ตอนที่ 239 ไปกวาดถนนด้วยกันเถอะ

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

หลิวไต้เฟินได้ยินดังนั้นพลันถอนหายใจโล่งอก สำหรับเธอที่เพิ่งเสียเงินฝากทั้งหมด ชีวิตจากนี้ไม่มีเงินอีกแล้วนั้น การบริจาคเงินให้นักบวชเป็นภาระที่ไม่น้อยอย่างเห็นได้ชัด เธอมาวัดเอกดรรชนี แน่นอนว่าเพราะชื่อเสียงของวัดเร็วๆ นี้ และที่มากกว่านั้นเป็นเพราะนี่เป็นวัดเล็ก เธอคิดว่าคงประหยัดเงินได้…

ฟางเจิ้งพูดจบก็เห็นหลิวไต้เฟินไม่ขยับ จึงยิ้มน้อยๆ “อาตมายังมีธุระ ขอตัวก่อนนะ สีกาตามสบาย”

พูดจบฟางเจิ้งก็ไปหลังลานวัด ทุกคนต่างมีศักดิ์ศรีในตัวเอง เขาอยู่ข้างนอก หลิวไต้เฟินคงจะอายที่จะหยอดเงินบริจาคหนึ่งหยวน เพียงแต่ว่าในใจเขากำลังร้องโอดครวญ ‘เงินในกระเป๋าเราที่ใช้ได้มีแค่สองหยวนกว่า…ยังมีหน้าไปสงสารคนอื่นอีก? เกิดมามีชะตายากจนแท้ๆ…ยังมีหน้ามาทำเป็นพูดจาดี’

สรุปฟางเจิ้งไปแล้ว หลิวไต้เฟินถอนหายใจโล่งอก ควักเงินหนึ่งหยวนยัดใส่ในกล่องบริจาค เพียงแต่ว่าตอนที่ออกจากวัด เธอตรึกตรองแล้วก็หยิบมาอีกสิบหยวน กัดฟันใส่เข้าไป ถึงพาหลี่เฮ่าเผิงออกไป

จนหลิวไต้เฟินไปแล้ว ฟางเจิ้งถึงออกมาจากหลังลานวัด

“หลวงพี่ฟางเจิ้ง กำลังดูอะไรอยู่คะ?” จูหลินเห็นฟางเจิ้งทำลับๆ ล่อๆ จึงถามด้วยความแปลกใจ

ฟางเจิ้งว่า “ดูคนน่าสงสาร”

“คนน่าสงสาร? เล่าให้ฉันฟังได้ไหมคะ?” จูหลินถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ฟางเจิ้งมองจูหลินแวบหนึ่งก็เพิ่งนึกออกว่าจูหลินก็เป็นนักไลฟ์ เป็นอาชีพเดียวกัน เล่าให้เธอฟังได้จริงๆ ให้ถือซะว่าเป็นเครื่องเตือนใจ ฟางเจิ้งเลยเล่าต้นสายปลายเหตุง่ายๆ

จูหลินได้ยินดังนั้นจึงปิดปาก “ไม่ใช่มั้ง? มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ? เด็กนี่ใจกล้ามาก ใจกว้างไปรึเปล่า?”

ฟางเจิ้งพูด “เรื่องก็เป็นแบบนี้ น่าสงสารแม่คนนั้น”

“ถ้าอย่างนั้น…หลวงพี่ฟางเจิ้ง ท่านไม่คิดหาวิธีช่วยหน่อยเหรอคะ?” จูหลินถาม

ฟางเจิ้งยิ้มไม่ตอบ แต่ถามกลับ “สีการู้ไหมว่านักไลฟ์ที่รับเงินเด็กนั้นเป็นใคร?”

จูหลินยิ้มแห้งๆ “ฉันจะรู้ได้ยังไงล่ะคะ ถ้าท่านรู้ชื่อในโลกอินเทอร์เน็ตของเขาก็จะรู้ว่าไลฟ์สดของใคร แล้วก็ถามได้ ถ้าไม่รู้นั่นก็ยากแล้ว คนที่ส่งของขวัญให้ทุกวันมีเยอะมาก ใครจะรู้ว่าตัวจริงเป็นใคร”

ฟางเจิ้งตบเข้าที่หน้าผาก “เกือบลืมไปเลย ชื่อในอินเทอร์เน็ตเขาคือราชาสูงศักดิ์”

“ราชาสูงศักดิ์เหรอ สูงศักดิ์…อะไรนะ? คงไม่บังเอิญเกินไปมั้ง?!” จูหลินพลันร้องเสียงแหลม

ฟางเจิ้งเห็นปฏิกิริยาโต้ตอบของจูหลินก็มึนงงเล็กน้อย บังเอิญอะไร?

ไม่ต้องให้ฟางเจิ้งถาม จูหลินพูดต่อ “ไม่ต้องถามคนอื่นแล้วค่ะ เด็กคนนี้จะส่งจรวดมาให้ฉันแทบทุกสองสามวัน ตอนนั้นฉันยังเจาะจงถามอายุกับงานเขา…จะเป็นลม! ทำไมฉันซวยแบบนี้นะ ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้”

“บังเอิญมากจริงๆ แต่นี่อาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร” ฟางเจิ้งพูด หัวเราะเบาๆ พลางมองจูหลิน ไม่พูด แต่ความหมายชัดเจนมาก

จูหลินมองค้อน “เอาเถอะ อย่ามองฉันแบบนั้น ถึงฉันจะชอบเงิน แต่หญิงงามรักเงินก็ยังมีคุณธรรม! ฉันจะคืนให้สองหมื่นหยวน แต่อีกสองหมื่นหยวนเว็บไซต์เก็บไป อันนี้ฉันต้องคุยกับแอดมินเว็บไซต์ก่อน ถ้าพวกเขาไม่คืน…นี่ ท่านอย่ามองฉันแบบนี้ได้ไหม? ฉันก็จนมากเหมือนกันนะ!”

ฟางเจิ้งหัวเราะแหะๆ “อาตมายังไม่ได้พูดอะไรเลย”

“ไม่ได้พูด? ยังมาพูดอีกนะว่าไม่ได้พูด? แววตาขายตัวท่านแล้วไม่รู้เหรอ?” จูหลินร้องโวย

ฟางเจิ้งเอ่ยด้วยความจำใจ “จะทำยังไงนั่นเป็นเรื่องของสีกา อาตมาไม่ยุ่ง”

“หึๆ…ฉันเห็นจากแววตาท่านมันไม่ใช่อย่างนั้นนะ ช่างเถอะ รอข่าวจากฉันเดี๋ยวนะ ถ้าเว็บไซต์ไม่ชดใช้ ฉันชดใช้ให้ตกลงไหม?” จูหลินร้องโอดครวญ “อุตส่าห์มาวัดไหว้พระขอให้ร่ำรวย ทำไมถึงกลับถังแตกแบบนี้ล่ะ! จะไม่มีอีกแล้ว! ไม่มีเด็ดขาดเลย!” จูหลินพูดพลางเดินออกไปข้างนอก

ฟางเจิ้งเปิดเนตรปัญญามองจูหลิน เห็นว่าบนหัวจูหลินปรากฏดอกบัวจางมากดอกหนึ่ง กลีบดอกบัวชี้ไปทางใต้

ฟางเจิ้งยิ้ม “ถ้าว่างก็เดินไปทางใต้หน่อยนะ อาจจะมีโชคดี”

“เหอะๆ…ฉันถังแตกแล้วยังจะโชคดีอะไรอีก บายค่ะ!” จูหลินก้าวเท้ายาวเดินไป

ฟางเจิ้งหัวเราะเบาๆ ถึงบางครั้งจูหลินจะเสียสติบ้าง แต่ต้องพูดว่าเธอมีนิสัยที่ดี

ตอนนี้เองขากางเกงฟางเจิ้งตึง ก้มหน้ามอง หมาป่าเดียวดายมองเขาอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนชี้ไปที่ท้องตน

ฟางเจิ้งมองค้อน “เจ้านี่วันๆ เอาแต่กิน กินเยอะขนาดนั้นไม่เห็นจะโตขึ้นบ้างเลย สิ้นเปลืองจริงๆ” ระหว่างพูดอยู่นี้ ฟางเจิ้งเดินไปเตรียมข้าวกลางวันแล้ว

หลิวไต้เฟินพาลูกชายผลี่เฮ่าเผิงกลับบ้าน มองลูกชายตรงหน้า นอกจากถอนหายใจแล้ว เธอคิดหาวิธีอื่นไม่ออกจริงๆ ตี? ด่า? ก็ทำมาแล้ว แต่ลูกคนนี้ไม่สำนึกเลย…

“เฮ้อ…” หลิวไต้เฟินส่ายหน้า กลับห้องไปนอน วันนี้เธอลาหยุดเพื่อลูกชาย พรุ่งนี้ยังต้องตื่นเช้าไปทำงานอีก พอเจอลูกชาย เธอรู้สึกว่าเรี่ยวแรงสุดท้ายหายไปจนเกลี้ยง ไม่รู้อะไรเลย จะทำอะไรได้บ้าง แจ้งตำรวจ? เธอกลัวว่าจะเกิดผลไม่ดีกับลูกชาย จากนี้จะมีหน้าไปโรงเรียนได้ยังไง? ไปวัดก็เป็นวิธีที่ไม่มีทางเลือกเท่านั้น…

หนึ่งวันผ่านไปแบบนี้ หลี่เฮ่าเผิงก็ยังไม่พบว่าตนผิดปกติตรงไหน ความหวาดกลัวที่ถูกคนควบคุมในวัดเอกดรรชนีเริ่มหายไป ถึงยังไงก็เป็นเด็ก มีนิสัยชอบเล่น ต่อให้เกิดเรื่องใหญ่แบบนี้ก็ยังไม่คิดว่าสิ่งที่ตนทำหนักหนาเพียงใด มองว่าแค่ผ่านไปสองวัน

หลี่เฮ่าเผิงนอนอยู่บนเตียง ไม่นานก็หลับไป

วันที่สองฟ้ายังไม่สว่าง ฟางเจิ้งตื่นนอนแล้ว ครั้งนี้เขาไม่ออกไป แต่นั่งขัดสมาธิอยู่ในกุฏิ ประสานมุทราราชสีห์ในอีกครั้ง ต่อมาหลี่เฮ่าเผิงพลันลุกขึ้นนั่ง ดวงตาเบิกโตอย่างยิ่ง ร้องในใจอย่างบ้าคลั่ง ‘เอาอีกแล้ว!’

จากนั้นเขาเห็นตัวเองสวมเสื้อผ้าเดินออกไปอย่างไร้การควบคุม ดูเวลาเพิ่งจะตีสี่…แต่สิ่งที่เขาตกใจคือแม่เขาตื่นนอนแล้ว เขารู้มาตลอดเวลาแม่ตื่นเช้ามาก แต่ทุกวันตื่นนอนมาจะมีอาหารเช้าใส่ในหม้อร้อนๆ กินอาหารเช้าเสร็จก็ไปเข้าเรียน แต่เขาไม่รู้เลยว่าแม่ตนตื่นกี่โมงกันแน่ บางทีเมื่อก่อนอาจจะรู้ แต่ไม่เคยใส่ใจ ทว่าวันนี้เขาเห็นกับตาตัวเอง ตีสี่หลิวไต้เฟินสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย ทำอาหารเช้าให้เขา ยุ่งอยู่ในครัวแคบๆ และจะไอสองทีตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่าการตื่นเช้าสร้างภาระให้ร่างกายเธอไม่น้อย

ตอนนี้เองหลิวไต้เฟินยกข้าวมาชามหนึ่ง คีบหัวผักกาดเส้นในชามขึ้นมาหลายชิ้น เดินออกจากครัวพลางกินไปคำใหญ่ เพิ่งออกจากครัวมาเธอชะงักงัน มองลูกชายที่ตื่นเช้าเป็นครั้งแรกด้วยความตกตะลึง ทำอะไรไม่ถูกนิดๆ “ทำไมวันนี้ตื่นเช้า? ไม่นอนอีกหน่อยล่ะ?”