้ใหญ่อะไร ล้วนเป็นเรื่องเล็กที่ไม่ได้ส่งผลกระทบถึงโดยรวม ทว่าแม้จะบอกว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่ละเรื่องกลับชวนให้โมโหสิ้นดี มีบางครั้งที่ทุกคนมารวมตัวกันดื่มเหล้า ก็มักมีคนพูดถึงหลี่อันหรูประมาณนี้เสมอ

ขณะนี้จิ้นเทียนหยู่ไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งแล้วว่าทำไมเขาถึงได้ลักพาตัวนางกลับมาในตอนนั้น เขาเงยหน้ากรอกเหล้าเข้าปาก ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างเหี้ยมโหด “ถ้าข้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ข้าปล้นชิงเอาตัวผู้ชายกลับมาให้พี่ซูยังดีกว่า คงไม่พานางตัวปัญหานี่มาแน่”

กู่ฟู่กุ้ยเป็นคนแรกที่มองจิ้นเทียนหยู่ เขาหัวเราะยกใหญ่ “ฮ่า ๆ ๆ เจ้าไม่ต้องพูดหรอก ตอนนี้พี่ซูของเจ้ากับไอ้หน้าขาวมู่จิ้งเอ้ออะไรนั่นรักกันปานจะกลืนกิน ต่อให้เจ้าปล้นชายรูปงามกลับมาให้นางทั้งโขยง ข้ารับประกันได้เลยว่าพี่ซูของเจ้าก็ไม่เหลียวมองหรอก”

ทุกคนหัวเราะดังสนั่น

ซูรุ่ยเอ๋อร์เองก็อยู่ในวงเหล้าด้วยเช่นกัน นางได้ยินพลันรู้สึกไม่พอใจ แต่นางทำเพียงพูดแก้ไขให้ถูกต้องอย่างเกียจคร้านเท่านั้น “เขาชื่อมู่จิ้งอี๋ ไม่ใช่มู่จิ้งเอ้อ สมองของพี่ใหญ่นี่นะ แหม จำไม่ได้แม้แต่ชื่อด้วยซ้ำ”

ทุกคนดื่มไปพลางพูดคุยอย่างเฮฮา ไม่นานหัวข้อพูดคุยเล็กน้อยนี้ก็ผ่านไป

เจียงป่าวชิงเองก็อยู่ในวงเหล้าด้วย นางกำลังจดจ่อกับการกินอาหารที่แม่ของซิ่วผิงเป็นคนทำ ไม่ได้มีส่วนร่วมในการหยอกล้อและไม่ได้เล่นทายนับนิ้วกับดื่มเหล้า มันจึงดูแปลกมาก

ไม่นานนักก็มีคนจับจ้องสายตามาที่นาง

“ไอ้โยหมอเจียง! ไม่ต้องวางท่าขนาดนี้ก็ได้” จิ้นหนิวดื่มเยอะแล้ว ตอนนี้เขากรึ่มนิด ๆ และเดินมาอยากจะชนแก้วกับเจียงป่าวชิง

“มา ๆ ๆ เหล้านี้เป็นเหล้าบ๊วยหมักเมื่อฤดูหนาวที่แล้ว หมอเจียงลองชิมสักหน่อยสิ”

เจียงป่าวชิงปฏิเสธอย่างสุภาพ “ไม่ล่ะ ข้าดื่มเหล้าไม่เป็น”

หากเป็นในยามปกติจิ้นหนิวจะไม่พูดอะไรเพราะเขารู้สถานการณ์เป็นอย่างดี แต่ตอนนี้ฤทธิ์สุราเมรัยขึ้นหน้า จิ้นหนิวจึงพูดมากเป็นพิเศษ “โฮ่ ๆ ๆ หมอเจียง ทำไมเจ้าถึงทำให้หมดสนุกแบบนี้เล่า เดิมทีงานเลี้ยงนี้ถูกจัดขึ้นเพื่อเปิดเหล้าบ๊วย ทุกคนสนุกกันทั้งนั้น เจ้าไม่ดื่มก็เท่ากับว่าทำให้หมดสนุกนะ”